ข้ามกาลบันดาลรัก ส่วนที่ 1 - ตอนที่ 243 ความรู้สึกปะทุโหม
เมิ่งต้าจินยืนร่างแข็งค้าง
เมิ่งเชี่ยนโยวที่พอเห็นว่าคนตรงหน้าเป็นใคร หรี่หลุบนัยน์ตาลง
อู่เหวินชางพร้อมผู้ติดตามสองคนข้างกาย กำลังสะบัดพัดพลิ้ว มองมาที่เมิ่งต้าจินอย่างยิ้มย่องใจ
เห็นเมิ่งต้าจินไม่มองเขา อู่เหวินชางเก็บพัด เดินมาตรงหน้า มองประเมินเขาขึ้นลงด้วยสายตาเหยียดหยัน พูดอย่างดูแคลน “ได้ยินว่าพี่ต้าจินเป็นผู้ใหญ่บ้านแล้ว ไม่คิดว่าจะยังมัธยัสถ์ไม่เปลี่ยน ออกจากบ้านทั้งทีแม้แต่เสื้อผ้าดีๆ ก็ไม่รู้จักใส่”
วาจานี้ฟังเผินๆ เป็นคำชม แท้จริงแล้วเหยียดหยาม ผู้ติดตามข้างๆ สองคนได้ฟังแล้ว เปล่งเสียงหัวเราะลั่น ดึงดูดสายตาใคร่รู้เข้ามาไม่น้อย
เมิ่งต้าจินไม่พูดอะไร
อู่เหวินชางยิ่งได้ใจใหญ่ แสดงกิริยาเยาะหยัน พูดถากถางเขา “พวกบ้านนอก ยังไงก็เป็นพวกบ้านนอกวันยันค่ำ ไปไหนก็เปลี่ยนสภาพยาจกไม่ได้ เจ้าดูตัวเองเถอะ ใส่อะไรออกมา? แม้แต่ขอทานในหัวเมืองยังแต่งตัวดีกว่าเจ้าเป็นไหนๆ”
คำพูดนี้แรงเกินไปแล้ว พลันมีพวกชอบสอดรู้เดินล้อมเข้ามา อยากฟังว่าเมิ่งต้าจินจะตอบอย่างไร
เมิ่งต้าจินยังคงไม่พูด
อู่เหวินชางยิ่งให้เห่อเหิมใจ กำลังจะพ่นวาจาสะอิดสะเอียน
เมิ่งเชี่ยนโยวเบ้ปาก เปล่งวาจาดูแคลนขึ้นข้างๆ เขา “ต่อให้ลุงใหญ่ข้าจะแต่งกายมอซอเพียงใด ก็เป็นสิ่งที่เขาหามาได้ด้วยตัวเอง ไม่เหมือนคนบางคน ไร้ความสามารถ อาศัยว่าลุงตัวเองมีเงินซื้อตำแหน่งข้าราชการเล็กๆ ให้ แสร้งเป็นจิ้งจอกแอบอ้างบารมีเสือ”
“เจ้า…” อู่เหวินชางถึงกับสะอึก
คนที่รายล้อมเข้ามาได้ยินเช่นนั้น ชี้มือชี้ไม้ใส่เขา พูดไปต่างๆ นานา
อู่เหวินชางอับอายจนโกรธ พูดอย่างหน้าไม่อาย “ต่อให้เป็นตำแหน่งที่ท่านลุงข้าซื้อให้ ตอนนี้ข้าก็เกษมสำราญ เบิกบานใจดี ไม่เหมือนบางคนต้องอดมื้อกินมื้อ แต่งกายด้วยเสื้อผ้าที่แม้แต่ขอทานยังเทียบไม่ได้”
