ข้ามกาลบันดาลรัก ส่วนที่ 1 - ตอนที่ 247 นายท่าน
เหล่าชายกำยำขานรับคำ แยกย้ายกลับไปยืนในตำแหน่งเดิมของตัวเอง
ชายกำยำคนหนึ่งเดินเข้ามา หยิบยาสมานแผลจินฉวงออกมา ยื่นให้เขาอย่างอ่อนน้อม
หัวหน้าม้อรับมา เทใส่ใบหูลวกๆ
เมิ่งเชี่ยนโยวเดินร่างโงนเงนออกมาจากเรือน จำแนกเส้นทาง แล้วเดินโซซัดโซเซกลับไป
เมิ่งเชี่ยนโยวเจ็บปวดอวัยวะภายในรุนแรง ทุกย่างก้าวเต็มไปด้วยความทุกข์ทรมาน ใจคิดอยากจะนั่งพักสักครู่ แต่นางรู้ว่า หากตนเองนั่งลง อาจจะลุกไม่ขึ้นอีกเลย
ไม่รู้ว่ายืนหยัดเดินไปนานเพียงไร เส้นทางเบื้องหน้าค่อยๆ เลือนรางลง เมิ่งเชี่ยนโยวกัดฟันประคับประคองร่างตัวเอง เอากริชออกมากรีดท่อนแขนหนึ่งแผล ความเจ็บปวดทำให้นางมีสติขึ้นบ้าง
สูดลมหายใจเฮือกใหญ่ แล้วเดินหน้าต่อไป เลือนๆ ลางๆ มองเห็นรถม้าคันหนึ่งแล่นเข้ามา
เมิ่งเชี่ยนโยวยื่นมือออกไป ขวางหน้ารถม้า
คนขับรถตกใจ หยุดรถม้ากะทันหัน เห็นทั้งเนื้อทั้งตัวนางมีแต่เลือด ยิ่งให้ตกตะลึง
ในรถม้ามีเสียงหญิงสาวดังลอดออกมา “เหล่าหลิว เหตุใดถึงหยุดรถม้า?”
เหล่าหลิวขานรับเสียงสั่น “คุณ คุณหนู มีคนขวางรถม้าของพวกเราไว้ขอรับ”
หญิงสาวเกล้ามวยสองข้างนางหนึ่งยื่นศีรษะออกมา มองมาด้านหน้า กล่าวว่า “ใครกันบังอาจ กล้ามาขวางทางรถม้าของพวกเรา?”
เมิ่งเชี่ยนโยวเห็นใบหน้าคนคุ้นเคย รู้ว่าตัวเองมีทางรอดแล้ว ร้องเรียกเสียงแผ่ว “เซี่ยเหอ ข้าเอง!”
เซี่ยเหอได้ยินนางเรียกชื่อตัวเอง พินิจมอง แล้วตกใจร้องอุทาน “แม่นางเมิ่ง!”
เมิ่งเชี่ยนโยวยิ้มอ่อน ตอบกลับอย่างไร้เรี่ยวแรง “ข้าเอง”
เซี่ยเหอลงจากรถม้าเร็วรี่ สาวเท้าเดินมาข้างนาง เห็นนางเลือดไหลโทรมกาย บอบช้ำไปทั้งร่าง รีบเข้าไปประคองนาง ร้องถาม “แม่นาง เหตุใดเจ้าถึงมีสภาพเช่นนี้ได้ ประสบเรื่องอันใดมาหรือ?”
เมิ่งเชี่ยนโยวทิ้งน้ำหนักตัวทั้งหมดไปบนร่างนาง พูดว่า “เรื่องนี้พูดแล้วยาว เจ้าช่วยพาข้าไปส่งที่หนึ่งได้หรือไม่?”
