ข้ามกาลบันดาลรัก ส่วนที่ 1 - ตอนที่ 251-2 พ่อลูกเผชิญหน้า
อ๋องฉีก็มองโอรสที่เพิ่งจะมีอายุได้สิบเอ็ดชันษาเศษอย่างสุขุม ความรู้สึกมากมายประดังประเดเข้ามา ทำได้เพียงถอนหายใจ พูดรอมชอม “เอาเถอะ เมื่อเจ้ายืนกรานเช่นนี้ พวกเราจะไปส่งแม่นางเมิ่ง แต่เจ้าต้องรับปากพ่อ นี่จะเป็นครั้งสุดท้าย นับแต่นี้ไปเจ้าและพวกเขาจะไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกันอีก”
เมิ่งอี้เซวียนมิได้รับคำ เพียงกล่าวขอบคุณ “ขอบพระทัยพระบิดา”
อ๋องฉีกล่าวว่า “เมื่อพวกเราจะไปส่งแม่นางเมิ่งกลับบ้าน ก็ไม่ต้องรอเดินทางวันพรุ่งแล้ว ประเดี๋ยวพอนางตื่น ให้จัดเก็บข้าวของ ส่งนางกลับไปโดยเร็วเถอะ”
เมิ่งอี้เซวียนกล่าวขอบคุณอีกครั้ง เดินออกมาจากห้องอ๋องฉี
หลังจากเขาจากไป อ๋องฉีนั่งบนเก้าอี้ภายในห้องเป็นเวลานาน ถึงเปล่งเสียงเรียกพ่อบ้าน
พ่อบ้านที่คอยเฝ้าหน้าประตูรับคำเดินเข้ามา เรียกขานด้วยความอ่อนน้อม “ท่านอ๋อง”
อ๋องฉีซักถามเขา “พ่อบ้าน เจ้าคิดว่าองค์ชายเป็นอย่างไร เหตุใดข้าถึงรู้สึกไม่เข้าใจเด็กคนนี้เลย?”
พ่อบ้านได้ยินบทสนทนาของสองพ่อลูกด้านนอกประตู ไม่รู้ว่าเหตุใดอ๋องฉีที่ไม่เคยยอมให้ใครควบคุมถึงยอมเปลี่ยนความคิด รับปากจะส่งแม่นางน้อยคนนั้นกลับไป ตอบอย่างระมัดระวัง “องค์ชายได้รับการเลี้ยงดูจากครอบครัวนั้นแต่เยาว์ ย่อมต้องมีความรู้สึกที่ลึกซึ้งเป็นธรรมดา การจะส่งแม่นางเมิ่งกลับไปด้วยตัวเองจึงเป็นสิ่งที่พอจะเข้าใจได้บ้างพ่ะย่ะค่ะ”
อ๋องฉีพยักหน้า พูดว่า “เจ้าเด็กคนนี้ดูภายนอกเหมือนจะพูดง่าย ในความเป็นจริง…” ความเป็นจริงคืออะไร ครุ่นคิดเป็นนานสองนาน ก็ไม่ได้พูดออกมา ทำได้เพียงถอนหายใจเฮือกใหญ่ พูดอย่างอ่อนแรง “ช่างเถอะ สรุปคือข้าติดค้างกับเขาไว้มาก เรื่องนี้ตามใจเขาเถอะ เจ้าสั่งการออกไป ให้ทุกคนเตรียมตัวให้พร้อม พอแม่นางเมิ่งฟื้น พวกเราจะเดินทางส่งนางกลับไปทันที”
พ่อบ้านย่อมไม่กล้าถามถึงคำที่ยังไม่ได้เอื้อนเอ่ยออกมาของอ๋องฉีว่าคืออะไร น้อมรับคำแล้วเดินออกไป สั่งการทุกคนให้เตรียมพร้อม
อ๋องฉีนั่งบนเก้าอี้ ในสมองปรากฏภาพดวงตาเมื่อครู่ของเมิ่งอี้เซวียนอีกครั้ง หัวใจยังคงเต้นกระเพื่อมรุนแรง
เมิ่งเชี่ยนโยวย่อมไม่รู้เรื่องทั้งหมดนี้ หลังจากนอนหลับสบายหนึ่งตื่น ลืมตาขึ้นเห็นเมิ่งอี้เซวียนกำลังนั่งข้างหน้าต่าง แย้มยิ้มมองนาง
ไม่รอให้นางเอ่ยปาก น้ำเสียงน่าฟังของเมิ่งอี้เซวียนก็ดังขึ้น “ตื่นแล้วหรือ?”