เมิ่งเชี่ยนโยวพูดเหน็บแนมกลับ “ถูกต้อง นั่นเป็นเมื่อก่อน ไม่รู้ว่าพอเจ้าไม่มีท่านลุงแสนประเสริฐแล้ว เจ้าจะยังเหิมเกริมเช่นนี้ได้อีกหรือไม่”
เรื่องที่ครอบครัวเศรษฐีอู๋หายไปอย่างไร้ร่องรอยนี้ อย่าว่าแต่อำเภอชิงเหอ แม้แต่ตัวจังหวัดและในหัวเมืองก็มีคนไม่น้อยที่รู้เรื่องแล้ว ยิ่งไม่ต้องพูดถึงอู่เหวินชาง วันที่ข้างบ้านพบว่าคฤหาสน์อู๋ไร้เงาคน เขาก็รู้เรื่องแล้ว ลนลานกลับไปดูด้วยตัวเองทันที พบว่าเป็นดั่งคนแจ้งข่าวบอกจริงๆ คฤหาสน์เศรษฐีอู๋ว่างเปล่า วังเวงเหมือนป่าช้า ราวกับว่าผู้คนสลายหายไปในอากาศ
ผู้ว่าการตำบลที่หลังจากทราบเรื่องก็ตกตะลึง ส่งคนสืบค้นอย่างละเอียด กลับไม่พบร่องรอยการเข่นฆ่า ภายในห้องก็เป็นระเบียบเรียบร้อย ไม่พบคนในคฤหาสน์อู๋เลย ไม่เพียงเท่านั้น แม้แต่สิ่งมีชีวิตในคฤหาสน์ก็ไม่เหลือ
นี่เป็นข่าวใหญ่ ผู้ว่าการตำบลเขียนรายงานให้คนนำส่งถึงท่านนายอำเภอด่วนที่สุด
เปาชิงเหอส่งคนมาตรวจสอบ สุดท้ายสรุปว่าคนในคฤหาสน์อู๋ต่างอพยพย้ายออกไป ส่วนที่ว่าไปไหน ยังต้องสืบค้นต่อไป
อู่เหวินชางย่อมไม่เชื่อคำชี้แจงนี้ แต่เขาก็หาหลักฐานชี้ชัดไม่ได้ ไม่อาจยื่นเรื่องรายงานได้ ดังนั้นเรื่องนี้จึงต้องจบอย่างคาราคาซัง แต่ค่าใช้จ่ายสุรุ่ยสุร่ายในอดีตของเขาล้วนได้มาจากเศรษฐีอู๋ ตอนนี้ไม่มีผู้สนับสนุนหลักนี้แล้ว ด้วยเงินเดือนน้อยนิดนั้น ทำให้การเงินเริ่มจะฝืดเคือง ครั้นมาได้ยินเมิ่งเชี่ยนโยวพูดจาถากถางเช่นนี้ ยิ่งให้โต้ตอบไม่ออก
ผู้ติดตามสองคนของอู่เหวินชางก็รู้ว่าตอนนี้นายท่านของตนเองมีปัญหาการเงินฝืดเคือง ไม่กล้าพูดอะไร
เมิ่งเชี่ยนโยวแค่นเสียงหึ น้ำเสียงเต็มไปด้วยความเยาะหยัน
อู่เหวินชางถูกเด็กสาวแย้งจนสะอึกพูดไม่ออก ให้รู้สึกอับอายขายหน้า เพลิงโทสะปะทุเดือดปุดๆ ว่ากล่าวด้วยวาจากราดเกรี้ยว “นังตัวดี เจ้าอย่าได้ไม่รู้จักที่ต่ำที่สูง ในหัวเมืองนี้เป็นถิ่นของข้า เจ้าเหิมเกริมเช่นนี้ ระวังข้าจะให้คนไล่เจ้าออกไปจากเมือง”
