ข้ามกาลบันดาลรัก ส่วนที่ 1 - ตอนที่ 249-1 จุดพลิกผันของเมิ่งอี้เซวียน (บทสอง)
สวมรองเท้าเสร็จ เมิ่งอี้เซวียนโน้มตัวเข้าไปประคองนาง ใช้มือข้างที่ไม่ได้รับบาดเจ็บพยุงนางเดินออกไป ทุกขั้นตอนนี้ ไม่แม้แต่จะมองท่านอ๋องฉีสักแวบเดียว
ท่านอ๋องฉีขมวดคิ้วมุ่น นับแต่ที่รู้ชาติกำเนิดเขา เมิ่งอี้เซวียนก็ไม่ได้พูดกับเขาสักคำ ไม่เคยแย้มยิ้มให้เขาสักครั้ง เอาแต่ดึงรั้นที่จะเฝ้าอยู่ข้างกายเมิ่งเชี่ยนโยว รอนางฟื้นขึ้นมา
เมิ่งอี้เซวียนประคองเมิ่งเชี่ยนโยวเดินออกมา สั่งสาวใช้ยกเก้าอี้เข้ามา ให้นางนั่ง
เมิ่งเชี่ยนโยวถึงพบว่า พวกเขายังอยู่ที่เรือนเดิม เพียงแต่ว่า คนเฝ้าเรือนโดยรอบเปลี่ยนเป็นนายทหาร
เมิ่งต้าจินและเมิ่งเหรินไม่รู้ว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้น ผ่านช่วงเวลาหลายวันมานี้อย่างไม่เป็นสุข เห็นเมิ่งเชี่ยนโยวที่ในที่สุดก็ออกมาจากห้อง ดีอกดีใจ สาวเท้าเดินไปหานาง เมิ่งต้าจินถามด้วยความห่วงใย “โยวเอ๋อร์ เจ้าไม่เป็นอะไรนะ?”
เมิ่งเชี่ยนโยวแย้มยิ้ม ปลอบใจเขา “ท่านลุงใหญ่ ข้าไม่เป็นไร พักฟื้นอีกสองวันก็หายแล้วเจ้าค่ะ”
เมิ่งต้าจินพูดต่อ “อี้เซวียนส่งคนไปบอกพวกเราว่าเจ้าได้รับบาดเจ็บ สลบไสลไม่ได้สติ พวกเราต่างตกใจแทบแย่ โชคดีที่เจ้าไม่เป็นอะไร”
เมิ่งเหรินก็เต็มไปด้วยความห่วงกังวล “น้องโยวเอ๋อร์ ดูเจ้าจะยังไม่หายดี เจ้าไม่นอนพักอยู่ในห้อง ออกมาทำไมกัน?”
เมิ่งเชี่ยนโยวกำลังจะตอบ เหวินเปียวและเหวินหู่เร่งฝีเท้าเดินเข้ามา คุกเข่าเบื้องหน้านาง พูดเป็นเสียงเดียวกัน “แม่นาง พวกเราไม่อาจคุ้มครองนาย ขอท่านลงโทษด้วย!”
“หน้าที่ที่ข้ามอบหมายให้พวกเจ้าคือคุ้มครองท่านลุงใหญ่และพี่ใหญ่ให้ปลอดภัย ตอนนี้พวกเขาปลอดภัยดีทุกประการ ถือว่าพวกเจ้าทำภารกิจประสบความสำเร็จ เหตุใดข้าต้องลงโทษพวกเจ้าอีกเล่า?”
