ข้ามกาลบันดาลรัก ส่วนที่ 1 - ตอนที่ 244-1 หายตัวไปจากสนามสอบ
เดิมตำแหน่งที่เศรษฐีอู๋ซื้อให้อู่เหวินชางเป็นเพียงเจ้าหน้าที่คัดลอกอักษร ต่อมาหลังการติดสินบนให้เจ้านายระดับสูงจำนวนมากอย่างต่อเนื่อง จึงค่อยๆ ไต่เต้าได้เป็นคนสนิทข้างกายใต้เท้าผู้ตรวจการ ยามปกติจะอยู่รับใช้ข้างกายท่านผู้ตรวจการ วันนี้หลังจากถูกพวกเมิ่งเชี่ยนโยวพูดจาสบประมาท ให้เคียดแค้นเคืองขุ่น เดิมคิดจะหาโอกาสกลั่นแกล้งพวกเขา ให้เมิ่งเหรินเข้าสอบซิ่วไฉไม่ได้ ไม่คิดว่าเพิ่งจะกลับมาที่จวน ท่านผู้ตรวจการก็ให้คนมาตามไปพบ บอกว่ามีเรื่องสำคัญจะหารือด้วย
อู่เหวินชางไม่กล้ารอช้า กระวีกระวาดเข้ามายังเรือนหลังที่ทำการ
หลังจากท่านผู้ตรวจการโบกมือให้ทุกคนออกไป แล้วกางภาพวาดวางตรงหน้าเขา ให้เขาจดจำบุคคลในภาพนี้ให้ขึ้นใจ
อู่เหวินชางหยิบภาพวาดขึ้นมา มองซ้ายมองขวา รู้สึกเหมือนเคยเห็นที่ไหน ขณะที่กำลังขบคิดวิเคราะห์นั้น ท่านผู้ตรวจการก็พูดขึ้นว่า “เหลืออีกสองวันก็จะถึงวันสอบซิ่วไฉแล้ว พรุ่งนี้เจ้าไม่ต้องทำอะไรทั้งนั้น พาคนจำนวนหนึ่งออกไปลอบตรวจค้นโรงเตี๊ยมทุกแห่ง ว่ามีผู้สอบที่มาจากอำเภอชิงเหอ ใบหน้าละม้ายคล้ายบุคคลในภาพหรือไม่ จะต้องตรวจค้นอย่างละเอียด สักคนเดียวก็ห้ามให้เล็ดลอดไปได้ เมื่อพบคนผู้นี้ ให้เจ้าส่งคนมารายงานทันที”
อู่เหวินชางถือภาพวาดไว้แน่น พูดว่า “ท่านใต้เท้า ข้าคลับคล้ายว่าจะเคยเห็นบุคคลที่ละม้ายคล้ายภาพวาดนี้ที่ไหน แต่ตอนนี้ยังนึกไม่ออกขอรับ”
ท่านผู้ตรวจการตกใจลุกขึ้น น้ำเสียงเร่งเร้า “เร็วๆ รีบคิด เจ้าเคยเห็นที่ไหน?”
อู่เหวินชางเห็นท่านผู้ตรวจการสนใจเช่นนี้ ลองหยั่งเชิงถาม “ท่านใต้เท้า ผู้เข้าสอบคนนี้เป็นใครหรือขอรับ ท่านถึงให้ความสำคัญเช่นนี้?”
ท่านผู้ตรวจการตวาดเขา “ให้เจ้าคิดก็จงรีบคิด หากเจอคนผู้นี้ได้ ถือว่าเจ้าได้สร้างความชอบครั้งใหญ่ ถึงตอนนั้นข้าจะขอให้เบื้องบนแต่งตั้งตำแหน่งขุนนางให้เจ้า เจ้าจะได้ไม่ต้องตามรับใช้ข้าอีก”
หลายปีมานี้อู่เหวินชางอยากเป็นขุนนางจนแทบคลั่ง ครั้นได้ยินว่าตามหาคนที่มีหน้าตาละม้ายคล้ายคนในภาพเจอก็จะได้เป็นขุนนาง ดีใจเนื้อเต้น หยิบภาพวาดพินิจดูซ้ำไปซ้ำมา ทบทวนความจำว่าเคยเห็นคนผู้นี้ที่ไหนกันแน่
ในตอนนี้มีบ่าวรายงานจากด้านนอก “ท่านใต้เท้า ท่านข้าหลวงยุติธรรมรออยู่ด้านนอก บอกว่ามีเรื่องสำคัญจะพบท่านขอรับ”
ท่านผู้ตรวจการส่งสายตาให้อู่เหวินชางเก็บวาดภาพขึ้น นั่งเป็นสง่าอยู่บนเก้าอี้ พูดว่า “ให้เขาเข้ามาได้”
บ่าวรับคำออกไป
อู่เหวินชางถือภาพวาดยืนด้านหลังเขาอย่างนอบน้อม
ไม่นานท่านข้าหลวงยุติธรรมก็รีบร้อนเดินเข้ามา หลังจากน้อมคำนับท่านผู้ตรวจการแล้ว ก็หยิบภาพวาดใบหนึ่งออกมาจากแขนเสื้อวางลงบนโต๊ะ ซักถามเสียงเบา “ท่านใต้เท้าก็ได้รับภาพวาดนี้ด้วยใช่หรือไม่?”