เซี่ยเหอโน้มน้าวนาง “เจ้าบาดเจ็บสาหัสเช่นนี้ ข้าพาเจ้าไปหาหมอก่อนดีกว่า แล้วค่อยพาเจ้าไปยังที่ที่เจ้าอยากไป”
เมิ่งเชี่ยนโยวส่ายหน้า พูดว่า “ข้ามีเรื่องด่วนรอช้าไม่ได้ เจ้าช่วยพาข้าไปส่งก่อนเถอะ”
เซี่ยเหอเห็นนางยืนหยัด รู้ว่าไม่ใช่เรื่องเล็ก พยักหน้า “ได้ ข้าจะประคองแม่นางขึ้นไปบนรถม้า แล้วพาเจ้าไปส่งเอง”
เมิ่งเชี่ยนโยวขยับเท้าอย่างยากเข็ญ ขึ้นรถม้าไปอย่างทะลักทุเลด้วยการประคองของเซี่ยเหอ หลังจากเอนตัวนอนในห้องโดยสาร สูดลมหายใจเข้าเฮือกใหญ่ ถึงพูดว่า “รีบพาข้าไปส่งที่เหล่าจวี้เสียน”
เซี่ยเหอพยักหน้า สั่งการคนขับรถ “เหล่าหลิว รีบไปเหล่าจวี้เสียน ยิ่งเร็วยิ่งดี!”
คนขับรถขานรับ เลี้ยวกลับรถม้า สะบัดบังเ**ยน บังคับรถม้ามุ่งหน้าไปยังเหล่าจวี้เสียนในเมืองโดยไว
เมิ่งเชี่ยนโยวล้มตัวนอนในรถม้า รู้สึกว่าสติสัมปชัญญะของตนเองค่อยๆ เลือนลาง หยิบกริชออกมา กรีดท่อนแขนตัวเองหนึ่งแผล
เซี่ยเหอตกใจร้องลั่น “แม่นาง นี่ท่าน?”
เมิ่งเชี่ยนโยวไม่ได้ตอบนาง แต่ซักถามอย่างอ่อนแรง “ต้องใช้เวลานานเท่าใดจะถึงเหล่าจวี้เสียน?”
เซี่ยเหอเปิดม่านรถ มองไปด้านนอกแวบหนึ่ง ตอบว่า “อีกชั่วเวลาครึ่งก้านธูป”
“ประคองข้าขึ้น” เมิ่งเชี่ยนโยวสั่งนาง
เซี่ยเหอรีบประคองนางขึ้นมา หยิบหมอนอิงวางไว้ด้านหลังนาง
เมิ่งเชี่ยนโยวพูดว่า “ประเดี๋ยวพอถึงเหล่าจวี้เสียน พวกท่านวางข้าไว้หน้าประตู แล้วรีบจากไป ต่อไปไม่ว่ากับใครก็ห้ามเอ่ยถึงเรื่องนี้ เลี่ยงไม่ให้นำภัยมาถึงชีวิตตัวเอง”
เซี่ยเหอไม่วางใจ “แต่ว่า บาดแผลของแม่นาง…?”