เหวินเปียวดื้อรั้นพูดว่า “พวกเราเป็นบ่าวของแม่นาง ตอนเกิดเรื่องพวกเรากลับไม่ได้อยู่ข้างกายท่าน ถือว่าพวกเราบกพร่องต่อหน้าที่ แม่นางสมควรลงโทษสถานหนัก”
เมิ่งเชี่ยนโยวพยักหน้า “เจ้าพูดไม่ผิด สมควรลงโทษสถานหนัก เอาอย่างนี้เถอะ พวกเจ้าจงออกเดินทางทันที พาท่านลุงใหญ่และพี่ใหญ่ไปส่งบ้าน บอกท่านพ่อท่านแม่ข้าว่า ข้ายังมีธุระต้องทำต่อที่หัวเมือง อีกสองสามวันจะกลับไป ให้พวกเขาไม่ต้องเป็นห่วง”
ทั้งสองไม่คิดว่าจะเป็นการลงโทษเช่นนี้ ต่างนิ่งงัน เหวินเปียวพูดขึ้นพลัน “แม่นาง นี่…”
เมิ่งเชี่ยนโยวปัดมือตัดบทเขา “ที่นี่มีทหารที่แม่ทัพฉู่พามาเฝ้ารักษาการณ์ ไม่มีทางเกิดเรื่องใดกับข้าขึ้นอีก พวกเจ้ารีบไปรีบกลับ มาให้ทันพบข้าในวันพรุ่งนี้”
เหวินเปียวและเหวินหู่ได้ฟังดังนั้น ไม่กล้าโอ้เอ้อีก ลุกขึ้นเก็บกวาดรถม้า
เมิ่งต้าจินไม่วางใจ พูดว่า “โยวเอ๋อร์ เจ้าได้รับบาดเจ็บสาหัส จะไม่มีคนข้างกายได้อย่างไร ให้พวกเราอยู่คอยดูแลเจ้าเถอะ”
“ท่านลุงใหญ่ พวกเราสมควรกลับไปตั้งนานแล้ว บัดนี้ล่าช้ามาสามวัน คนที่บ้านจะต้องกระวนกระวายใจแย่แล้ว พวกท่านกลับไปก่อน ให้พวกเขาวางใจลง อีกอย่าง อย่าบอกพวกเขาเรื่องที่ข้าได้รับบาดเจ็บ ข้าจะพักฟื้นในหัวเมืองสักระยะ แล้วจะกลับไป” เมิ่งเชี่ยนโยวกล่าว
เมิ่งต้าจินคิดถึงสองผู้เฒ่าเมิ่งจึงยอมถอยให้ “ข้าจะกลับไปก่อน ให้เหรินเอ๋อร์อยู่ดูแลเจ้า”
เมิ่งเชี่ยนโยวปฏิเสธ “ไม่ต้องเจ้าค่ะ มีอี้เซวียนก็พอแล้ว อีกอย่าง อาการเจ็บข้าตอนนี้ก็ดีขึ้นมากแล้ว ไม่ต้องให้ใครมาดูแล ให้พี่เมิ่งเหรินกลับไปพร้อมท่านเถอะ จำไว้ว่า เรื่องที่พวกเราเจอในหัวเมือง โดยเฉพาะเรื่องที่พบแม่ทัพฉู่และท่านอ๋องฉี ห้ามเอ่ยให้ใครฟังเด็ดขาด”
เมิ่งเชี่ยนโยวหันไปพูดกับเมิ่งอี้เซวียน “เจ้าไปจัดเตรียม ให้พวกเขารีบไปเถอะ เหตุการณ์ต่อจากนี้ ไม่เหมาะให้พวกเขาเห็น”
เมิ่งอี้เซวียนพยักหน้า หันมองท่านอ๋องฉีที่เดินออกมาจากในห้อง
เมิ่งต้าจินเห็นท่านอ๋องฉีเดินออกมา ให้แขนขาอ่อน กำลังจะคุกเข่าคำนับเขา
ท่านอ๋องฉีไม่แม้แต่จะมองเขา สั่งการชายที่เดินขนาบข้าง “พ่อบ้าน เอาเงินให้พวกเขาจำนวนหนึ่ง แล้วส่งพวกเขาออกไป”
เมิ่งต้าจินปัดมือเป็นพัลวัน “ไม่ต้อง ไม่ต้อง พวกเราพอมีเงินติดตัวพ่ะย่ะค่ะ”
ท่านอ๋องฉียังคงไม่สนใจเขา
พ่อบ้านยื่นมือออกมา ทำท่าผายมือให้เมิ่งต้าจิน “ไปเถอะ ข้าจะไปส่งพวกท่านเอง”
เมิ่งต้าจินโค้งตัวพยักเพยิด หลังจากกล่าวขอบคุณท่านอ๋องฉี ก็เดินตามพ่อบ้านออกไป
เพิ่งจะพ้นประตูออกมา ก็เห็นคนสวมชุดเครื่องแบบทางการเดินลงมาจากรถม้า เร่งรีบเดินเข้าไปในเรือน
เมิ่งต้าจินและเมิ่งเหรินเบี่ยงตัวหลบ ให้พวกเขาเดินเข้าไป