เมิ่งเชี่ยนโยวกรอกตามองบน พูดว่า “รู้แล้วยังจะถาม”
เมิ่งอี้เซวียนหัวเราะในลำคอ “ตื่นแล้วก็ลุกขึ้นเถอะ พระบิดาจะส่งเจ้ากลับบ้านก่อน พวกเราค่อยกลับเมืองหลวง”
อาการงัวเงียที่เหลือบางเบาของเมิ่งเชี่ยนโยวพลันกระเจิดกระเจิง ลืมว่าตัวเองยังบาดเจ็บ ทะลึ่งพรวดลุกขึ้นนั่ง กลับกระทบถูกบาดแผล เจ็บจนร้อง “ซี้ด” ล้มตัวกลับไป
เมิ่งอี้เซวียนลุกขึ้นยืน ร้อนรนถาม “เป็นอย่างไรบ้าง แผลปริหรือไม่ ทำไมเจ้าไม่รู้จักระวังบ้าง”
เมิ่งเชี่ยนโยวไม่มีเวลาสนใจความเจ็บปวด โบกมือให้เมิ่งอี้เซวียนเป็นพัลวัน “เจ้าไปบอกท่านอ๋อง น้ำใจเขาข้าขอน้อมรับด้วยใจ ขอเขาเก็บคืนคำสั่ง ไม่ต้องไปส่งข้ากลับบ้าน พวกเจ้ารีบกลับเมืองหลวงเถอะ”
คล้ายว่าเมิ่งอี้เซวียนจะคาดเดาได้ว่านางจะพูดเช่นนี้ หลังจากตรวจดูบาดแผลนางอย่างละเอียด ไม่พบว่ามีเลือดไหลซึมออกมา ให้โล่งใจแล้วพูดว่า “สองวันมานี้เจ้าก็เห็นแล้ว พระบิดาข้าเป็นคนไม่ชอบให้คนอื่นขัดคำสั่งเขา เมื่อเขาพูดว่าจะไปส่งเจ้ากลับบ้านก่อน ก็จะต้องไปส่งเจ้า ข้าจะให้เขาเปลี่ยนความคิดได้อย่างไร”
ด้วยความกระวนกระวายใจ ทำให้เมิ่งเชี่ยนโยวเชื่อวาจาของเขาสนิทใจ รีบร้อนถาม “เมื่อครู่เขามิได้บอกว่าจะกลับเมืองหลวงวันพรุ่งหรือ? เหตุใดถึงเปลี่ยนความคิดกะทันหัน?”
เมิ่งอี้เซวียนกลิ้งกลอกนัยน์ตาแวบหนึ่ง พูดว่า “ข้าก็ไม่รู้ พอเจ้าหลับไป ข้าก็เฝ้าอยู่ข้างกายเจ้า เขาเพิ่งจะส่งคนมาบอกข้าเมื่อครู่ บอกว่าพอเจ้าฟื้น จะคุ้มกันส่งเจ้ากลับบ้าน”
เมิ่งเชี่ยนโยวเริ่มอยากจะร้องไห้แล้ว เดิมนางคิดว่าพอกลับไป จะบอกทุกคนว่า มีคนจำเมิ่งอี้เซวียนได้ พาตัวเขากลับไปแล้ว สำหรับสถานะของครอบครัวนั้นนางไม่ได้สอบถาม ไม่คิดว่าท่านอ๋องตัวดีคนนี้จะทำเรื่องให้มากความ ไปส่งนางเอง เช่นนั้นสถานะของเมิ่งอี้เซวียนก็จะถูกเปิดเผย ต่อไปก็จะมีคนไม่น้อยมาประจบเอาใจครอบครัวตนเอง ทำให้ครอบครัวตนเองไม่ได้อยู่อย่างสงบสุขอีกต่อไป
คิดได้เช่นนี้ เมิ่งเชี่ยนโยวก็กัดฟัน พูดว่า “เจ้าพยุงข้าออกไป ข้าจะไปบอกให้ท่านอ๋องถอนคืนคำสั่ง”
เมิ่งอี้เซวียนที่ประคองมือนางชะงักค้าง แล้วพูดปดว่า “ทางที่ดีเจ้าอย่าไปเลย เมื่อครู่ไม่รู้เขาบันดาลโทสะเรื่องใด ตอนนี้กำลังกระฟัดกระเฟียด เจ้าเข้าไปตอนนี้ ไม่แน่ว่าเขาจะมาระบายอารมณ์กับเจ้าแทน”
เมิ่งเชี่ยนโยวถูกเขาพูดขู่ ร้อนรนถาม “เช่นนั้นจะทำอย่างไรดี? จักให้พวกเจ้าไปส่งข้ากลับไปจริงๆ เรอะ เช่นนั้นต่อไปครอบครัวพวกเราคงไม่ได้อยู่อย่างสงบสุขอีกต่อไป”
เมิ่งอี้เซวียนปลอบใจนาง “วางใจเถอะ เรื่องในภายหน้าข้าจะจัดการเอง รับรองว่าจะไม่มีใครไปรบกวนความเป็นอยู่ของพวกเจ้าเด็ดขาด”
เมิ่งเชี่ยนโยวถามเขาอย่างไม่เชื่อ “จริงนะ?”