เมิ่งเชี่ยนโยวปัดมือไม่ให้นางพูดต่อ “บาดแผลของข้าไม่เป็นอะไร พักสักระยะหนึ่งก็จะดีขึ้น”
เซี่ยเหอไม่ทัดทานนางอีก
เมิ่งเชี่ยนโยวเม้มริมฝีปาก กล่าวด้วยความซาบซึ้งใจ “เซี่ยเหอ ขอบใจเจ้ามาก วันนี้หากไม่ได้พบเจ้า ไม่แน่ว่าข้าคงตายอยู่ข้างถนนแล้ว บุญคุณใหญ่หลวงของเจ้า ภายหน้าข้าจะต้องตอบแทน”
เซี่ยเหอโบกมือเป็นพัลวัน “แม่นางพูดอะไรกัน ในตอนนั้นหากไม่เพราะท่านช่วยท่านเขยเข้าไปสอบในเมืองหลวงได้ทัน ไม่ให้เรื่องของคุณหนูและท่านเขยถูกเปิดโปง ไม่แน่ว่าข้าคงถูกนายท่านฮูหยินโบยตายไปแล้ว ไฉนเลยจะยังมีวันนี้ เทียบกับที่ท่านแล้ว สิ่งที่ข้าทำนี้ไม่มีค่าอะไรเลย บัดนี้ ท่านเขยของพวกเราอยู่ที่…”
เมิ่งเชี่ยนโยวตัดบทนาง “เซี่ยเหอ ไม่ต้องบอกเรื่องคุณหนูและท่านเขยของพวกเจ้ากับข้าแล้ว หากวันนี้ข้ารอดตายไปได้ วันหน้าไปพบกัน ข้าจะต้องแทนคุณพวกเจ้า”
เซี่ยเหอเผยอปาก ไม่ได้พูดอะไร
เมิ่งเชี่ยนโยวพยายามประคองสติของตัวเอง ไม่พูดอะไรอีก
เมื่อมาถึงเหล่าจวี้เสียน ทำตามที่เมิ่งเชี่ยนโยวสั่ง วางนางไว้หน้าประตู เซี่ยเหอมองนางอย่างปวดใจครู่หนึ่ง แล้วกัดฟัน หันหลังขึ้นรถม้า สั่งการคนขับรถเสียงเบาให้รีบจากไปโดยไว
เมิ่งเชี่ยนโยวสูดลมหายใจเข้าลึก ฝืนพาตัวเองเดินมาถึงหน้าประตู ใช้แรงทั้งหมดที่มีทุบประตูใหญ่เหล่าจวี้เสียน
เป็นเวลาดึกสงัด หลงจู๊และเสี่ยวเอ้อร์เหล่าจวี้เสียนต่างนอนหลับหมดแล้ว ได้ยินเสียงเคาะประตูดังรัว เสี่ยวเอ้อร์คนหนึ่งผลุนผลันลุกขึ้นเ เดินมาถึงหน้าประตู ถามเสียงต่ำ “ใครกัน?”
เมิ่งเชี่ยนโยวตอบกลับอย่างไร้เรี่ยวแรง “ข้ามาหาหลงจู๊ของพวกเจ้า”
เสี่ยวเอ้อร์ฟังน้ำเสียงที่ผิดปกติของนางออก พูดว่า “หลงจู๊ของพวกเราหลับแล้ว มีเรื่องอะไรค่อยมาพรุ่งนี้เถอะ”
เมิ่งเชี่ยนโยวสูดลมหายใจเฮือกใหญ่ พูดว่า “นายท่านส่งข้ามา เปิดประตูเดี๋ยวนี้!”
เสี่ยวเอ้อร์ตะลึงงัน รีบถอดไม้คานเปิดประตูออก เห็นร่างเต็มไปด้วยเลือดของเมิ่งเชี่ยนโยวยืนสะโหลสะเหลอยู่หน้าประตู สะดุ้งตกใจ “แม่นาง นี่ท่าน…?”
“เจ้ารีบไปบอกหลงจู๊ ข้ามีเรื่องสำคัญจะพบเขา” เมิ่งเชี่ยนโยวพูด
เสี่ยวเอ้อร์รับคำ กำลังจะไปเรียกหลงจู๊
หลงจู๊ก็คลุมเสื้อตะลีตะลานวิ่งเข้ามาแล้ว เห็นเหตุการณ์ตรงหน้า ก็ให้ตะลึงลาน ร้อนรนซักถาม “แม่นาง นี่เจ้า…?”