พ่อบ้านหยิบตั๋วเงินหนึ่งแผ่นออกมายื่นส่งให้เมิ่งต้าจิน “นี่เป็นเงินหนึ่งร้อยตำลึง พวกท่านรับไว้ แล้วรีบไปเถอะ”
เมิ่งต้าจินปฏิเสธไม่รับ
พ่อบ้านกล่าวอีกครั้ง “นี่เป็นเงินของท่านอ๋อง พวกท่านรับไว้แล้วรีบไปเถอะ หากชักช้าอาจจะไม่ได้ไป”
พอได้ยินว่าไม่ได้ไป เมิ่งต้าจินให้ตื่นตกใจ รีบรับตั๋วเงินมา กล่าวขอบคุณพ่อบ้าน แล้วขึ้นนั่งบนรถม้าบ้านตัวเอง สั่งเหวินเปียวให้บังคับรถม้าออกไปโดยด่วน
ไม่เพียงแต่รอบเรือนอาศัย กระทั่งสองฝั่งถนนก็มีนายทหารยืนเป็นแนวยาวไปตลอดทาง
กระทั่งเหวินเปียวตวัดแส้บังคับรถม้าออกมาไกลมาก ถึงมองไม่เห็นพวกเขา เมิ่งต้าจินก็ให้โล่งใจลง แต่ก็ยังรบเร้าให้เหวินเปียวบังคับรถม้าให้เร็วขึ้น
เว่ยหงพาขุนนางกลุ่มหนึ่ง เดินเข้ามาในลานเรือน ไม่กล้าแม้แต่จะเงยหน้า คุกเข่าตัวสั่นงันงกอยู่บนพื้น เอ่ยปากพูดด้วยเสียงสั่นเครือ “เว่ยหงผู้ตรวจการมณฑลคารวะท่านอ๋อง หม่อมฉันไม่ทราบว่าท่านอ๋องมาถึงหัวเมืองแล้ว ไม่ได้ทำการตอบรับ ขอท่านอ๋องโปรดอภัยด้วยพ่ะย่ะค่ะ”
ท่านอ๋องฉีนั่งนิ่งบนเก้าอี้ ถามด้วยบารมีน่าเกรงขาม “เว่ยหง เจ้ายังเห็นท่านอ๋องคนนี้อยู่ในสายตาหรือไม่?”
เว่ยหงนึกว่าท่านอ๋องฉีตำหนิที่เขามาช้า เหงื่อเย็นไหลซึมทั่วร่างพลัน ลนลานโขกศีรษะ พูดแก้ต่างให้ตัวเอง “พอเว่ยหงได้รับข่าวจากแม่ทัพฉู่ ก็รวบรวมขุนนางทุกหน่วยมารับเสด็จท่านอ๋องทันทีพ่ะย่ะค่ะ”
“เว่ยหง เจ้าเงยหน้าขึ้น ดูว่าท่านอ๋องเป็นใคร?” ท่านอ๋องฉีออกคำสั่งเขา
เว่ยหงหวาดกลัวตัวสั่น “หม่อมฉันไม่กล้าพ่ะย่ะค่ะ”
ท่านอ๋องฉีแค่นเสียงหึ “ไม่กล้า? ตอนที่เจ้าชิงตัวโอรสข้าเหตุใดไม่พูดว่าไม่กล้า?”
เว่ยหงโขกศีรษะกับพื้น “ท่านอ๋องโปรดตรวจสอบ หม่อมฉันไม่เคยพบองค์ชายมาก่อน จะชิงตัวเขาได้อย่างไร?”
“งั้นหรือ?” ท่านอ๋องฉีถามเสียงเ**้ยม
เครื่องแบบทางการของเว่ยหงเปียกซึมไปด้วยเหงื่อ โขกศีรษะสุดแรงอีกครั้ง “จริงแท้แน่นอนพ่ะย่ะค่ะ หากพบองค์ชาย หม่อมฉันมีแต่จะรีบเข้าไปต้อนรับ จะชิงตัวเขาได้อย่างไร?”
ท่านอ๋องฉีโกรธเกรี้ยว ตวาดเสียงกร้าว “เว่ยหง!”
เว่ยหงสัมผัสได้ถึงน้ำเสียงโกรธเกรี้ยวของเขา สะดุ้งตกใจตัวสั่น ตอบกลับด้วยเสียงสั่นระรัว “พ่ะย่ะค่ะ”
“เงยหน้าขึ้น!” ท่านอ๋องฉีออกคำสั่งเขา
เว่ยหงเงยหน้าอย่างสั่นเทิ้ม กระทั่งตอนที่เห็นใบหน้าของท่านอ๋องฉีก็ตกใจนั่งทื่อไปกับพื้น ลืมว่าเป็นการไม่สมควร ชี้ท่านอ๋องฉีร้องพูด “นี่ๆๆ…”
พูดรัวคำเดียว แล้วก็พูดอะไรไม่ออกอีก
ส่วนขุนนางคนอื่นพอได้ยินวาจาเสียมารยาทเช่นนี้ของเขา ก็แอบเงยหน้าขึ้นพินิจมองท่านอ๋องฉี ครั้นพอเห็นใบหน้าของเขาชัดเจนก็ให้ตกใจอ้าปากค้าง
น้ำเสียงเกรี้ยวกราดของท่านอ๋องฉีดังขึ้นอีกครั้ง “เห็นชัดเจนแล้วหรือไม่?”