เมิ่งอี้เซวียนพยักหน้าหนักแน่น ใบหน้าขึงขัง “จริงสิ ข้ารับประกัน”
เมิ่งเชี่ยนโยวมองเขาอย่างกังขาครู่หนึ่ง เห็นเขาไม่เหมือนกำลังโกหก กัดฟันพูด “ข้าจะเชื่อเจ้าสักครั้ง หากเจ้าพูดได้ทำไม่ได้ พอข้าหายดี ข้าจะเข้าเมืองหลวง ให้เจ้าไม่มีวันได้อยู่อย่างสงบสุข”
เมิ่งอี้เซวียนโพล่งหัวเราะ สั่งการสาวใช้ด้านนอก “ไปบอกท่านอ๋อง บอกว่าแม่นางเมิ่งตื่นแล้ว พอนางกินอะไรเล็กน้อยเสร็จ พวกเราก็จะออกเดินทางทันที”
สาวใช้ขานรับคำ เสียงฝีเท้าดังไกลออกไป ไม่นานส่วนสาวใช้อีกคนก็ยกถ้วยโจ๊กเข้ามา
เมื่อครู่เมิ่งเชี่ยนโยวกระชากถูกบาดแผล ทำให้เจ็บแขนมาก ดังนั้นเมิ่งอี้เซวียนจึงต้องป้อนโจ๊กให้นาง
พอกินโจ๊กเสร็จ พักครู่หนึ่ง อ๋องฉีก็ให้คนมาถ่ายทอดคำสั่งว่าออกเดินทางได้
เมิ่งอี้เซวียนปฏิเสธการช่วยเหลือของสาวใช้ ประคองเมิ่งเชี่ยนโยวขึ้นไปนั่งบนรถม้าโอ่อ่าด้วยตัวเอง จากนั้นก็ตามเข้าไปนั่งด้วย
อ๋องฉีรู้สึกว่าไม่เหมาะสม คิดจะตำหนิเขา ครั้นพอคิดถึงตอนที่ประสานดวงตาคู่นั้นของเมิ่งอี้เซวียน ก็กลืนคำพูดกลับลงไป แสร้งทำเป็นมองไม่เห็น ขึ้นไปนั่งบนรถม้าของตัวเอง
ฉู่เหวินเจี๋ยกลับไม่ได้คิดถึงเรื่องพวกนี้ สั่งการทหารนำขบวนให้ออกเดินทางอย่างปิติยินดี มุ่งหน้าไปยังตำบลชิงซี
เนื่องจากเมิ่งเชี่ยนโยวได้รับบาดเจ็บ รถม้าวิ่งอย่างเชื่องช้า วันที่สามช่วงเช้าถึงมาถึงอำเภอชิงเหอ ในตอนนี้ เหวินเปียวและเหวินหู่ที่เข้ามารับคนปะทะเข้ากับขบวนนำส่ง จึงหักเลี้ยวกลับ บังคับรถม้าตามรั้งท้ายขบวนรถม้ากลับไป
ทหารนำขบวนขี่ม้าเร็วมาบอกเปาชิงเหอไว้ก่อนแล้ว
เปาชิงเหอและเปาอีฝานนำขบวนเจ้าหน้าที่มารอหน้าประตูเมือง เห็นรถม้าอ๋องฉีเข้ามา ต่างคุกเข่าคารวะโดยพร้อมเพรียง
อ๋องฉีมิได้เปิดม่านรถขึ้น สั่งพ่อบ้านให้พวกเขาลุกขึ้นได้ ทั้งสั่งให้เดินขบวนต่อไป
ผู้ว่าการตำบลชิงซีรับทราบข่าวการมาถึงของท่านอ๋อง ตกใจขาสั่นพั่บๆ ออกมาต้อนรับไกลจากประตูเมืองถึงสามลี้
อ๋องฉีไม่ได้สนใจเขา ขบวนก็ไม่หยุดเดิน
กระทั่งขบวนทั้งหมดผ่านไป ผู้ว่าการตำบลถึงเช็ดเหงื่อ ถามเปาชิงเหอที่ติดตามมาตลอดทางอย่างระวัง “ท่านใต้เท้าเปา เหตุใดท่านอ๋องถึงมาตำบลชิงซีได้? เกิดเรื่องใหญ่อันใดขึ้นหรือ?”