เมิ่งเชี่ยนโยวล้วงป้ายหยกชิ้นหนึ่งออกมาจากอกเสื้อ
หลงจู๊เห็นป้ายหยก ให้ตะลึงพรึงเพริด สั่งการเสี่ยวเอ้อร์พลัน “พอปิดประตูแล้ว เจ้าจงกลับไปพักผ่อนในห้อง หากข้ายังไม่อนุญาต ใครก็ห้ามเข้ามา”
เสี่ยวเอ้อร์รับคำ กุลีกุจอปิดประตูใหญ่ แล้ววิ่งแนบกลับไปที่ห้องตัวเอง
เมิ่งเชี่ยนโยวยืนไม่ไหวแล้ว โงนเงนจะล้มลง
หลงจู๊เดินเข้าไป หมายจะประคองเมิ่งเชี่ยนโยวไปนั่งบนม้านั่ง
เมิ่งเชี่ยนโยวค่อยๆ ล้วงป้ายหยกอีกชิ้นออกมา
หลงจู๊ผงะถลึงตาเบิกโพลง โค้งคำนับร้องเรียกด้วยความอ่อนน้อม “นายท่าน!”
เมิ่งเชี่ยนโยวเม้มริมฝีปาก “ถ่ายทอดคำสั่งให้องครักษ์หลวงหัวเมืองเข้าพบเดี๋ยวนี้ ข้ามีเรื่องสำคัญจะให้พวกเขาทำ!”
หลงจู๊รับคำสั่ง เดินไปหลังเรือนโดยไว หยิบสัญญาณลับเฉพาะออกมา โยนขึ้นฟ้า เกิดลำแสงสะท้อนปรากฏขึ้นบนฟ้าสองดวงและคลื่นเสียงความถี่สูงดังขึ้นท่ามกลางราตรีเงียบสงัด แล้วหายวับไปในทันที ทำให้แม้จะเป็นคนที่ถูกปลุกให้ตื่นจากฝันหวาน ก็จะรู้สึกว่าเมื่อครู่คงเป็นเสียงที่ตนเองได้ยินจากในฝัน
ทว่าหลังสัญญาณลับปรากฏ ทั่วทุกมุมของหัวเมืองมีเงาร่างคนลอยทะยาน มุ่งหน้ากันมาที่เหล่าจวี้เสียน
หลงจู๊ที่ปล่อยสัญญาณลับเสร็จ เข้ามาหยิบยาห้ามเลือดในห้อง ร้อนรนเดินมาที่ห้องโถง น้อมตัวยื่นให้ตรงหน้าเมิ่งเชี่ยนโยว “นายท่าน นี่เป็นยาสมานแผลจินฉวงชั้นเลิศ ท่านใส่แผลก่อนเถอะขอรับ”
เมิ่งเชี่ยนโยวรับมา เทใส่บาดแผลอย่างขอไปที รอการมาถึงขององครักษ์หลวงเงียบๆ
ชั่วเวลาหนึ่งถ้วยชา[1] เงาร่างคนห้าคนมาถึงเหล่าจวี้เสียน ร้องถามหลงจู๊พร้อมกัน “หลงจู๊ หานายน้อยพบแล้วหรือ?”
หลงจู๊มองเมิ่งเชี่ยนโยว
ชายฉกรรจ์เห็นเด็กสาวนางหนึ่งตรงหน้า ต่างผงะอึ้ง
เมิ่งเชี่ยนโยวหยิบป้ายหยกสองชิ้นออกมา วางไว้บนโต๊ะ
องครักษ์หลวงทั้งห้านายตะลึงงัน แล้วคุกเข่าหนึ่งข้างพร้อมกัน ประสานมือคำนับ “คารวะนายท่าน!”