ท่านผู้ตรวจการและท่านข้าหลวงยุติธรรมเป็นศิษย์ร่วมเสนาบดีเดียวกัน ปกติก็คอยดูแลซึ่งกันและกัน เห็นเขาหยิบภาพวาดเหมือนกับที่ตัวเองมีออกมา พยักหน้าพลัน “ถูกต้อง ข้าเองก็ได้รับภาพวาดเช่นนี้มา ในนั้นเขียนว่าหากพวกเราหาคนเจอ ให้แจ้งข่าวไปที่เมืองหลวง”
ท่านข้าหลวงยุติธรรมมองอู่เหวินชางแวบหนึ่ง
ท่านผู้ตรวจการพูดว่า “ไม่ต้องเป็นกังวล เขาเป็นคนสนิทข้า ท่านมีอะไรก็พูดมาเถอะ”
ท่านข้าหลวงยุติธรรมชะโงกหน้าเข้าหาท่านผู้ตรวจการ กดเสียงลงต่ำ “ท่านใต้เท้า ข้าพบคนผู้นี้แล้ว!”
ท่านผู้ตรวจการถลึงตัวลุกพรวด จนเก้าอี้เกือบจะพลิกคว่ำ ร้องถามเสียงหลง “คนอยู่ที่ไหน? ท่านหาเขาพบได้อย่างไร?”
ท่านข้าหลวงยุติธรรมไม่คิดว่าท่านผู้ตรวจการจะมีปฏิกิริยาเช่นนี้ ตกใจตัวโยน ถอยหลังไปหนึ่งก้าว ถึงพูดว่า “ข้ามีญาติคนหนึ่งมาจากตำบลชิงซี เข้ามาทำงานปัดกวาดเช็ดถูภายในเรือน วันนี้หลังจากข้าได้รับภาพวาด วางไว้บนโต๊ะในห้องหนังสือ ตอนที่เขาเข้ามาเก็บกวาดเห็นเข้า ในตอนนั้นเขาถึงกับตื่นตะลึง บอกว่าหมู่บ้านของพวกเขามีเด็กที่ถูกเก็บมามีหน้าตาละม้ายคล้ายคนในภาพวาดหลายส่วน ข้าได้ฟังก็ตกใจ ซักถามเขาอย่างละเอียด รู้สึกว่าที่เขาพูดเหมือนกับคนที่เบื้องบนให้พวกเราตามหา จึงรีบพาเขาเข้ามาพบท่าน ตอนนี้รออยู่ในลานเรือนแล้วขอรับ”
“รีบให้เขาเข้ามา ข้าจะถามเขาด้วยตัวเอง” ท่านผู้ตรวจการเร่งเร้าพูด
ท่านข้าหลวงยุติธรรมขานรับคำ เปิดประตู ตะโกนออกไปด้านนอก “หลิวกุ้ย เข้ามาได้ ท่านผู้ตรวจการมีเรื่องจะถามเจ้า”
หลิวกุ้ยที่รออยู่ในลานเรือนเดินตัวสั่นเข้ามา คุกเข่าลงเสียงดัง“พลั่ก” “ผู้น้อยหลิวกุ้ยคำนับท่านผู้ตรวจการขอรับ”
ท่านผู้ตรวจการไม่ให้เขาลุกขึ้น ถามเขาทันที “ที่เจ้าพูดมาเป็นความจริง? เจ้าเคยเห็นเด็กที่มีหน้าตาละม้ายกับคนในภาพวาดนี้จริงๆ”
หลิวกุ้ยที่คุกเข่าบนพื้น ตอบด้วยความสั่นกลัว “เรียนท่านใต้เท้า ผู้น้อยพูดล้วนเป็นความจริง ข้าเห็นเด็กคนนี้มาตั้งแต่เยาว์วัย ไม่มีทางผิดแน่นอน”
ท่านผู้ตรวจการเกรงจะเป็นความผิดพลาด ซักถามอย่างละเอียด “เช่นนั้นเจ้าจงบอกข้ามาอย่างละเอียด เจ้าเป็นคนที่ไหน เหตุใดเด็กคนนี้ถึงไปอยู่ที่นั่นได้?”
