ข้ามกาลบันดาลรัก ส่วนที่ 1 - ตอนที่ 242-2 ลางสังหรณ์
วันรุ่งขึ้นหลังจากกินอาหารเช้าเสร็จแต่เช้า เหวินเปียวและเหวินหู่แยกกันบังคับรถม้า มารอหน้าประตู
คนในสกุลเมิ่งทั้งหมดเดินตามทั้งสองคนมาข้างรถม้า
คล้ายว่าเมิ่งชื่อจะมีลางสังหรณ์ว่าจะเกิดเรื่องบางอย่างขึ้น จับมือเมิ่งอี้เซวียนพูดกำชับซ้ำไปซ้ำมา
เมิ่งเอ้ออิ๋นหัวเราะนาง “อี้เซวียนเพียงเข้าไปสอบซิ่วไฉ อย่างมากหกเจ็ดวันก็กลับมาแล้ว ดูเจ้าเอาแต่พูดพร่ำ ราวกับว่าเขาจะไม่กลับมาแล้วอย่างนั้น”
เมิ่งชื่อถลึงตาโต พูดว่า “ข้าพูดพร่ำแล้วอย่างไร? หากไม่เพราะเชี่ยนเอ๋อร์จะคลอด ต้องมีคนอยู่ด้วย ข้ายังจะตามไปกับพวกเขาด้วยเล่า”
เมิ่งเอ้ออิ๋นเห็นสีหน้ากระสับกระส่ายของนาง ไม่กล้าพูดอะไรอีก
เมิ่งเชี่ยนโยวยิ้มพูดว่า “ท่านแม่ พวกเราต้องไปแล้ว หากท่านยังพูดต่อ ฟ้าจะมืดแล้วนะเจ้าค่ะ”
เมิ่งชื่อถูกหยอกจนหัวเราะ โบกมือ “รีบไปเถอะ เดินทางระวังด้วย”
เมิ่งเชี่ยนโยวรีบส่งสัญญาณให้เมิ่งอี้เซวียนขึ้นรถม้า เหวินเปียวบังคับรถม้านำหน้า เหวินหู่บังคับรถม้าตามหลัง ไปเรือนใหม่รับเมิ่งเหริน
เมิ่งชื่อมองส่งรถม้าจนลับตา ถึงถอนใจยาวพูดว่า “พ่อเอ๊ย พวกเขาไปครั้งนี้ เหตุใดข้าถึงรู้สึกใจคอไม่ดีเอาเสียเลย? รู้สึกเหมือนจะเกิดเรื่องบางอย่างขึ้น”
เมิ่งเอ้ออิ๋นพูดปลอบนาง “คงเพราะสองวันนี้เจ้าพักผ่อนไม่เต็มที่ คิดฟุ้งซ่านมากเกินไป บัดนี้พวกเขาไปแล้ว เจ้ากลับไปนอนในห้องให้สบาย เมื่อตื่นมาก็จะดีเอง”
เมิ่งชื่อขบคิดเล็กน้อย รู้สึกว่าที่เมิ่งเอ้ออิ๋นพูดก็มีเหตุผล จึงเชื่อคำพูดเขา กลับเข้าห้องไปพักผ่อน
รถม้ามาถึงหน้าเรือนใหม่ สองผู้เฒ่าเมิ่ง เมิ่งต้าจินและภรรยา เมิ่งเหรินเมิ่งอี้และภรรยาต่างยืนรอพวกเขาอยู่หน้าประตูแล้ว
เมิ่งเชี่ยนโยวและเมิ่งอี้เซวียนลงจากรถม้า กล่าวทักทายทุกคนเสร็จ ถึงถามเมิ่งจงจวี่ “ท่านปู่ ท่านมีสิ่งใดจะกำชับหรือไม่เจ้าคะ?”