เมิ่งเชี่ยนโยวเก็บป้ายหยกใส่อกเสื้อ สั่งการเสียงต่ำ “โอรสองค์โตของท่านอ๋องฉี หลานชายท่านแม่ทัพฉู่ นายท่านที่แท้จริงของพวกเจ้า ตอนนี้ถูกจับตัวไปอยู่ในเรือนไกลปืนเที่ยงแห่งหนึ่งฝั่งตะวันออกของเมือง ยามฟ้าสางจะพากันเข้าเมืองหลวง พวกเจ้ารีบไปรวมพลองครักษ์หลวงของหัวเมืองทั้งหมดมา จักต้องเผด็จศึกพวกเขาให้ได้ก่อนฟ้าสาง”
เหล่าองครักษ์หลวงเดิมก็อุทิศตัวเพื่อเมิ่งอี้เซวียนอยู่แล้ว ได้ยินว่าเกิดอันตรายขึ้นกับเขา ต่างตื่นตกใจ หลังจากขานรับคำ ก็แยกย้ายกันออกไป อึดใจเดียวทุกหัวระแหงของหัวเมืองพลันเกิดเสียงนกหวีดแหลมสูงดังขึ้น ส่งเสียงทอดยาวไปไกลท่ามกลางราตรีที่เงียบสงัด จากนั้น ทั่วทุกซอกทุกมุมของหัวเมืองก็มีเงาร่างมากมายกระโจนทะยาน ตรงเข้ามารวมตัวกันฝั่งตะวันออกของเมือง
เมิ่งเชี่ยนโยวสั่งการหลงจู๊ “ท่านอ๋องฉีและท่านแม่ทัพฉู่น่าจะได้รับทราบข่าวแล้ว หลังจากเผด็จศึกพวกเขาได้แล้ว พวกเจ้าห้ามกระทำการบุ่มบ่าม รอให้พวกเขามาถึงค่อยจัดการที่หลัง”
“ขอรับ นายท่าน!” หลงจู๊ขานรับคำ
เมิ่งเชี่ยนโยวพูดอีกว่า “เจ้ารีบไปเตรียมรถม้าสองคัน ตามข้าไปฝั่งตะวันออกด้วยกัน”
หลงจู๊รับคำอีกครั้งแล้วเดินไปด้านหลังเรือน จัดเก็บรถม้า บังคับออกมาด้วยตัวเอง
เมิ่งเชี่ยนโยวอาศัยลมหายใจเฮือกสุดท้ายพาร่างเดินออกไปจากเหล่าจวี้เสียน ขึ้นรถม้าอย่างยากเข็ญ แล้วสั่งการหลงจู๊บังคับรถม้าไปฝั่งตะวันออก
หลงจู๊สะบัดบังเ**ยน ตะบึงฮ้อรถม้าไม่หยุดไปตามทางที่เมิ่งเชี่ยนโยวบอก กระทั่งมาถึงเรือนฝั่งตะวันออกไม่ไกลจากเมืองมากนัก จึงสั่งม้าให้หยุด
ด้านหลังรถม้ามีองครักษ์หลวงสี่ห้าสิบนายตามมาด้วย ต่างควบคุมลมหายใจ รอฟังคำสั่งจากเมิ่งเชี่ยนโยว
เมิ่งเชี่ยนโยวไม่เหลือเรี่ยวแรงลงจากรถม้าแล้ว ทำสัญญาณมือให้องครักษ์หลวงห้านายนำไปข้างหน้า ค่อยๆ บอกสภาพภายในเรือนให้พวกเขา ทั้งเน้นย้ำห้องที่เมิ่งอี้เซวียนอยู่ กำชับพวกเขา “พวกเขามีประมาณสิบกว่าคน ฝีมือไม่ด้อย พวกเจ้าห้ามประมาทเด็ดขาด จงช่วยอี้เซวียนให้ได้ก่อนสิ่งอื่น”
ทั้งห้าคนขานรับ หลังจากสบตากันแล้ว ก็นำคนทั้งหมดเข้าล้อมเรือนทั้งหมดไว้
หลังจากเมิ่งเชี่ยนโยวจากไป หัวหน้าม้อก็ไม่ได้พัก เอาแต่เดินงุ่นง่านไปมาอยู่ในลานเรือน ทั้งคอยแหงนหน้ามองดูท้องฟ้า รอคอยให้ม้อสือพาคนเข้ามาโดยไว
ทั้งห้าคนกระโดดขึ้นบนกำแพงพร้อมกัน สามคนในนั้นกระโดดไปทางห้องที่ขังเมิ่งอี้เซวียน
ตอนที่หัวหน้าม้อรู้สึกตัวว่ามีคนบุกเข้ามาก็สายไปเสียแล้ว องครักษ์หลวงอีกสองคนตรงเข้าโจมตีเขาอย่างไม่ให้ซุ่มให้เสียง
ส่วนองครักษ์หลวงที่กระโดดเข้ามาด้านหลังแยกกันเข้าปะทะกับชายกำยำทั่วทั้งเรือน
ทั้งสองคนเข้าประชิดตัว หัวหน้าม้อตกตะลึง ทั้งสองคนมีวรยุทธ์สูงกว่าตนเองหลายเท่าตัว เกรงว่าตนเองจะไม่ใช่คู่ต่อสู้ของพวกเขา ร้องถาม “พวกเจ้าเป็นใคร?”
