ข้ามกาลบันดาลรัก ส่วนที่ 1 - ตอนที่ 249-2 จุดพลิกผันของเมิ่งอี้เซวียน (บทสอง)
ท่านอ๋องฉีนิ่งเงียบครู่หนึ่ง แล้วสั่งองครักษ์ข้างกาย “นำตัวม้อเอ้อเข้ามา!”
องครักษ์รับคำ เดินเข้าไปในห้องหนึ่ง ลากตัวหัวหน้าม้อที่ร่างกายมีแต่รอยแผลออกมา โยนไปที่พื้น เว่ยหงและขุนนางทั้งหมดเห็นสภาพน่าสังเวชของเขา ขวัญหนีดีฝ่อถอยร่นไปอีกด้าน อยู่ให้ไกลจากเขา
ท่านอ๋องฉีถามขึ้น “ม้อเอ้อ เจ้าจงบอกข้ามาตามสัตย์จริง เฮ่อจางส่งพวกเจ้ามาเพื่อการใดกันแน่?”
ม้อเอ้อได้รับการลงทัฑณ์หลายวันติดต่อกัน ร่างกายอ่อนละโหยโรยแรง ได้ยินคำถามท่านอ๋องฉี ฝืนกัดฟันพูดปฏิเสธ “ท่านราชครูกล่าวว่า องค์ชายหายสาบสูญไปหลายปี บัดนี้ตามหาเจอแล้ว สั่งให้หม่อมฉันเข้ามารับ คุ้มกันความปลอดภัยส่งตัวกลับเมืองหลวงพ่ะย่ะค่ะ”
“เหลวไหลสิ้นดี!” ฉู่เหวินเจี๋ยคำรามร้องเสียงกร้าว “เมื่อมาคุ้มกันตัวส่งกลับเมืองหลวง เหตุใดพวกเจ้าต้องลงมือกับเซวียนเอ๋อร์? ทั้งทำร้ายแม่นางเมิ่งบาดเจ็บสาหัส?”
ม้อเอ้อแต่งเรื่องโต้แย้ง “เด็กสาวคนนี้บุกรุกเคหะสถานตามลำพัง พวกเรานึกว่านางจะเข้ามาลอบสังหารองค์ชาย ถึงลงมือกับนาง สำหรับองค์ชาย เพราะลูกน้องหม่อมฉันถูกนางขู่เข็ญ พวกเขาเพื่อช่วยหม่อมฉัน ใต้ภาวะคับขัน ถึงต้องลงมือพ่ะย่ะค่ะ”
ท่านอ๋องฉีคำรามลั่น “บังอาจนัก กล้าลงมือกับองค์ชาย ทหาร จับตัวพวกมันออกมา ข้าอยากดูนัก ใครกันที่กล้าหาญเช่นนี้?”
เหล่าองครักษ์หลวงรับคำ เดินเข้าไปในห้องหนึ่ง ลากตัวคนทั้งหมดออกมา โยนไปบนพื้น
ท่านอ๋องฉียืนตะแคงข้าง ใบหน้าเ**้ยมเกรียมอำมหิต เค้นถามคนบนพื้นด้วยน้ำเสียงกราดเกรี้ยว “พวกเจ้าตอบข้ามา ใครกันที่มันบังอาจ กล้าทำร้ายโอรสของข้า?”
การลงทัณฑ์ตลอดหลายวันนี้ทำพวกเขาทุกข์ทรมานแสนสาหัส ตอนนี้ได้พบหน้าท่านอ๋อง เหล่าชายฉกรรจ์ต่างสั่นสะท้าน นอนแผ่ไปกับพื้น กลับยังกัดฟันไม่ยอมปริปาก
ท่านอ๋องฉีแสยะยิ้มอำมหิต พูดว่า “ปกติข้าคงจะใจดีมีเมตตาเกินไป ทำให้คนชั้นต่ำอย่างพวกเจ้ากล้าย่ามใจทำร้ายองค์ชายได้?”
