ข้ามกาลบันดาลรัก ส่วนที่ 1 - ตอนที่ 252 ถอนหมั้น
โจวหยวนร่างสั่นเทิ้ม ตอบอย่างสั่นผวา “หม่อมฉันรู้ผิดแล้วพ่ะย่ะค่ะ!”
หัวหน้าสกุลต่างๆ เห็นอ๋องฉีมาถึงก็ถามหาความผิดท่านอาจารย์โจว ให้นึกกังขา ต่างคาดเดาสถานะของท่านอาจารย์โจวไปต่างๆ นานา
อ๋องฉียังคงเคืองโกรธ พูดว่า “เจ้าช่างบังอาจนัก รู้ที่อยู่ขององค์ชาย กลับปิดบังไม่รายงาน ทำให้องค์ชายเกือบต้องจบชีวิต เจ้าเป็นตี้ซือ ย่อมต้องรู้แก่ใจถึงจุดจบหากไม่รายงานนี้ วันนี้จงจบชีวิตตนเองเสียเถอะ”
โจวหยวนไม่คิดว่าพออ๋องฉีมาถึงก็จะลงทัณฑ์เอาผิดเขา ไม่แม้แต่จะให้เขาได้อธิบายความก่อน หลับตาลงพูดว่า “นี่เป็นความผิดของหม่อมฉันแต่ผู้เดียว ขอท่านอ๋องละเว้นครอบครัวหม่อมฉันด้วยพ่ะย่ะค่ะ”
อ๋องฉีแค่นเสียงหึ “เห็นแก่ที่เจ้าให้การศึกษาข้ามาหลายปี ข้าจะเมตตาให้สักครั้ง แม้จะรอดจากโทษตาย ทว่าโทษเป็นไม่อาจเลี่ยง ลงโทษพวกเขาไปอยู่ดินแดนทุรกันดาร ชีวิตนี้ไม่ต้องกลับมาอีก”
พอคิดว่าบุตรชายทั้งสองของตนเองล้วนเป็นปราชญ์ผู้ทรงความรู้ ร่างกายมิได้แข็งแรงกำยำ หากถูกส่งไปยังถิ่นทุรกันดาร เกรงว่าจะตายก่อนที่จะถึงท้องถิ่นนั้น อีกทั้งยังมีคนแก่และเด็ก โจวหยวนโขกศีรษะสุดแรง พูดร้องขออีกครั้ง “ท่านอ๋องโปรดประทานอภัยให้ครอบครัวหม่อมฉันด้วยเถิด หม่อมฉันยินดีจะรับผิดแต่เพียงผู้เดียว”
อ๋องฉีบันดาลโทสะ “โจวหยวน อย่าคิดว่าเจ้าเคยเป็นตี้ซือก็จะกำแหงกล้าต่อต้านคำสั่งข้า ข้ามีเมตตาให้เจ้ามากแล้ว หากเป็นคนอื่น เจ้าน่าจะรู้ว่าจะมีจุดจบเช่นใด”
โจวหยวนจ้องมองท่าทีดุดันเกรี้ยวกราดของอ๋องฉี คิดถึงตอนที่เขาสั่งโบยคนทั้งหมดตายทั้งเป็น หัวใจจมดิ่งสู่ห้วงเหวลึก
“พระบิดา!” เสียงเมิ่งอี้เซวียนดังขึ้น
อ๋องฉีมองไปที่เขา
เมิ่งอี้เซวียนย่างกายเดินมาตรงหน้าเขา แหงนใบหน้าเจิดจ้าละมุน วิงวอนร้องขอ “ลูกคุ้นชินกับการสอนสั่งจากท่านอาจารย์โจวแล้ว ขอท่านให้อภัยพวกเขาทั้งครอบครัว ส่งพวกเขากลับไปสอนข้ายังเมืองหลวง เพื่อทำคุณไถ่โทษด้วยเถิด”
คำพูดนี้ดังก้องเข้าไปในโสตประสาทโจวหยวน ไพเราะดั่งเสียงสวรรค์ ทำให้หัวใจที่จมดิ่งของเขา กลับมีชีวิตขึ้นมาอีกครั้ง
เมิ่งอี้เซวียนพูดต่อ “หนึ่งปีกว่าที่ผ่านมานี้ ท่านอาจารย์สอนสั่งลูกมากมาย ชีวิตนี้ลูกใช้ไม่มีวันหมด ลูกหวังว่าต่อไปจะยังเป็นเขามาให้การศึกษาลูก เช่นนี้ก็จะได้ไม่เสื่อมเสียมาถึงวังท่านอ๋องได้”