องครักษ์หลวงผู้นำสองนายไม่ตอบความ รุกโรมโจมตีหมายจะเอาชีวิตเขา
เดิมหัวหน้าม้อก็มีอาการบาดเจ็บ บวกกับเร่งรีบเดินทางมาจากเมืองหลวง ไม่ได้พักผ่อน ร่างกายเหนื่อยล้าอ่อนแรง ปะมือกับทั้งสองสิบกว่ากระบวนท่า ก็ถูกองครักษ์หลวงนายหนึ่งประสบจังหวะเหมาะ เข้าประชิดตัว ใช้มีดเล็กในมือจ่อคอหอยเขา
เห็นมีดเล็กในมือเขา หัวหน้าม้อเบิกตาโพลง มองชายหลายสิบนายที่บุกเข้ามาในลานเรือนอย่างไม่เชื่อสายตา
องครักษ์หลวงผู้นำอีกสามนายหลังจากจัดการชายกำยำสองนายที่มีหน้าที่เฝ้าเมิ่งอี้เซวียน เห็นเมิ่งอี้เซวียนนอนไม่ขยับบนเตียง ให้ตะลึงพรั่นพรึง องครักษ์หลวงผู้นำนายหนึ่งพุ่งไปข้างเตียง มือสั่นเทิ้มวางใต้จมูกเขา รู้สึกว่าเขายังมีลมหายใจ ถึงโล่งใจลง หันไปพยักหน้ากับชายอีกสองคน
ชายอีกสองคนก็โล่งใจไปด้วย
คนทั้งเรือนถูกกำราบลงอย่างง่ายดาย แม้แต่ชายกำยำเฝ้าประตูสองคนนั้นก็ถูกเหล่าองครักษ์หลวงโยนเข้ามา
หัวหน้าม้อมองดูสภาพการณ์ตรงหน้า หลุบนัยน์ตาลง รู้ว่าตนเองรวมถึงคนทั้งหมดนี้เกรงว่าวันนี้จะต้องจบชีวิตอยู่ที่นี่แล้ว
รถม้าสองคันแล่นเอื่อยเข้ามาในลานเรือน หลงจู๊จอดรถม้าสนิท หันไปเปิดม่านรถด้วยตัวเอง ใบหน้าซีดขาวไร้สีโลหิตของเมิ่งเชี่ยนโยวปรากฏขึ้นเบื้องหน้าหัวหน้าม้อ
หัวหน้าม้อไม่คิดว่าเมิ่งเชี่ยนโยวที่ได้รับบาดเจ็บสาหัสเช่นนั้น ยังฝืนทนมาได้ถึงตอนนี้ ฝืนกลั้นต่อไปไม่ไหว ตกใจร้องถามเสียงหลง “เจ้ายังไม่ตาย?”