เหล่าชายฉกรรจ์ยิ่งให้เสียวสันหลังสะพรึงกลัว ร่างสั่นเทิ้มอย่างไม่อาจควบคุม
ท่านอ๋องฉีนั่งหลังตรง ตวาดเรียกองครักษ์เสียงลั่น “ทหาร!”
องครักษ์รับคำ
วาจาเย็นเยียบหลุดออกมาจากปากท่านอ๋องฉี “นำตัวพวกเขาไปสับเป็นพันเป็นหมื่นชิ้น เพื่อไม่ให้เป็นเยี่ยงอย่าง”
เหล่าองครักษ์ขานรับคำ เข้ามาลากตัวชายฉกรรจ์ทั้งหมดออกไป ชักมีดเล็กข้างตัวออกมา ค่อยๆ แล่เนื้อชายฉกรรจ์ออกมาทีละชิ้นละชิ้น
ชายฉกรรจ์กรีดร้องโหยหวน เสียงดังกึกก้องลานเรือนสะท้อนลอยไกลออกไป แม้แต่ทหารที่เฝ้ายามข้างทางได้ยินเข้า ยังอดสั่นผวาไม่ได้ ต่างขยาดกลัวขนหัวลุก
ส่วนเด็กทั้งสี่คนนั้นตกใจจนหมดสติไปนานแล้ว
เว่ยหงที่อยู่หน้าขุนนางทั้งหมดแทบอยากจะให้ตัวเองหมดสติไป ไม่ต้องทนเห็นภาพสยองขวัญนี้
น้ำเสียงเ**้ยมเกรียมของท่านอ๋องฉีดังขึ้น “พวกเจ้าทั้งหมดเบิกตาดูไว้ให้ดี นี่คือจุดจบของคนที่ทำร้ายเซวียนเอ๋อร์ของข้า หากใครกล้ากระทำผิดอีก ข้าจะทำให้มันผู้นั้นทุกข์ทรมานยิ่งกว่านี้”
เหล่าขุนนางตกใจตัวสั่น เอาแต่โขกศีรษะร้องขอชีวิต
ท่านอ๋องฉีไม่แยแส ดวงตาเ**้ยมเกรียมมองพวกชายฉกรรจ์ที่กำลังถูกลงทัณฑ์
ชาติที่แล้วเมิ่งเชี่ยนโยวฆ่าคนมาไม่น้อย แต่นางจะปลิดชีวิตพวกเขาโดยเร็ว ไม่เคยใช้วิธีโหดเ**้ยมทารุณเช่นนี้ ให้ประหวั่นพรั่นพรึง กลัวเมิ่งอี้เซวียนจะรับไม่ไหว รีบเอียงศีรษะหันมองเขา
สีหน้าเมิ่งอี้เซวียนไม่เปลี่ยนไปเลยสักนิด ประหนึ่งไม่มีสิ่งใดเกิดขึ้น เห็นเมิ่งเชี่ยนโยวมองเขา ถามเสียงละมุน “เจ้าไม่สบายตรงไหนหรือ?”