เมิ่งเชี่ยนโยวก็ไม่อ่อนข้อให้ พูดว่า “พวกเราเพียงเข้ามาเที่ยวเล่น มิได้ทำความผิดอันใด ต่อให้ท่านมีอำนาจมากเพียงใด ก็ไล่พวกเราออกไปจากเมืองไม่ได้ อีกทั้งเป็นท่านที่กล่าววาจาเหยียดหยามท่านลุงใหญ่ข้าก่อน กลุ่มคนที่มามุงดูต่างก็เห็นกับตา หากเจ้ากล้าทำเช่นนี้ ดูสิว่าต่อไปเจ้าจะเป็นข้าราชการอย่างไร เกรงว่าแม้แต่ตำแหน่งเจ้าหน้าที่ต๊อกต๋อย ที่เจ้าได้มาก็คงจะรักษาไว้ไม่ได้”
เดิมทีอู่เหวินชางเพียงต้องการอวดเบ่งบารมี ให้พวกเขาอ่อนน้อมพูดประจบตนเอง หวังกู้หน้าคืนได้บ้าง ไม่คิดว่าเมิ่งเชี่ยนโยวจะกล่าววาจาจี้ใจดำ เพลิงโทสะยิ่งให้ปะทุเดือด สูญสิ้นใจที่สงบนิ่ง ร้องก่นด่า “นังเด็กปากยังไม่สิ้นกลิ่นน้ำนม เจ้าคิดว่าเจ้าพูดเช่นนี้ข้าก็จะไม่กล้าทำอะไรเจ้าใช่หรือไม่? วันนี้ข้าจะไล่พวกเจ้าออกไปจากเมือง พวกเจ้าจะทำอะไรได้?” พูดจบ สั่งการผู้ติดตาม “พวกเจ้าไปจัดการไล่พวกมันออกไปจากเมือง”
ทั้งสองเดินแกว่งไหล่อาดๆ เข้าไป หมายจะขับไล่พวกเขา เหวินเปียวและเหวินหู่ก้าวออกมาข้างหน้า ขวางพวกเขาสองคนไว้
ปกติพวกเขาสองคนก็รู้จักแต่รังแกคนที่อ่อนแอกว่า เห็นพวกเหวินเปียวร่างกายกำยำ เดินเหินหนักแน่น รู้ว่าเป็นคนที่ฝึกวรยุทธ์มา ท่าทีกร่างที่เดินออกมาหดห่อโดยพลัน แสร้งผลักทั้งสองคนเบาๆ
เหวินเปียวและเหวินหู่ยืนนิ่งไม่ขยับ
ทั้งสองหันหน้าสบตากัน ผู้ติดตามหนึ่งคนในนั้นยื่นมือออกไปลองผลักเหวินเปียวเต็มแรง
เหวินเปียวไม่ขยับเขยื้อน และไม่โต้ตอบ
ผู้ติดตามทั้งสองคนเริ่มมีความกล้า ยื่นมือผลักพวกเขาพร้อมกัน ปากร้องคำราม “ไปๆๆ อย่าให้พวกเราต้องลงมือ พวกเจ้าจงรีบไสหัวออกไปแต่โดยดี”
เหวินเปียวและเหวินหู่ยังไม่ได้รับคำสั่งจากเมิ่งเชี่ยนโยว ไม่รู้ว่าควรโต้ตอบหรือไม่ ยังคงยืนนิ่ง
ผู้ติดตามทั้งสองเห็นพวกเขาไม่กล้าโต้ตอบ รู้ว่าพวกเขาพะวักพะวง ยิ่งให้เหิมเกริมหนัก
เมิ่งเชี่ยนโยวขมวดคิ้ว พูดกับเหวินเปียวและเหวินหู่เอื่อยๆ “ปกติข้าสอนสั่งพวกเจ้าเช่นนี้รึ?”