เมิ่งเชี่ยนโยวนั่งในรถม้า แสยะยิ้มอ่อน รอยยิ้มนั้นแฝงด้วยความเ**้ยมเกรียมและเหยียดหยัน
หัวหน้าม้อหรี่นัยน์ตาลง ตอบกลับนางด้วยรอยยิ้มพิลึกพิลั่น คำพูดต่อมาของเมิ่งเชี่ยนโยวกลับทำให้รอยยิ้มบนใบหน้าเขาแข็งค้าง สีหน้าตายด้านฉับพลัน
เมิ่งเชี่ยนโยวหันไปสั่งการเหล่าองครักษ์หลวง “ยามสางวันพรุ่งยังมีคนอีกกลุ่มหนึ่งเข้ามา พวกเจ้าหลบซ่อนให้ดี ถึงตอนนั้นให้เผด็จศึกพวกเขาทั้งหมด”
เหล่าองครักษ์หลวงขานรับคำ
หัวหน้าม้อหัวใจหล่นวูบไปถึงตาตุ่มแล้ว หากคนที่ม้อสือพามาถูกพวกเขาจับได้จริงๆ เช่นนั้นองครักษ์ลับของท่านราชครูก็จะเสียหายไปกว่าครึ่ง
องครักษ์หลวงผู้นำนายหนึ่งเดินมาข้างรถม้า พูดกับเมิ่งเชี่ยนโยวอย่างอ่อนน้อม “นายท่าน นายน้อยสลบไป ตอนนี้นอนอยู่ในห้อง พวกเราจะ…?”
ไม่รอให้เขาพูดจบ น้ำเสียงเร่งเร้าของเมิ่งเชี่ยนโยวพูดแทรกขึ้นพลัน “รีบไปอุ้มเขามาให้ข้าดู”
องครักษ์หลวงผู้นำรับคำ อุ้มเมิ่งอี้เซวียนเข้ามา วางไว้บนรถม้า
เมิ่งเชี่ยนโยวจับชีพจรให้เขา สัมผัสได้ว่าเขาหายใจมั่นคง ชีพจรเป็นปกติ คงจะถูกพวกเขาตีจนสลบไป ถึงวางใจลง ฝืนออกแรงเขย่าตัวเมิ่งอี้เซวียนเบาๆ “อี้เซวียน ฟื้นสิ!”
ร้องเรียกสิบกว่าครั้ง เมิ่งอี้เซวียนถึงลืมตาขึ้นช้าๆ กระทั่งเห็นชัดว่าคนตรงหน้าคือเมิ่งเชี่ยนโยว ก็ลุกพรวด ร้อนรนถาม “โยวเอ๋อร์ เจ้าไม่เป็นอะไรนะ?”
เมิ่งเชี่ยนโยวยิ้มอย่างอ่อนแรง ส่ายหน้าเชื่องช้า พูดปลอบใจเขา “ข้าไม่เป็นไร”
เมิ่งอี้เซวียนมองดูร่างที่โซมไปด้วยเลือดของนาง ทั้งเนื้อทั้งตัวบอบช้ำ คิดจะตรวจดูบาดแผลนาง กลับไม่กล้าลงมือ น้ำตาทะลักพรั่งพรู เอาแต่ลนลานร้องเรียก “โยวเอ๋อร์ โยวเอ๋อร์…”
เมิ่งอี้เซวียนถูกช่วยออกมาได้แล้ว ลมหายใจเฮือกสุดท้ายที่ฝืนประคองร่างไว้ของเมิ่งเชี่ยนโยวสลายไปสิ้น รู้สึกว่าชีวิตของตัวเองค่อยๆ ดับสูญไป นางยื่นมือออกมา หยุดเสียงร้องลนลานของเขา กำชับเขาด้วยน้ำเสียงเบาจนแทบไม่ได้ยิน “อี้เซวียน ท่านพ่อท่านแม่เลี้ยงดูเจ้ามา เจ้าจะต้องรับประกันความปลอดภัยของพวกเขาไปชั่วชีวิต”
จากนั้นไม่รอให้เมิ่งอี้เซวียนตอบกลับ ก็ฝืนทนต่อไปไม่ไหว ทิ้งศีรษะสลบไสลอยู่ในรถม้า
เมิ่งอี้เซวียนตื่นตกใจ เขย่าร่างนางร้องลั่น “โยวเอ๋อร์! โยวเอ๋อร์!”