เขาเปลี่ยนไปมาก เมิ่งเชี่ยนโยวพลันปรับตัวไม่ทัน ได้แต่ส่ายหน้านิ่งอึ้ง
เมิ่งอี้เซวียนเห็นปฏิกิริยาของนาง คาดเดาความในใจนางออก เม้มริมฝีปาก กล่าวด้วยน้ำเสียงราบเรียบ “พวกเขาทำร้ายเจ้า สมควรต้องมีจุดจบเช่นนี้แล้ว”
เมิ่งเชี่ยนโยวตะลึงงันอีกครั้ง มองเมิ่งอี้เซวียนราวกับไม่รู้จักเขา
เมิ่งอี้เซวียนก็ไม่หลบเลี่ยง สบตานางกลับ ดวงตาโตคู่งามนั้นนอกจากความเป็นห่วงและเป็นกังวล ก็ไม่มีความรู้สึกอื่นอีก
หัวใจเมิ่งเชี่ยนโยวเกิดคลื่นลูกใหญ่โหมซัด เก็บคืนสายตา ก้มหน้าลอบคิด เพียงเวลาสั้นๆ ไม่กี่วัน เขาก็เปลี่ยนไปได้ขนาดนี้ เพราะประสบกับเหตุการณ์พลิกผัน หรือนี่ก็คือวิสัยโดยแท้ของเชื้อพระวงศ์
เมิ่งอี้เซวียนเห็นนางก้มหน้าไม่พูดไม่จา นึกว่านางรับกับเหตุการณ์ตรงหน้านี้ไม่ได้ ขมวดคิ้ว สั่งการองครักษ์ “รีบจัดการเถอะ ร่างกายโยวเอ๋อร์ไม่แข็งแรง ทนดูภาพพวกนี้ไม่ไหว”
เหล่าองครักษ์หยุดชะงัก หันมองท่านอ๋องฉี รอฟังคำสั่งจากเขา
ท่านอ๋องฉีโบกมือ
เหล่าองครักษ์ยกมีดขึ้น สิ้นเสียงร้องโหยหวนของเหล่าชายฉกรรจ์ทั้งหมดในทันใด
อู๋เหวินชางและหลิวกุ้ยถูกองครักษ์นำตัวเข้ามา ยังเดินไม่ถึงลานเรือน ก็ได้ยินเสียงกรีดร้องโหยหวน หัวใจก็สั่นรัวไม่เป็นจังหวะ พอเดินเข้ามาในลานเรือน เห็นเนื้อตัวแหว่งหวิ่นเห็นกระดูกขาวผุดของเหล่าชายฉกรรจ์อีกทั้งเนื้อคนที่ถูกโยนทิ้งเกลื่อนพื้น ตกใจตาเหลือก แล้วหมดสติไป
“สาดน้ำให้เศษสวะทั้งสองนี้ฟื้นขึ้นมา” ท่านอ๋องฉีออกคำสั่งเสียงกร้าว
องครักษ์สองนายรับคำ แบกน้ำเข้ามาสาดใบหน้าคนทั้งสอง อู๋เหวินชางและหลิวกุ้ยฟื้นคืนสติพลัน ตะเกียกตะกายลุกขึ้น โขกศีรษะให้ท่านอ๋องฉี “ท่านอ๋องไว้ชีวิตด้วย ท่านอ๋องไว้ชีวิตด้วย!”
ท่านอ๋องฉีโบกมือ สั่งองครักษ์ “จัดการซะ”
องครักษ์เดินมาตรงหน้าทั้งสองคน อู๋เหวินชางและหลิวกุ้ยยังไม่ทันรู้แจ้งว่าตนเองล่วงเกินสิ่งใดท่านอ๋องฉี ก็ถูกมีดปลิดชีวิตตายคาที่
เห็นท่านอ๋องฉีไม่สืบสาวราวเรื่อง ก็เด็ดชีวิตคนทั้งสอง เว่ยหงและขุนนางที่เหลือยิ่งให้หัวใจสั่นผวาสุดขีด
“ข้าจะถามพวกเจ้าอีกครั้ง เหตุใดพวกเจ้าถึงต้องจับตัวเซวียนเอ๋อร์มา? หากว่าพูด ข้าจะไว้ชีวิตพวกเจ้าทั้งครอบครัว” เสียงท่านอ๋องฉีดังสะท้อนข้างหูเย็นเยือกของพวกเขา
เว่ยหงและคนอื่นๆ รีบโขกศีรษะร้องขอชีวิต “ท่านอ๋องไว้ชีวิตด้วย พวกเราไม่รู้จริงๆ พ่ะย่ะค่ะ”
ท่านอ๋องฉีขมวดคิ้ว พูดว่า “เมื่อเป็นเช่นนี้ คงจะปล่อยพวกเจ้าไปไม่ได้แล้ว เห็นแกที่พวกเจ้าตอบความตามตรง ข้าจะให้ทางเลือกพวกเจ้า พวกเจ้าต้องการจะถูกแล่เนื้อทีละชิ้นจนตาย หรืออยากเห็นคนในครอบครัวตายต่อหน้าพวกเจ้าก่อน?”