เว่ยหงโขกศีรษะสุดแรงเกิดหลายครั้ง ขอร้องวิงวอน “ท่านอ๋องไว้ชีวิตด้วย หม่อมฉันไม่เคยเห็นใบหน้าที่แท้จริงของท่านมาก่อน ไม่ทราบจริงๆ ว่าคนที่พวกเราชิงตัวมาก็คือองค์ชาย หากว่าทราบ ต่อให้ท่านให้ร้อยความกล้า หม่อมฉันก็ไม่กล้าพ่ะย่ะค่ะ”
ขุนนางด้านหลังไม่กล้าปริปาก โขกศีรษะร้องขอชีวิตไม่หยุด
ท่านอ๋องฉีไม่สนใจพวกเขา
ในลานเรือนเงียบสงบ เสียงโขกศีรษะของเหล่าขุนนางดังสะท้อนกึกก้อง
กระทั่งเหล่าขุนนางโขกศีรษะจนมีเลือดไหลซึมหน้าผาก เสียงท่านอ๋องฉีถึงดังขึ้นอีกครั้ง “เมื่อพวกเจ้าบอกว่าไม่รู้เรื่อง ข้าจะยอมเชื่อพวกเจ้าก่อน พูดมา ใครที่ให้พวกเจ้าลงมือกับองค์ชาย?”
เหล่าขุนนางหยุดโขกศีรษะ หันมองเว่ยหงเป็นตาเดียว
เว่ยหงยังโขกศีรษะไม่หยุด ไม่มีเสียงตอบรับ
ท่านอ๋องฉีหรี่หลุบนัยน์ตา เปล่งเสียงข่มขวัญ “เว่ยหง ข้าละเว้นชีวิตเจ้าหนึ่งครั้ง เป็นเจ้าเองที่ไม่หวงแหน เช่นนั้นจะหาว่าข้าไม่เกรงใจไม่ได้” พูดจบ ตวาดเสียงลั่นออกไปด้านนอก “แม่ทัพฉู่”
ฉู่เหวินเจี๋ยรับคำเดินเข้ามาในเรือน น้อมประสานมือคำนับ “ท่านอ๋อง”
ท่านอ๋องฉีสั่งการเขา “พาตัวพวกเขาเข้ามา!”
ฉู่เหวินเจี๋ยขานรับคำ แล้วโบกมือ นายทหารหลายนายกุมตัวเด็กสี่คนเข้ามา
เห็นเว่ยหงคุกเข่าบนพื้น เด็กร้องตะโกนเสียงหลงพร้อมกัน “ท่านพ่อ!”
เว่ยหงร่างสั่นเทิ้ม หันกลับไปมองสามบุตรชายและหนึ่งบุตรสาวของตัวเองที่ถูกนำตัวเข้ามา ปิดเปลือกตาลงอย่างปวดร้าว
ท่านอ๋องฉีพูดอย่างไร้ความเมตตาปราณี “เว่ยหง เจ้าต้องคิดให้ดีๆ เจ้าจะพูดหรือไม่พูด?”
เว่ยหงกัดฟันไม่พูด
ท่านอ๋องฉีก็ไม่เสียเวลากับเขาอีก ปัดมือข้างหนึ่ง องครักษ์นายหนึ่งในลานเรือนเดินขึ้นหน้าลากเด็กที่อายุมากที่สุดออกไป เงื้อดาบเตรียมจะฟันลงมา
เว่ยหงฝืนทนต่อไปไม่ไหว ลนลานพูดขึ้น “ข้าพูด ข้าพูดแล้ว!”