เมิ่งจงจวี่ตอบว่า “พวกเจ้าสามคนอายุยังน้อย เลี่ยงไม่ได้ที่จะสะเพร่าเลินเล่อ ปู่คิดดูแล้ว สมควรให้ลุงใหญ่เจ้าตามพวกเจ้าไปด้วย หากมีอะไรที่ไม่รู้ จะได้ถามเขาได้ทันที”
เมิ่งต้าจินเคยเข้าร่วมสอบระดับภูมิภาคที่หัวเมือง พอจะคุ้นเคยเส้นทางบ้าง เมิ่งเชี่ยนโยวจึงไม่ได้คัดค้าน หลังจากบอกลาทุกคนก็ขึ้นรถม้า เมิ่งต้าจินและเมิ่งเหรินขึ้นรถม้าด้านหลัง รถม้าสองคันตามติดกันมุ่งหน้าไปหัวเมือง
หัวเมืองอยู่ห่างจากตำบลชิงซีค่อนข้างไกล ใช้เวลากว่าครึ่งวันเต็มๆ ถึงมาถึง
เหวินเปียวบังคับรถม้าพ้นประตูเมืองเข้ามา ไม่รู้ว่าควรไปทางไหน หันไปพูดกับเมิ่งเชี่ยนโยว “แม่นาง ท่านรอสักครู่ ข้าจะไปสอบทางว่าพวกเราควรไปทางไหน”
เมิ่งเชี่ยนโยวเลิกม่านรถขึ้น ออกมานั่งข้างหน้า รับบังเ**ยนมาจากมือเขา “ไปเถอะ ถามให้ละเอียด เย็นมากแล้ว พวกเราอย่าได้ไปผิดเส้นทาง”
เหวินเปียวกระโดดลงจากรถม้า เดินไปสอบถามร้านค้าหนึ่งข้างประตูเมือง
พอเถ้าแก่ร้านได้ยินว่าพวกเขามาเข้าสอบระดับภูมิภาค ก็เดินออกมาหน้าร้าน ชี้บอกเส้นทางพวกเราอย่างกระตือรือร้น ทั้งบอกพวกเขาว่า ใกล้สนามสอบมีโรงเตี๊ยมเข้าพักได้ พวกเขามาเร็ว น่าจะได้เข้าพักห้องชั้นดี
หลังจากกล่าวขอบคุณ เหวินเปียวบังคับรถม้ามาตามทางที่เถ้าแก่บอก จนมาเจอกับโรงเตี๊ยมชั้นดีแห่งหนึ่งใกล้สนามสอบ
ลงจากรถม้า เดินเข้าไปในโรงเตี๊ยม
หลงจู๊ที่เห็นก็รู้ทันทีว่าพวกเขามาเข้าสอบระดับภูมิภาค แย้มยิ้มพูดกับพวกเขา “พวกท่านมาเร็วยิ่งนัก เป็นผู้เข้าสอบท่านแรกที่มาเข้าพักโรงเตี๊ยมของพวกเราในปีนี้เลย ต้องการห้องแบบใดเชิญพวกท่านเลือกได้ตามสบายเลยขอรับ”
“ขอห้องชั้นดีสามห้อง เอาที่เงียบหน่อย อีกอย่างพวกเรายังมีรถม้าสองคัน ท่านช่วยดูแลให้พวกเราด้วย” เมิ่งเชี่ยนโยวพูด
ห้องชั้นดีถูกจับจองในคราเดียวถึงสามห้อง หลงจู๊ปลาบปลื้มยินดียิ่ง สั่งการเสี่ยวเอ้อร์จูงรถม้าไปดูแลด้านหลัง แล้วพาพวกเขาขึ้นชั้นบนด้วยตัวเอง เดินมาจนสุดทางเดินชั้นสอง เปิดประตูห้องทั้งสามออก พูดอย่างเป็นมิตร “นี่เป็นห้องที่ดีที่สุดของโรงเตี๊ยมของพวกเรา สบายและสงบเงียบ พวกท่านเข้าไปดูก่อนว่าพอใจหรือไม่?”
เมิ่งเชี่ยนโยวเข้าไปในห้อง เห็นด้านในสะอาดสะอ้าน ด้านหน้าติดถนน เปิดหน้าต่างออกไปก็จะมองเห็นทิวทัศน์ด้านนอก พยักหน้าพอใจ “เอาสามห้องนี้ พวกเราจะพักประมาณห้าถึงหกวัน”
หลงจู๊เห็นมีแต่นางเข้าไปตรวจดู ให้กังขาในใจ กำลังแอบคิดว่าเหตุใดการตัดสินใจของครอบครัวนี้ถึงเป็นเพียงเด็กสาวคนหนึ่ง ครั้นได้ยินคำพูดนาง ก็ดีใจยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ โค้งตัวพยักเพยิดพูดว่า “พวกท่านพักสักประเดี๋ยวก่อน ข้าจะให้เสี่ยวเอ้อร์ไปต้มน้ำมาให้พวกท่านเดี๋ยวนี้ขอรับ”