เหวินเปียวและเหวินหู่ได้ฟัง เข้าใจความหายนางทันที แต่ละคนยื่นมือออกไปคนละข้าง คว้ามือที่ผลักตนเองไว้ได้อย่างง่ายดาย ออกแรงเล็กน้อย มือทั้งสองคนก็ถูกพลิกหมุนกลับ
ผู้ติดตามทั้งสองแยกเขี้ยวยิงฟันร้อง “เจ็บๆๆ”
พวกเหวินเปียวไม่สนใจ รอฟังคำสั่งเมิ่งเชี่ยนโยว
อู่เหวินชางเห็นผู้ติดตามทั้งสองถูกกำราบโดยง่าย ให้อับอายขายหน้ากลางท้องถนน ยิ่งให้โมโหโกรธเกรี้ยว แต่ก็ไม่กล้าปะทุออกมาแล้ว เกรงว่าตนเองก็จะเอาตัวเองไม่รอด
เมิ่งเชี่ยนโยวมองอู่เหวินชาง น้ำเสียงเต็มไปด้วยความโอหังจองหอง “ตอนนี้บ้านเมิ่งของพวกเราไม่เหมือนในอดีตแล้ว ไม่ใช่ใครก็จะเหยียดหยามรังแกได้ตามอำเภอใจ หากเจ้ายังจะหาเรื่องพวกเราไม่เลิก ต่อไปข้าจะไม่ใจดีแบบนี้อีก” พูดจบ สั่งการพวกเหวินเปียว “ปล่อยพวกเขา”
พวกเหวินเปียวปล่อยมือตามคำสั่ง
ผู้ติดตามทั้งสองได้รับอิสรภาพ สะบัดมือที่เกือบจะหักของตัวเองไม่หยุด
อู่เหวินชางหน้าดำหน้าแดง นัยน์ตาเต็มไปด้วยแววเคียดแค้น
เมิ่งต้าจินที่ไม่พูดอะไรมาตลอดเอ่ยปากพูดว่า “หลายปีมานี้ ข้าไม่เข้าใจมาตลอด เหตุใดเจ้าถึงเอาแต่หาเรื่องข้า ไม่ว่าที่ไหนเวลาใด ขอเพียงเห็นข้า เจ้าก็จะต้องเหยียดหยาม ข้าถามตัวเองแล้วหาเคยล่วงเกินเจ้าไม่”
อู่เหวินชางเบ้ปาก พูดเยาะหยัน “คนบ้านนอกคอกนาอย่างเจ้าไม่เจียมตัวทำไร่ไถนากับครอบครัว เสนอหน้าเข้ามาเรียนหนังสือในเมือง หนำซ้ำยังเก่งกว่าข้า ข้าก็แค่เห็นเจ้าแล้วรำคาญตา คิดจะสั่งสอนเจ้า ก็แล้วอย่างไร?”
เมิ่งต้าจินที่หาคำอธิบายไม่ได้มานานหลายปี ไม่รู้ว่าตนเองล่วงเกินอู่เหวินชางอย่างไร เขาถึงกลั่นแกล้งตนเองทุกวิถีทาง ตอนนี้ได้ยินเหตุผลที่น่าขบขันนี้ เกิดอาการรับไม่ได้ ยืนตะลึงนิ่งอึ้ง
อู่เหวินชางหัวเราะเยาะเขา “ว่าอย่างไร ถึงกับกระอักเลยสินะ ข้าชอบปฏิกิริยาตะลึงพรึงเพลิดนี้ของเจ้าที่สุด รู้สึกสะใจอย่างบอกไม่ถูก”
เมิ่งเชี่ยนโยวหรี่หลุบดวงตา นัยน์ตาเต็มไปด้วยความชิงชัง
เมิ่งต้าจินได้สติกลับมา เพลิงโทสะปะทุ ดึงเมิ่งเหรินออกมายืนข้างตนเองด้วยอารมณ์ฉุนเฉียว พูดว่า “อู่เหวินชาง เจ้าดูให้ดี นี่คือบุตรชายคนโตของข้า เป็นถงเซิงตั้งแต่วัยเยาว์ ข้าพาเขามาเข้าสอบซิ่วไฉ ด้วยความรู้ของเขาในตอนนี้ จะต้องสอบได้อย่างแน่นอน อีกไม่กี่วันข้าจะให้เจ้าได้เห็น ต่อให้เจ้าทำลายข้าได้ บุตรชายจะมาเหยียบย่ำเจ้าแทน”
“เจ้า…?” อู่เหวินชางสะอึกกึกพูดไม่ออกอีกครั้ง
เมิ่งต้าจินไม่สนใจเขา ยืดหลังตรง กล่าวอย่างหยิ่งผยองต่อหน้าอู่เหวินชาง “พวกเราเดินเล่นกันต่อ ชอบอะไรก็ซื้อกลับไป ตอนนี้สกุลเมิ่งของพวกเราที่ไม่ขาดที่สุดก็คือเงินทอง”