เปาชิงเหอมองเขาแวบหนึ่ง บอกเขาด้วยความหวังดี “น้องชายแม่นางเมิ่งคือโอรสองค์โตของอ๋องฉีที่สูญหายไปนานหลายปี”
ผู้ว่าการได้ฟังดังนั้น ตกใจนั่งก้นจ้ำเป้าไปกับพื้น เจ้าหน้าที่สองสามนายร่วมแรงกันถึงพยุงเขาขึ้นมาได้
ผู้ว่าการมองขบวนด้านหน้า ให้รู้สึกเย็นยะเยือกที่ลำคอ
ความจริงสองพ่อลูกสกุลเปาก็ตกตะลึงพรึงเพริด ไม่คิดว่าคนที่พวกเขาตามหามานานหลายปี จะเป็นน้องชายของเมิ่งเชี่ยนโยว โดยเฉพาะเปาอีฝาน นับแต่ที่เมิ่งเชี่ยนโยวช่วยชีวิตฉู่เหวินเจี๋ยไว้ ก็ได้กำชับให้เขาคอยดูแลเอาใจใส่เมิ่งเชี่ยนโยว ปกติพวกเขาไปมาหาสู่กันตลอด กลับไม่เคยสังเกตเห็นการมีอยู่ของเมิ่งอี้เซวียน
เมิ่งต้าจินที่ได้รับทราบข่าวว่าท่านอ๋องจะมา ก็มึนงง จากนั้นถึงบอกเมิ่งจงจวี่เรื่องชาติกำเนิดของอี้เซวียน
เมิ่งจงจวี่ได้ฟังตกใจผงะอึ้ง ยืนนิ่งไร้ปฏิกิริยาตอบสนอง
เมิ่งต้าจินร้องเรียกเขาหลายครั้ง เมิ่งจงจวี่ถึงได้สติกลับมา บอกเมิ่งต้าจินด้วยริมฝีปากสั่นระริก “รีบไปบอกตี้ซือว่าท่านอ๋องมาแล้ว”
เมิ่งต้าจินไม่ทันได้รับคำก็วิ่งแนบออกไป
เมิ่งจงจวี่สั่งการเมิ่งเหรินอีก “รีบไปบอกหัวหน้าสกุลต่างๆ ให้พวกเขาออกมาต้อนรับท่านอ๋อง”
เมิ่งเหรินรับคำเร่งฝีเท้าวิ่งออกไป
“เร็วเข้าๆๆ เอาเสื้อผ้าชุดใหม่ของข้าออกมา ข้าต้องรีบไปต้อนรับท่านอ๋องหน้าหมู่บ้าน” ครั้นคนทั้งสองวิ่งออกไปแล้ว เมิ่งจงจวี่เร่งเร้าสั่งการหญิงชราเมิ่งอีกครั้ง
หญิงชราเมิ่งผลุนผลันเข้าไปหยิบเสื้อผ้าของเขาออกมา
เมิ่งจงจวี่แต่งกายสุภาพเรียบร้อย ไม่ใช้ไม้เท้าแล้ว ก้าวอาดๆ ออกไป เดินมาถึงหน้าหมู่บ้าน
หัวหน้าสกุลต่างๆ ที่พอได้ยินเมิ่งเหรินมาแจ้งข่าว ตื่นเต้นยินดียิ่งกว่าเมิ่งจงจวี่ ต่างแต่งกายด้วยชุดใหม่เอี่ยม เร่งรุดมาที่หน้าหมู่บ้าน
ตี้ซือก็ไม่คิดว่าท่านอ๋องจะเข้ามาด้วยตัวเอง ตกใจพาคนทั้งครอบครัวมาถึงหน้าหมู่บ้าน
สองสามีภรรยาเมิ่งยิ่งไม่ต้องพูดถึง พอได้ยินว่าอี้เซวียนเป็นโอรสท่านอ๋อง สมองพลันว่างเปล่า เดินแข็งทื่อพาคนทั้งหมดมาถึงหน้าหมู่บ้าน
ขบวนรถจอดเทียบหน้าหมู่บ้านหวง เมิ่งต้าจินนำคนทั้งหมดคุกเข่าต้อนรับ
พ่อบ้านเปิดม่านรถขึ้น อ๋องฉีลงจากรถม้า กวาดตามองแวบหนึ่ง เห็นตี้ซือก็คุกเข่าอยู่ด้วย เดินไปตรงหน้าเขา ตวาดถามเสียงลั่น “โจวหยวน เจ้ารู้ผิดหรือไม่?”