เว่ยหงตกตะลึง มองดูบุตรชายบุตรสาวทั้งสี่คนที่สลบไปแล้ว ลนลานคลานไปข้างม้อเอ้อ เอ่ยปากวิงวอน “ท่านหัวหน้าม้อ ท่านจักต้องรู้ว่าท่านราชครูให้พวกเราจับตัวองค์ชายมาทำไม ข้าขอร้องท่าน เห็นแกที่ข้าจงรักภักดีต่อท่านราชครูมาโดยตลอด ท่านได้โปรดพูดออกมาเถอะ ขอเพียงไม่ส่งผลกระทบถึงคนในครอบครัวข้า ชาติหน้าข้ายอมเป็นวัวเป็นม้าตอบแทนท่าน”
ม้อเอ้อตวาดเขา “เว่ยหง เลิกพูดเหลวไหลได้แล้ว ท่านราชครูสั่งข้าให้มาคุ้มครององค์ชายกลับเมืองหลวง หาได้มีจุดประสงค์อื่นไม่?”
พอคิดว่าคนในครอบครัวตัวเองจะต้องติดร่างแหไปด้วย เว่ยหงแทบจะหัวใจแตกสลาย โพล่งปากพูดออกมา “ไม่มีทาง หากเพื่อมารับองค์ชายเข้าเมืองหลวง เหตุใดท่านต้องสั่งให้ข้าจัดการคนที่ก่อเหตุพวกนั้น ท่านราชครูจะต้องยังมีเป้าประสงค์อื่น ขอร้องท่านพูดออกมาเถิด ช่วยชีวิตครอบครัวข้าด้วยเถิด”
ม้อเอ้อโมโหกราดเกรี้ยว ตวาดเสียงลั่น “เว่ยหง เจ้าเลอะเลือนไปแล้วเรอะ? ต่อให้วันนี้ครอบครัวเจ้ารอดพ้นความตายนี้ไปได้แล้วอย่างไร เมื่อท่านราชครูรู้ว่าพวกเจ้าหักหลังเขา คนในครอบครัวเจ้าก็ต้องตายอยู่ดี”
เว่ยหงชะงักอึ้ง ริมฝีปากสั่นระริก ไม่ได้พูดอะไรออกมา นั่งตัวแข็งทื่อใบหน้าซีดเผือก
ขุนนางคนอื่นได้ยินคำพูดม้อเอ้อ ก็ทิ้งตัวนั่งทื่อไปกับพื้น
มองดูสภาพพวกเขา ท่านอ๋องฉีขมวดคิ้วมุ่น ดูท่านอกจากม้อเอ้อแล้ว คนอื่นคงจะไม่รู้เรื่องจริงๆ แต่ม้อเอ้อปิดปากแน่น หลายวันมานี้ไม่ว่าองครักษ์จะทรมานเขาอย่างไร เขาก็ปิดปากสนิท ยืนยันคำพูดเดิม องครักษ์ก็ไม่รู้จะทำอย่างไรกับเขาแล้ว
ฉู่เหวินเจี๋ยก้าวมาข้างหน้า เปล่งเสียงพูด “ท่านอ๋อง หม่อมฉันมีวิธีทำให้เขายอมเปิดปาก”
“พูด!”