หลิวกุ้ยยืดตัวตรงพูดว่า “เรียนท่านใต้เท้า ข้าเป็นคนหมู่บ้านหวงตำบลชิงซี สิบปีก่อน ตอนที่เมิ่งเอ้ออิ๋นของหมู่บ้านพวกเราขึ้นไปหาสมุนไพรบนเขามาช่วยชีวิตบุตรสาว เก็บทารกเพศชายคนหนึ่งมาได้จากที่หลบซ่อนหนึ่งบนเขา ระหว่างนั้นสกุลเมิ่งเลี้ยงดูไม่ไหว ส่งเขาให้คนอื่นครั้งหนึ่ง ต่อมาผิดคำพูด ทำทุกวิถีทางเอาตัวเขากลับมา เด็กคนนี้ก็มีความมุมานะ ปีที่แล้วสอบได้เป็นถงเซิง กลายเป็นถงเซิงที่อายุน้อยที่สุดในรอบหลายปีของอำเภอชิงเหอ หากข้าเดาไม่ผิด ปีนี้เขาจะต้องมาเข้าสอบซิ่วไฉ”
สิ้นเสียงเขา อู่เหวินชางเกิดแสงสว่างวาบในสมอง เอ่ยปากถามทันที “สกุลเมิ่งที่เจ้าพูดถึงเกี่ยวข้องอะไรกับเมิ่งต้าจิน?”
หลิวกุ้ยตอบความ “พวกเขาเป็นพี่น้องท้องเดียวกัน เมิ่งเหรินบุตรชายคนโตของเมิ่งต้าจินปีนี้ก็น่าจะเข้ามาสอบซิ่วไฉด้วยเช่นกัน”
อู่เหวินชางตกใจร้องอุทาน “ข้าคิดออกแล้วว่าเจอคนที่หน้าเหมือนกับคนในภาพวาดนี้ที่ไหน!”
ท่านผู้ตรวจการและท่านข้าหลวงยุติธรรมเค้นถามพร้อมกัน “ที่ไหน?”
“วันนี้ตอนเช้า ที่ถนนตะวันออก เมิ่งต้าจินพาพวกเขาออกมาเดินเที่ยว ข้าเห็นเข้าพอดี ในตอนนั้นข้าเอาแต่คุยทักทายกับเมิ่งต้าจิน ส่วนคนอื่นๆ เพียงแค่มองผ่านตา มิได้เก็บมาใส่ใจ ดังนั้นตอนที่เห็นภาพวาด แม้จะรู้สึกคุ้นตา กลับนึกไม่ออกว่าเคยเห็นที่ไหน” อู่เหวินชางตอบ
ท่านผู้ตรวจการและท่านข้าหลวงยุติธรรมหันหน้าสบตากัน สั่งการอู่เหวินชาง “รีบไปสืบว่าพวกเขาพักอยู่โรงเตี๊ยมไหน หาวิธีพบเด็กคนนั้นแล้วเปรียบเทียบอย่างละเอียด หากมีความละม้ายคล้ายกันจริงๆ รีบกลับมารายงานข้าทันที”
อู่เหวินชางลนลานพูด “ท่านใต้เท้า ข้าส่งคนไปสืบมาแล้ว พวกเขาพักที่โรงเตี๊ยมอวิ๋นไหลใกล้สนามสอบขอรับ”
ท่านผู้ตรวจการโบกมือ “พาคนไปเพิ่ม รีบไปตรวจสอบเดี๋ยวนี้”
อู่เหวินชางรับคำ จากนั้นหยิบภาพวาดกระวีกระวาดออกไป