องครักษ์หยุดชะงัก
ท่านอ๋องฉีโบกมือให้เขาถอยไป ทั้งไม่เร่งเร้าเว่ยหง แต่กลับพูดว่า “เชื่อว่าเจ้าจะต้องเคยได้ยินเรื่องเมื่อสิบเอ็ดปีก่อน หลังจากเซวียนเอ๋อร์หายสาบสูญไป ข้าโบยสาวใช้ บ่าว องครักษ์และทหารยามทั้งหมดตายทั้งเป็น เลือดสดๆ ไหลนองไปทั่วถนน หากวันนี้เจ้าไม่พูดความจริง ข้าไม่รังเกียจที่จะให้เหตุการณ์เมื่อสิบกว่าปีก่อนเกิดขึ้นอีกครั้งกับคนในครอบครัวเจ้า”
เหล่าขุนนางตกใจร่างสั่นสะท้าน
คิดถึงเหตุการณ์ครั้งนั้น เว่ยหงไม่กล้าปิดบังอีก บอกเรื่องที่ตนเองได้รับสารและภาพวาดออกมาทั้งหมด
ขุนนางที่เหลือต่างพยักหน้าสมทบ บอกว่าตนเองก็ได้รับสารและภาพวาดนี้
ท่านอ๋องฉีมองพวกเขา ถามเสียงเ**้ยม “สารและภาพวาดนี้มาจากฝีมือของใคร?”
เว่ยหงสีหน้าพะอืดพะอมครู่หนึ่ง สุดท้ายกัดฟันพูดออกมา “ท่านราชครูให้คนส่งมาให้หม่อมฉัน หม่อมฉันเป็นศิษย์ของเขาพ่ะย่ะค่ะ”
ท่านอ๋องฉีไม่คิดว่าจะได้คำตอบเช่นนี้ ผงะอึ้งเล็กน้อย หรี่นัยน์ตาถาม “ที่เจ้าพูดเป็นความจริง?”
เว่ยหงโขกศีรษะอีกครั้ง “ท่านอ๋องโปรดตรวจสอบ หม่อมฉันกราบทูลตามความสัตย์จริงทุกประการ หาได้หลอกลวงปิดบังไม่พ่ะย่ะค่ะ”
“ข้าจะเชื่อเจ้าก่อน ข้าขอถามเจ้า หลังจากพวกเจ้าได้รับสาร ไยถึงหาเซวียนเอ๋อร์พบได้โดยไว” ท่านอ๋องฉีถามขึ้นอีก
เว่ยหงตอบ “เป็นความบังเอิญพ่ะย่ะค่ะ ผู้ติดตามของหม่อมฉันและญาติคนหนึ่งของท่านข้าหลวงยุติธรรมมีความเกี่ยวพันกับคนที่เก็บองค์ชายไปเลี้ยง ตอนที่พวกเรานำภาพวาดออกมาให้พวกเขาดู ก็บอกกับพวกเราทันที ทว่าพวกเรายังไม่กล้าชี้ชัด กระทั่งวันสอบวันแรก ท่านใต้เท้าผู้คุมการสอบให้คนมาแจ้งข่าวกับพวกเรา ยืนยันว่าองค์ชายมีใบหน้าละม้ายกับภาพวาด พวกเราถึงให้คนลงมือปฏิบัติการ”
ท่านอ๋องฉีออกคำสั่งองครักษ์ “จงไปจับตัวคนที่เขาเอ่ยถึงทั้งหมดมาให้เร็วที่สุด”
องครักษ์รับคำออกไป
ท่านอ๋องฉีกล่าวว่า “เว่ยหง ข้าจะให้โอกาสเจ้าทำคุณไถ่โทษ หากเจ้าพูดตามความจริง ข้าจะไว้ชีวิตคนในครอบครัวเจ้า”
เว่ยหงร้อนรนตอบ “ท่านอ๋องเชิญถาม ขอเพียงหม่อมฉันทราบ จักบอกท่านโดยละเอียด”
“ในสารบอกพวกเจ้าว่าหลังจากพบองค์ชายแล้ว ให้จัดการอย่างไร?”
เว่ยหงตอบทันควัน “เรียนท่านอ๋อง ในสารเพียงบอกว่าหลังจากที่พวกเราพบองค์ชาย ให้ซ่อนตัวไว้ให้ดี รอคนในเมืองหลวงเข้ามารับตัวไปก็พอพ่ะย่ะค่ะ”
“มีเพียงเท่านี้?” ท่านอ๋องฉีถาม
เว่ยหงตอบกลับ “มีเพียงเท่านี้พ่ะย่ะค่ะ ท่านให้อีกร้อยความกล้าหม่อมฉันก็ไม่กล้าปิดบังแล้ว”
ท่านอ๋องฉีมองคนที่เหลือ ถามขึ้น “พวกเจ้าเล่า?”
ขุนนางทั้งหมดพูดคล้อยตามเว่ยหงทุกประการ