ว่าแล้ว ก็ยกเท้าเดินนำหน้าไป
เมิ่งเหรินเดินตามหลังไปติดๆ
เมิ่งเชี่ยนโยวกลัวจะทิ่มแทงใจอู่เหวินชางไม่พอ เดินตามหลังไปพลาง เจตนาพูดเกินจริง “ของเล่นที่เจ้าเพิ่งซื้อไปเมื่อครู่ รวมทั้งหมดราคาไม่กี่อีแปะ เอาไว้ขากลับพวกเราซื้อกลับไปทั้งหมด ให้น้องๆ มีความสุขกัน”
เมิ่งอี้เซวียนพยักหน้ารับ “ดีเลย พวกเราเดินเล่นต่อ ดูว่ายังมีอะไรแปลกใหม่ ตั๋วเงินที่ท่านพ่อท่านแม่ให้มา พวกเรายังใช้ไม่หมดแม้แต่แผ่นเดียวเลย”
คนโดยรอบได้ยินบทสนทนาพวกเขา ต่างอิจฉาตาร้อน ต่างมองพวกเขาเดินไปจนลับตา ถึงแยกย้ายกันไป
อู่เหวินชางโมโหกำพัดในมือแน่นจนเกือบแหลกคามือ กระทั่งคนแยกย้ายไปหมด ถึงยกเท้าเตะผู้ติดตามคนละที พูดอย่างฉุนเฉียว “เศษสวะ กระบวนท่าเดียวก็ถูกกำราบได้ มีพวกเจ้าไปจะมีประโยชน์อะไร?”
ผู้ติดตามทั้งสองคนถูกเตะจนตัวโยน ไม่กล้าปริปาก
อู๋เหวินชางเตะไปพวกเขาไปอีกหลายที กระทั่งพวกเขาล้มพับไปกับพื้น ถึงรู้สึกระบายแค้นไปได้บ้าง ร้องคำราม “พวกเจ้าจงไปสืบมาเดี๋ยวนี้ ดูว่าพวกเขาพักโรงเตี๊ยมไหน หากยังทำเรื่องนี้ไม่สำเร็จ ข้าจะขายพวกเจ้าทิ้งทั้งคู่”
ผู้ติดตามทั้งสองล้มลุกคลุกคลานตามพวกเมิ่งต้าจินออกไป
อู่เหวินชางหรี่หลุบนัยนต์ตา มองตามทางที่พวกเขาจากไปอย่างเ**้ยมเกรียม เปล่งวาจาอำมหิต “เมิ่งต้าจิน ในอดีตข้าขัดขวางเส้นทางเป็นขุนนางของเจ้าได้ ตอนนี้ข้าก็ยังขัดขวางบุตรชายเจ้าได้เช่นกัน ข้าอยากเห็นนักว่า เมื่อหมดสิ้นความหวังนี้แล้ว เจ้ายังจะเหิมเกริมได้อีกหรือไม่!”
แม้เมิ่งต้าจินจะกล่าวเช่นนั้นต่อหน้าอู่เหวินชาง แท้จริงสภาพจิตใจย่ำแย่ เดินไปได้ไม่ไกล ก็ไม่มีอารมณ์เดินเที่ยวต่อ พูดว่า “พวกเจ้าเดินเล่นกันไปเถอะ ข้าจะกลับไปพักที่โรงเตี๊ยมเสียหน่อย”
เมิ่งเหรินเองก็สภาพจิตใจไม่สู้ดี รีบพูดว่า “ข้ากลับไปกับท่านด้วย”
เมิ่งต้าจินมองเมิ่งเชี่ยนโยว
เมิ่งเชี่ยนโยวสั่งการเหวินหู่ “เจ้าไปส่งท่านลุงใหญ่และพี่เมิ่งเหรินกลับไป เฝ้าอยู่ที่โรงเตี๊ยมไม่ต้องกลับมาอีก”
เหวินหู่พยักหน้า
เมิ่งต้าจินและเมิ่งเหรินไม่พูดอะไร หันเลี้ยวเดินกลับโรงเตี๊ยม
มองดูทั้งสองคนจากไปไกล เมิ่งเชี่ยนโยวกำลังจะหันหลังกลับ ก็เห็นผู้ติดตามอู่เหวินชางสองคนนั้น ทำลับๆ ล่อๆ เดินตามหลังพวกเขาไกลๆ
เมิ่งเชี่ยนโยวขมวดคิ้ว สั่งการเหวินเปียว “เจ้าก็กลับไปด้วย จำไว้ให้ดี หากพวกเขากล้าบุ่มบ่าม ห้ามใจอ่อนเด็ดขาด”
เหวินเปียวไม่ขยับ
เมิ่งเชี่ยนโยวชักสีหน้าเข้ม “เป็นอะไร เจ้าไม่เชื่อฟังคำพูดข้าแล้ว?”