เมิ่งเชี่ยนโยวพยักหน้า พูดว่า “พวกเราเดินทางมาทั้งวัน เหนื่อยล้ามาก ประเดี๋ยวท่านให้เสี่ยวเอ้อร์นำอาหารอย่างดีจำนวนหนึ่งมาให้พวกเราด้วย ค่าอาหารให้คิดรวมตอนจ่ายค่าห้อง”
หลงจู๊ยิ่งให้ดีอกดีใจ ลงไปสั่งการเสี่ยวเอ้อร์อย่างเบิกบาน
หลังจากหลงจู๊ลงไปแล้ว เมิ่งเชี่ยนโยวจึงจัดแจงห้องพัก “ท่านลุงใหญ่และพี่ใหญ่พักห้องตรงกลาง ข้าและอี้เซวียนจะพักด้านในสุด เหวินเปียวเหวินหู่จะพักห้องที่เหลือ” สุดท้ายพูดเสริมอีกว่า “ลุงใหญ่และพี่ใหญ่ไม่รู้วรยุทธ์ พวกเราต้องตื่นตัวตลอดเวลา”
เหวินเปียวและเหวินหู่ได้ฟังตื่นตกใจ พยักหน้ารับคำ “ทราบแล้วขอรับแม่นาง”
เมิ่งต้าจินก็ให้กังขา พวกเขาเพียงมาพักที่โรงเตี๊ยม เกี่ยวอะไรกับรู้วรยุทธ์หรือไม่ด้วย แต่ก็ไม่ได้ถามมาก เดินเข้าไปในห้องพร้อมเมิ่งเหริน
ไม่นานเสี่ยวเอ้อร์ก็ยกน้ำร้อนและสำรับอาหารมาที่ห้องพวกเขา หลังจากล้างเนื้อล้างตัว กินอาหารค่ำเสร็จ รู้สึกเหน็ดเหนื่อยเมื่อยล้า จึงล้มตัวนอนพักแต่หัวค่ำ
เช้าวันถัดมาหลังจากกินอาหารเช้าเสร็จ เมิ่งต้าจินเสนอให้ไปดูสนามสอบก่อน เมิ่งเชี่ยนโยวยิ้มพูดว่า “ไปดูตอนนี้เร็วเกินไปเจ้าค่ะ อีกตั้งสี่วันกว่าจะถึงวันสอบ รอให้ถึงก่อนวันสอบหนึ่งวันค่อยเข้าไปดูก็ยังไม่สาย พวกเราสู้ใช้โอกาสหลายวันนี้ เดินเล่นในหัวเมืองให้เต็มที่ไม่ดีกว่าหรือเจ้าค่ะ ข้าโตมาจนป่านนี้ยังไม่เคยมาสถานที่เจริญคึกคักเช่นนี้มาก่อน รู้สึกแปลกหูแปลกตากับทุกสิ่ง”
เมิ่งเหรินและเมิ่งอี้เซวียนพยักหน้าอย่างเบิกบานแสดงว่าเห็นด้วย
เมิ่งต้าจินมองสายตากระหายอยากของพวกเขา จำต้องกลืนคำพูดห้ามปรามที่ปลายลิ้นลงไป เปลี่ยนมาพูดแทนว่า “พวกเราออกไปเที่ยวเล่นได้มากที่สุดสองวันเท่านั้น อีกสองวันที่เหลือจะต้องอยู่พักผ่อนในโรงเตี๊ยมให้เต็มที่ ให้ร่างกายสดชื่นมีพลัง เตรียมพร้อมสำหรับการสอบ”
คนทั้งหมดพยักหน้าหงึกๆ
หลังจากบอกลาหลงจู๊ ทั้งหมดก็ออกไปจากโรงเตี๊ยม
เหวินเปียวและเหวินหู่คิดจะไปเอารถม้า เมิ่งเชี่ยนโยวร้องห้ามพวกเขา “นั่งรถม้าจะขาดอรรถรสในการเดินชมเมือง พวกเราเดินไปดูไปตามสบาย หิวก็หาอะไรกินข้างทาง เหนื่อยก็จ้างรถม้านั่งกลับมา”
สิบกว่าปีก่อนเมิ่งต้าจินเคยเข้ามาหัวเมืองเพื่อสอบซิ่วไฉเพียงครั้งเดียว ในตอนนั้นครอบครัวยากจน ต้องเดินเท้ามาพร้อมกับเพื่อนร่วมห้องหลายคน ตอนที่มาถึงก็เป็นวันก่อนวันสอบแล้ว ต่างเข้าพักที่โรงเตี๊ยม เตรียมตัวเข้าสอบวันรุ่งขึ้น ไหนเลยจะมีเวลาว่างออกมาเดินเที่ยวเล่น ได้ยินเมิ่งเชี่ยนโยวพูดก็พยักหน้าเห็นด้วย “ดี พวกเราอุตส่าห์มาถึงหัวเมือง ครั้งนี้จะต้องเปิดหูเปิดตาให้เต็มที่”