ท่านผู้ตรวจการมองหลิวกุ้ยแวบหนึ่ง กล่าวอย่างน่ายำเกรง “เจ้าก็ออกไปเถอะ จำไว้ให้ดี! ห้ามพูดเรื่องเด็กคนนี้กับใครเด็ดขาด ไม่เช่นนั้น แม้แต่ท่านข้าหลวงยุติธรรมก็รักษาชีวิตเจ้าไว้ไม่ได้”
หลิวกุ้ยตกใจตัวสั่น ก้มหน้าลุกขึ้น ก้าวถอยหลังออกไป
กระทั่งเขาออกไปแล้ว ท่านผู้ตรวจการถึงนั่งบนเก้าอี้ ส่งสายตาให้ท่านข้าหลวงยุติธรรมก็นั่งลง แล้วพูดว่า “ไม่ทราบว่าเด็กคนนี้มีที่มาที่ไปอย่างไร ท่านเสนาบดีถึงต้องเข้ามาข้องเกี่ยวด้วยตัวเอง ทั้งออกคำสั่งหลังจากพบเขาแล้ว ให้รีบส่งข่าวไปที่เมืองหลวงทันที”
ท่านข้าหลวงยุติธรรมก็ส่ายหน้า “ในสารไม่ได้บอกอะไร ข้าก็ไม่กล้าคาดเดาไปเอง ทว่า ถึงกับทำให้ท่านเสนาบดีสั่งการให้หาคนได้ เด็กคนนี้จะต้องมีที่มาที่ไปไม่ธรรมดา”
ท่านผู้ตรวจการกล่าวว่า “ไม่ว่าเขาจะมีประวัติอย่างไร หลังจากที่พวกเราแน่ชัดแล้วว่าเป็นเด็กคนนี้ จักต้องรีบส่งข่าวไปที่เมืองหลวงโดยเร็วที่สุด ให้พวกเขาส่งคนมารับไป เรื่องต่อจากนั้นมอบให้ท่านเสนาบดีไปจัดการ”
ท่านข้าหลวงยุติธรรมพยักหน้าเห็นพ้อง
หลังจากที่อู่เหวินชางได้รับคำสั่งจากท่านผู้ตรวจการ ก็พาเจ้าหน้าที่หลายนายมุ่งหน้ามาโรงเตี๊ยมอวิ๋นไหล
หลงจู๊เห็นเจ้าหน้าที่เดินหน้าตาขึงขังเข้ามา ตกใจรีบออกมาจากหลังโต๊ะคิดเงิน สั่นผวาถาม “ท่านเจ้าหน้าที่ ไม่ทราบว่ามีเรื่องอะไรขอรับ?”
อู่เหวินชางตวาดถาม “หลงจู๊ มีผู้เข้าสอบหลายคนที่มาจากตำบลชิงซีพักอยู่ห้องไหน?”
“เรียนท่านเจ้าหน้าที่ โรงเตี๊ยมของพวกเรามิได้มีการจดบันทึกภูมิลำเนาของบัณฑิต ท่านกำลังพูดถึงใครข้าไม่ทราบจริงๆ ขอรับ” หลงจู๊ตอบกลับตัวสั่นผวา
อู่เหวินชางแค่นเสียงหึ โบกมือให้เจ้าหน้าที่ “ไปสอบถามทุกห้อง ดูว่าพวกเขาพักอยู่ห้องไหน”
เจ้าหน้าที่รับคำ กำลังจะแยกย้ายไป
หลงจู๊เข้ามาขวางพวกเขา “ท่านเจ้าหน้าที่ โรงเตี๊ยมของพวกเรามีแต่บัณฑิตที่มาร่วมสอบเข้าพัก ท่านไปรบกวนพวกเขาเช่นนี้เกรงว่าจะไม่เป็นการดีกระมังขอรับ?”