เหวินเปียวกล่าว “แม่นาง ก่อนออกจากบ้านนายท่านและฮูหยินกำชับย้นักย้ำหนา ให้คอยระวังภัยข้างกายท่านไม่ให้คลาดสายตา รับประกันว่าจะต้องไม่เกิดอันตรายใดๆ กับพวกท่าน”
“ตอนนี้สถานการณ์เปลี่ยนไปแล้ว พวกเราไม่มีใครคิดว่าจะมาเจออู่เหวินชาง ท่านลุงใหญ่และพี่ใหญ่ไม่มีวรยุทธ์ หากเกิดอะไรขึ้น พวกเรากลับไปจะตอบความท่านปู่ท่านย่าอย่างไร เจ้าลอบตามหลังพวกเขากลับไป ดูว่าพวกเขาต้องการจะทำสิ่งใดกันแน่?” เมิ่งเชี่ยนโยวพูด
เหวินเปียวยังคงลังเล ไม่ขยับเขยื้อน
เมิ่งเชี่ยนโยวเน้นหนักน้ำเสียง “ข้าและอี้เซวียนต่างมีวรยุทธ์ ไม่ด้อยไปกว่าเจ้าและเหวินหู่ หากแม้พบเรื่องยุ่งยากก็ยังจัดการได้ เจ้าวางใจกลับไปเฝ้าระวังพวกลุงใหญ่ให้ดีก็พอ”
เหวินเปียวถึงขานรับคำ หันหลังเดินกลับไป
เมิ่งเชี่ยนโยวมองดูพวกเขาจากไปไกล ถึงหันกลับมา พูดกับเมิ่งอี้เซวียน “ไปเถอะ พวกเราเดินเที่ยวกันต่อ ดูว่าเจ้ายังต้องการซื้อสิ่งใด?”
เมิ่งอี้เซวียนไม่ขยับ
เมิ่งเชี่ยนโยวเลิกคิ้วกังขา
เมิ่งอี้เซวียนเม้มริมฝีปาก “เจ้ามีเรื่องใดปิดบังข้าอยู่ใช่หรือไม่?”
เมิ่งเชี่ยนโยวผงะตกใจเล็กน้อย ถามขึ้น “เหตุใดถึงพูดเช่นนี้?”
“หากเป็นเมื่อก่อน เจ้ากลับไปคุ้มครองพวกลุงใหญ่นานแล้ว ไม่มีอารมณ์พาข้าเดินเล่นหรอก” เมิ่งอี้เซวียนพูด
เมิ่งเชี่ยนโยวเลิกคิ้ว “ดังนั้น เจ้าอยากจะกลับไปด้วย?”
เมิ่งอี้เซวียนส่ายหน้า “ไม่อยาก”
เมิ่งเชี่ยนโยวยื่นมือออกมา “ป๊าบ” ตบศีรษะเขาดังฉาด “ไม่อยากกลับไปยังจะพูดเพ้อเจ้อให้มากความทำไม? ท่านลุงใหญ่มีเหวินเปียว เหวินหู่คอยคุ้มครอง ไม่มีทางเกิดเรื่องกับพวกเขา พวกเราอุตส่าได้มาหัวเมือง จะเดินเที่ยวให้หนำใจไม่ได้หรือไร?”