ฉู่เหวินเจี๋ยประสานมือ “องครักษ์หลวงที่ท่านแม่ทัพเฒ่าทิ้งไว้ให้องค์ชาย มีฝีมือสอบสวนเค้นความ ให้พวกเขามาลองดูก็ได้พ่ะย่ะค่ะ”
สิ้นเสียงฉู่เหวินเจี๋ย ม้อเอ้อร่างสั่นเทิ้ม สะท้อนแววตาสิ้นหวัง
ท่านอ๋องฉีก้มหน้านิ่งเงียบ
ฉู่เหวินเจี๋ยพลันเอ่ยปาก “ท่านอ๋อง เรื่องนี้หากไม่สืบให้รู้ชัด แม้นองค์ชายจะกลับเมืองหลวงแล้ว ก็จะมีอันตรายได้!”
ท่านอ๋องฉียกมือ มองไปที่เมิ่งอี้เซวียน เห็นเขาเอาแต่จับจ้องเมิ่งเชี่ยนโยว ราวกับเรื่องที่เกิดขึ้นเบื้องหน้าหาได้เกี่ยวข้องกับเขาไม่ ขมวดคิ้วเกร็งแน่น พูดเสียงต่ำ “เซวียนเอ๋อร์ เจ้า…”
เมิ่งอี้เซวียนเอ่ยปาก ใช้น้ำเสียงละมุนกล่าววาจาเ**้ยมอำมหิต “ไม่ต้องสืบแล้ว จัดการพวกเขาทั้งหมดซะ โยวเอ๋อร์นั่งอยู่ข้างนอกเป็นเวลานานเหนื่อยล้ามากแล้ว ข้าจะประคองนางเข้าไปพักผ่อน”
ฉู่เหวินเจี๋ยผลุนผลันห้ามเขา “องค์ชาย…”
พูดยังไม่ทันจบ เมิ่งอี้เซวียนก็ตัดบทเขา “แม่ทัพฉู่ เหล่านี้เป็นเรื่องที่ประจักษ์ชัดแจ้งอยู่แล้ว เมื่อท่านอ๋องไม่เด็ดขาด ต่อให้พวกเราเค้นถามออกมาได้ก็แล้วอย่างไร? เพื่อเลี่ยงไม่ให้ทุกคนลำบากใจ จัดการเช่นนี้ดีที่สุดแล้ว”
เมิ่งอี้เซวียนกล่าววาจาเสียดสีอย่างชัดแจ้ง ท่านอ๋องฉีมีหรือจะฟังไม่ออก ใบหน้าแดงผ่าว พูดว่า “เรื่องนี้เกี่ยวพันถึงเสนาบดีอำมาตย์ ต้องจัดการอย่างรอบคอบ แม้นข้าจะเป็นท่านอ๋อง หากไม่มีหลักฐานแน่ชัด ก็ไม่อาจลงโทษใครตามอำเภอใจได้”
เมิ่งอี้เซวียนผงกศีรษะ พูดว่า “ข้าทราบแล้ว ดังนั้นข้าถึงพูดว่าให้เรื่องจบเท่านี้เถอะ เลี่ยงไม่ให้ท่านคั้นอยู่ตรงกลางต้องลำบากใจ”
Comments for chapter "ตอนที่ 249-2 จุดพลิกผันของเมิ่งอี้เซวียน (บทสอง)"
MANGA DISCUSSION
Leave a Reply Cancel reply
This site uses Akismet to reduce spam. Learn how your comment data is processed.
อินไปหน่อย
สมแล้วที่เป็นพระเอก พ่อก็รู้ทั้งรู้ว่าชายารองจะฆ่าลูกชายาเอก แต่ก็ทำงู้นงี้ พระเอกมองขาดมาก พ่อเหี้ยๆ รักเมียดีกว่าเนอะ
Lucky_gdm
ถถถ ท่านอ๋อง รู้ทั้งรู้แต่ทำอะไรไม่ได้ก็หุบปากไป ไม่ก็ยกพระเอกคืนนางเอกไป