ท่านผู้นำกล่าวเช่นนี้แล้ว เหวินเปียวและเหวินหู่ย่อมไม่คัดค้าน เมิ่งเหรินและเมิ่งอี้เซวียนเองก็เห็นพ้องด้วย
วันแรกคนทั้งหมดเดินเที่ยวไปทางทิศใต้ พบเห็นสิ่งใดน่าสนใจก็จะหยุดดู โดยเฉพาะเมิ่งอี้เซวียน อย่างไรก็ยังอายุน้อย เห็นอะไรก็แปลกตาไปหมด มองซ้ายทีขวาที พอเห็นของที่ชอบก็จะใช้ดวงตาโตคู่งามจ้องมองเมิ่งเชี่ยนโยว
เมิ่งเชี่ยนโยวก็ตามใจเขา ไม่ว่าจะราคาแพงเท่าใด ก็จะซื้อให้โดยไม่ลังเล
พอเห็นว่าซื้อแต่ของไม่มีประโยชน์ เมิ่งต้าจินคิดจะเอ่ยปากห้ามปราบเมิ่งเชี่ยนโยวหลายครั้ง ครั้นพอเห็นท่าทีโอนอ่อนผ่อนตามเมิ่งอี้เซวียนของนาง คำพูดที่ปลายลิ้นก็ถูกกลืนลงไป
หนึ่งวันผ่านไป สองมือของเหวินเปียวและเหวินหู่เต็มไปด้วยสิ่งของ
คนทั้งหมดก็เริ่มรู้สึกเหนื่อยล้า จึงจ้างรถม้ากลับมาส่งที่โรงเตี๊ยม
หลงจู๊เห็นพวกเขาซื้อของพะรุงพะรัง ทั้งจ้างรถม้ากลับมา แอบบ่นงึมงำ “แบบนี้ใช่มาเข้าสอบระดับภูมิภาคที่ไหน เห็นชัดๆ ว่ามาเที่ยวเล่น”
เมิ่งเชี่ยนโยวยังคงกำชับหลงจู๊ให้นำน้ำร้อนและอาหารส่งมาที่ห้อง จากนั้นพวกเขาก็เดินขึ้นชั้นบน
เหวินเปียวและเหวินหู่นำสิ่งของที่ซื้อมาวันนี้มาวางไว้บนโต๊ะห้องเมิ่งเชี่ยนโยว แล้วจึงถอยออกมาอย่างนอบน้อม
เมิ่งอี้เซวียนนั่งบนเก้าอี้ข้างโต๊ะ นำสิ่งของออกมาวางเรียงอย่างเบิกบาน
เมิ่งเชี่ยนโยวมองเขาอย่างเอ็นดู คิดว่าพอเขากลับไปอยู่จวนอ๋องฉี ไม่รู้ว่าจะยังมีรอยยิ้มที่ออกมาจากภายในเช่นนี้ได้อีกหรือไม่
เดินเที่ยวมาทั้งหมดเมื่อยล้าไม่น้อย หลังจากกินอาหารค่ำแล้ว เมิ่งอี้เซวียนล้มตัวนอนบนเตียงหลับไหลไปโดยเร็ว
เมิ่งเชี่ยนโยวนอนบนเตียงอีกด้านมองเขา เวลาผ่านไปก็ข่มตาหลับไม่ลง
หลังกินอาหารเช้าเสร็จ คนทั้งหมดต่างเริงร่าเดินไปทิศตะวันออก
คล้ายว่าทิศตะวันออกจะคึกคักกว่าทิศใต้ สินค้าของร้านค้าริมทางก็มากกว่า คนทั้งหมดเดินไปชมสินค้าไป ตลอดทั้งเช้ายังเดินไปได้ไม่ถึงไหน ทว่าคงเพราะเมื่อวานซื้อของเยอะแล้ว เมิ่งอี้เซวียนรู้สึกเกรงใจ วันนี้ไม่ใช่ว่าเห็นอะไรถูกใจก็ซื้อ แต่จะต้องเลือกแล้วเลือกอีก กระทั่งรู้สึกวางไม่ลงจริงๆ ถึงมองเมิ่งเชี่ยนโยวให้นางซื้อให้
สิ่งของที่ซื้อในวันนี้มีราคาสูงกว่าเมื่อวานมาก ซื้อเพียงไม่กี่ชิ้น ก็ใช้เงินไปหลายสิบตำลึงแล้ว ในที่สุดเมิ่งต้าจินก็อดทนต่อไปไม่ไหว พูดว่า “โยวเอ๋อร์ ของพวกนี้ใช้ประโยชน์อะไรไม่ได้มาก เจ้าใช้เงินฟุ่มเฟือยเช่นนี้ไม่ถูกต้อง”
เมิ่งเชี่ยนโยวยกยิ้มพูดอย่างไม่แยแส “ท่านลุงใหญ่ พวกเราอุตส่าห์ได้มาหัวเมือง อี้เซวียนมีความสุข อยากซื้ออะไรก็ซื้อเถอะ อย่างไรพวกเราก็ไม่เดือนร้อนกับเงินแค่นี้”
เมิ่งต้าจินกำลังจะพูดเตือนอีก เสียงที่ทั้งคุ้นเคยและแปลกหน้าหนึ่งก็ดังขึ้นข้างตัวเขา “ท่านพี่ต้าจิน ท่านสบายดีนะ!”