องครักษ์หลวงผู้นำต่างก็ตื่นตกใจ ลืมเรื่องชนชั้นวรรณะ กระโดดขึ้นรถม้า จับชีพจรให้นาง สัมผัสได้ถึงชีพจรแปรปรวนของนาง แสดงชัดว่าจะต้องบาดเจ็บภายในสาหัส ยิ่งให้รู้สึกเคารพเลื่อมใส ต่อให้เป็นพวกเขาหากได้รับบาดเจ็บภายในสาหัสเช่นนี้ก็ไม่แน่ว่าจะทนมาได้ถึงตอนนี้ เห็นชัดว่าแม่นางน้อยมีความยึดมั่นแรงกล้า
ผ่านไปหนึ่งวัน เมิ่งเชี่ยนโยวที่สลบไปรู้สึกได้ว่ามีคนคอยร้องเรียกตัวเองไม่หยุด ใช้พลังมหาศาล ถึงฝืนลืมตาตัวเองขึ้นได้
“ฟื้นแล้ว โยวเอ๋อร์ฟื้นแล้ว!” เสียงร้องเรียกอย่างยินดีของเมิ่งอี้เซวียนดังขึ้นข้างหูนาง
เมิ่งเชี่ยนโยวพยายามเบี่ยงหน้ามอง
เมิ่งอี้เซวียนดวงตาแดงเปล่ง กำลังมองนางอย่างปิติยินดี
เห็นนางมองมาที่ตัวเอง เมิ่งอี้เซวียนเบิกตาโพลงด้วยความยินดี ร้องถามเสียงเบา “โยวเอ๋อร์ เจ้าฟื้นแล้ว ตอนนี้รู้สึกเป็นอย่างไรบ้าง?”
ความรู้สึกดั่งถูกไฟเผาไหม้ในร่างกายยังคงอยู่ แต่ไม่เจ็บถึงขั้นนั้นแล้ว เผยรอยยิ้มอ่อน พยักหน้าเอื่อยๆ
เมิ่งอี้เซวียนบ่อน้ำตาแตกไหลทะลักพรั่งพรู พูดอย่างหวั่นกลัว “ข้านึกว่าเจ้าจะไม่ฟื้นขึ้นมาอีกแล้ว”
เมิ่งเชี่ยนโยวยกมือขึ้นอย่างเหนื่อยยาก ลูบศีรษะเขา น้ำเสียงเจือแววขบขัน “ไม่หรอก ยังไม่ได้รับข่าวว่าเจ้าสอบซิ่วไฉได้หรือไม่เลย ข้าไม่ยอมตายง่ายๆ หรอก”
เมิ่งอี้เซวียนพยักหน้าหงึกๆ น้ำตานองหน้า
รู้สึกว่าในห้องยังมีคนอื่น เมิ่งเชี่ยนโยวหันมองออกไป ชายที่มีใบหน้าเหมือนกับเมิ่งอี้เซวียนปรากฏขึ้นเบื้องหน้านาง
ชายคนนั้นอายุราวสามสิบกว่า รอบกายเต็มไปด้วยกลิ่นอายของผู้มีบรรดาศักดิ์ นั่งบนเก้าอี้ภายในห้องด้วยท่าทีขึงขังน่าเกรงขาม
เห็นเมิ่งเชี่ยนโยวมองมาที่เขา ชายคนนั้นผงกศีรษะเล็กน้อย พูดว่า “แม่นางเมิ่ง ฟื้นแล้ว?”
เมิ่งเชี่ยนโยวเม้มริมฝีปาก น้อมเรียกเสียงแผ่ว “ท่านอ๋องฉี”
[1] 一盏茶 คือหน่วยนับเวลาแบบโบราณของจีน เท่ากับเวลา 15 นาที หรือหนึ่งจิบชา