การที่สามารถเข้าสอบซิ่วไฉได้ล้วนต้องเป็นบัณฑิตหัวกระทิของแต่ละท้องที่ เมื่อสอบซิ่วไฉได้ก็จะมีคุณสมบัติได้เข้าร่วมการสอบขุนนาง ภายหน้าไม่แน่ว่าจะมีท่านไหนได้สลักชื่อบนป้ายทองคำ ดังนั้นเจ้าหน้าที่ทางการทั่วไปจะไม่กล้าล่วงเกินเหล่าบัณฑิตนี้โดยพลการ เหล่าเจ้าหน้าที่ได้ฟังเช่นนั้น หยุดชะงักฝีเท้า หันมามองอู่เหวินชาง
อู่เหวินชางก็ย่อมรู้ผลได้ผลเสียที่แฝงอยู่ ได้ฟังคำพูดของหลงจู๊ ให้ระงับความหุนหันพลันแล่นในใจลง โบกมือบอกเจ้าหน้าที่อย่าเพิ่งดำเนินการ แล้วเปลี่ยนน้ำเสียงหันมาพูดกับหลงจู๊ “ข้าเองก็มาจากตำบลชิงซี เมื่อวานตอนเช้าพบเพื่อนร่วมห้องสมัยเรียนพาบุตรชายเข้ามาสอบซิ่วไฉบนถนนตะวันออก ในตอนนั้นข้ามีงานราชการ ได้คุยกันเพียงไม่กี่คำ วันนี้ตั้งใจจะเข้ามาไต่ถามสารทุกข์สุขดิบกับเขา”
หลงจู๊ได้ฟัง ก็รู้ทันทีว่าเขาพูดถึงพวกเมิ่งเชี่ยนโยว หากเป็นในอดีต คงบอกเขาไปแล้ว แต่เมื่อครู่เห็นเขาพาเจ้าหน้าที่เดินวางอำนาจขึงขังเข้ามา ไม่เหมือนจะเข้ามาไต่ถามทุกข์สุข โรงเตี๊ยมของตนเองก็มีแต่บัณฑิต หากพวกเขาไม่ได้มาดี กระทำเรื่องเป็นภัยต่อบัณฑิต ภายหน้าโรงเตี๊ยมของตนเองก็จะไม่มีบัณฑิตเข้ามาพักอีก คิดถึงตรงนี้ หลงจู๊ทำหน้ารู้สึกผิด “นายท่านทั้งหลาย ต้องขออภัยแล้ว ข้าไม่รู้จริงๆ ว่าบัณฑิตคนไหนมาจากตำบลชิงซี หากท่านต้องการไต่ถามทุกข์สุข ไม่เช่นนั้นรอพวกบัณฑิตสอบเสร็จค่อยมาซักถามอีกครั้ง”
หลงจู๊แสดงชัดเจนว่าไม่ต้องการบอกเขา อู่เหวินชางให้เคืองขุ่นใจ แต่ก็ไม่กล้าใช้อำนาจเกินกว่าเหตุ หากล่วงเกินเหล่าบัณฑิตเข้า จนพวกเขารวมรายชื่อร้องเรียน อย่าว่าแต่ตนเองเลย แม้แต่ท่านผู้ตรวจการก็อาจจะโดนหางเลขไปด้วย ทว่ายังไม่ยอมแพ้ ยืนนิ่งไม่ขยับไปไหน
หลงจู๊แสดงท่าทีอ่อนน้อม น้ำเสียงกลับแข็งกร้าว “นายท่านทั้งหลาย หากพวกท่านไม่มีธุระอะไรแล้วก็เชิญกลับไปเถอะ โรงเตี๊ยมของข้ามีแต่บัณฑิต ทำพวกเขาตกใจจะแย่เอาได้ หากท่านร้อนใจอยากจะไต่ถามทุกข์สุข เมื่อมีบัณฑิตออกมาจากห้อง ข้าจะช่วยถามให้ท่านเอง”
อู่เหวินชางไฉนเลยจะยอมเลิกรา นอกจากหาตัวผู้เข้าสอบที่มีใบหน้าละม้ายกับภาพวาดแล้ว เขายังคิดจะใช้โอกาสนี้กลั่นแกล้งเมิ่งต้าจินอีกครั้ง กลิ้งกลอกนัยน์ตา แล้วคิดแผนหนึ่งได้ “หลงจู๊ อีกหนึ่งวันก็จะถึงวันสอบแล้ว เพื่อคุ้มกันความปลอดภัยของเหล่าบัณฑิต ป้องกันไม่ให้เกิดเรื่องไม่คาดฝัน ข้าและเจ้าหน้าที่ทั้งหมดนี้จะอยู่ที่โรงเตี๊ยมของพวกท่านไม่ไปไหนแล้ว”
เป็นเหตุผลที่ดูผิวเผินมีความสมเหตุสมผล ต่อให้หลงจู๊ไม่ยินยอมเพียงใดก็ไม่อาจคัดค้านได้ จำต้องประสานมือพูดว่า “เช่นนั้นก็ขอบคุณนายท่านทั้งหลายแล้ว ทว่า เพื่อไม่ให้เป็นการรบกวนเหล่าบัณฑิต เชิญพวกท่านไปเฝ้าที่ด้านนอกเถอะขอรับ”
อู่เหวินชางรับคำ “แน่นอนอยู่แล้ว พวกเราจะไปด้านนอกเดี๋ยวนี้” พูดจบ ยกมือขึ้น เจ้าหน้าที่ทั้งหมดก็เดินออกไป มีแต่เขาที่ยังยืนอยู่ในโรงเตี๊ยม
หลงจู๊ขมวดคิ้วมุ่น กลับไม่พูดอะไรอีก และไม่สนใจเขา กลับเข้าไปในโต๊ะคิดเงิน ก้มหน้าดีดลูกคิด แสร้งทำท่าทางคิดบัญชี