เมิ่งอี้เซวียนถูกตบจนมึน แล้วแย้มยิ้มหวาน พูดด้วยน้ำเสียงเบิกบานน่าฟัง “ได้ ข้าเชื่อเจ้า”
เมิ่งเชี่ยนโยวถลึงตาใส่เขา ยื่นมือไปคว้ามือข้างหนึ่งของเขามา พูดว่า “คนมาก ต้องระวังให้มาก ถ้าหายไป ข้าไม่ตามหาเจ้านะ”
เมิ่งอี้เซวียนยิ่งให้เบิกบานใจ
ทั้งสองจูงมือกันเดินเที่ยวชม เมิ่งอี้เซวียนเจออะไรที่ชอบก็จะหยุดดู แต่ครั้งนี้ไม่พูดว่าจะซื้อ เพียงหยิบขึ้นมาดูแล้ววางลง
เดินเที่ยวอีกหนึ่งวันเต็มๆ ตอนที่กลับมาโรงเตี๊ยมฟ้าก็มืดสนิทแล้ว
กลับมาถึงชั้นสอง เห็นพวกเหวินเปียวนั่งเฝ้าหน้าประตูห้องเมิ่งต้าจินและเมิ่งเหริน เมิ่งเชี่ยนโยวส่งสายตาให้เหวินเปียวตามตนเองเข้าไปในห้อง ให้เมิ่งอี้เซวียนปิดประตู แล้วถามขึ้น “เหตุการณ์เป็นอย่างไรบ้าง?”
เหวินเปียวตอบความ “พวกเขาเพียงสะกดรอยตามมาถึงโรงเตี๊ยม ไม่ได้ทำอะไรก็กลับไปขอรับ”
เมิ่งเชี่ยนโยวพยักหน้า “ดูท่าพวกเขายังไม่ได้คิดให้ดีว่าจะจัดการพวกเราอย่างไร สองวันนี้พวกเราจะไม่ออกไปแล้ว เจ้าและเหวินหู่ตื่นตัวให้มาก หากรู้สึกมีอะไรไม่ชอบมาพากล ให้บอกข้าทันที”
เหวินเปียวขานรับคำแล้วเดินออกไป
อีกสองวันต่อมา ผู้ที่เข้ามาร่วมสอบระดับภูมิภาคในโรงเตี๊ยมค่อยๆ เพิ่มมากขึ้น คนทั้งหมดเชื่อฟังการเตรียมการของเมิ่งต้าจิน ไม่มีใครออกไปจากโรงเตี๊ยม ต่างเก็บตัวอยู่ในห้องตัวเอง รอวันสอบมาถึง
แต่ที่พวกเขาไม่รู้ก็คือ ช่วงเวลาสองวันนี้ ข้าราชการทุกหน่วยงานประจำหัวเมือง รวมถึงท่านใต้เท้าคุมสอบ ไม่ว่าจะเป็นศิษย์สำนักไหน ล้วนแต่ได้รับสารหนึ่งฉบับและภาพวาดท่านอ๋องฉีหนึ่งใบส่งมาจากเมืองหลวง แน่นอนว่า เนื้อความในสารแต่ละฉบับให้ความสำคัญแตกต่างกัน วิธีการพูดก็ไม่เหมือนกัน ในสารบอกให้พวกเขาเฝ้าจับตาดูผู้มาเข้าสอบอายุสิบเอ็ดปีจากอำเภอชิงเหอในครั้งนี้ ใบหน้ามีความคล้ายคลึงกับบุคคลในภาพวาด เมื่อพบเห็นแล้วให้รีบส่งม้าเร็วแจ้งข่าวไปที่เมืองหลวงทันที
และภาพวาดนี้ก็บังเอิญถูกบุคคลสองคนเห็นเข้าพอดี คนหนึ่งก็คืออู่เหวินชาง อีกคนกลับเป็นชายที่บากหน้าเข้ามาขออาศัยอยู่กับญาติในหัวเมือง หลิวกุ้ย