โจวหยวนเป็นตี้ซือ ให้การศึกษาเหล่าพระราชโอรสของฮ่องเต้องค์ปัจจุบันจนเติบใหญ่ อ๋องฉีย่อมรู้ความสามารถของเขาดี เมื่อครู่เพียงข่มขวัญด้วยโทสะครุกรุ่น ได้ยินคำวิงวอนจากอี้เซวียน โทสะที่มีให้สลายไป ขบคิดใคร่ครวญครู่หนึ่ง ก็รู้สึกว่าเขาเป็นตัวเลือกที่ดีที่สุดในการให้การศึกษาอี้เซวียน ผ่อนคลายน้ำเสียงลง พูดว่า “โจวหยวน บัดนี้เซวียนเอ๋อร์ขอร้องให้เจ้า ข้าจะไว้ชีวิตเจ้า ทั้งสั่งให้เจ้ากลับเมืองหลวงพร้อมพวกเราในวันพรุ่ง ตั้งใจสอนสั่ง สำหรับครอบครัวเจ้านั้น ก็ให้กลับไปด้วยกัน หวังว่าต่อไปเจ้าจะสอนสั่งเซวียนเอ๋อร์อย่างสุดความสามารถ ไม่เช่นนั้นบัญชีทั้งเก่าและใหม่ข้าจะคิดรวบยอดทีเดียว ชีวิตคนในครอบครัวเจ้าก็ยากจะรักษาไว้”
โจวหยวนไม่คิดว่าคำพูดไม่กี่คำของเมิ่งอี้เซวียนจะเปลี่ยนความคิดอ๋องฉีได้ ปลาบปลื้มยินดี โขกศีรษะเต็มแรงอีกครั้ง “ขอบพระทัยท่านอ๋อง ขอบพระทัยองค์ชาย โจวหยวนขอใช้ชีวิตเป็นประกัน จักตั้งใจสอนสั่งองค์ชายสุดความสามารถ ไม่ทำให้ท่านอ๋องต้องผิดหวังเด็ดขาดพ่ะย่ะค่ะ”
“เช่นนั้นก็ดี” อ๋องฉีพูด
เมิ่งอี้เซวียนก้าวมาข้างหน้า พยุงโจวหยวนขึ้น “ท่านอาจารย์อายุมาก ไม่ต้องคุกเข่าแล้ว”
โจวหยวนที่เพิ่งเดินวนเวียนเบื้องหน้าความเป็นความตาย จิตใจยังประหวั่นไม่หาย หลังจากกล่าวขอบคุณอี้เซวียนเสียงสั่นเครือ ร่างสั่นเทิ้มก็ค่อยๆ ลุกขึ้น
หัวหน้าสกุลต่างๆ และชาวบ้านที่คุกเข่าอยู่ข้างๆ ได้ทราบสถานะที่แท้จริงของโจวหยวน ไม่วายลอบทอดถอนใจ ตี้ซือมาอาศัยอยู่หมู่บ้านตนเองหนึ่งปี เป็นเกียรติประวัติอย่างหาที่สุดไม่ได้ ครั้นเห็นอ๋องฉีคิดจะสังหารเขาด้วยเพราะเขาไม่แจ้งข่าวในทันที ยิ่งให้ขยาดกลัวอ๋องฉี ต่างก้มหน้า ไม่กล้าแม้แต่จะหายใจแรง
เมิ่งอี้เซวียนเดินมาเบื้องหน้าเมิ่งจงจวี่ แย้มยิ้มร้องเรียก “ท่านปู่!”
เมิ่งจงจวี่ลนลานพูด “องค์ชายทำหม่อมฉันอายุสั้นแล้ว หม่อมฉันไม่บังอาจให้องค์ชายเรียกขานเช่นนี้หรอกพ่ะย่ะค่ะ”
เมิ่งอี้เซวียนยิ้มพูด “ท่านปู่ ไม่ว่าข้าจะมีสถานะเช่นใด สกุลเมิ่งจะเป็นบ้านของข้าตลอดไป ท่านเองก็จะเป็นท่านปู่ของข้าตลอดไป”
คำพูดนี้น่าประทับจิตประทับใจนัก เป็นดังคาด หลังจากเมิ่งจงจวี่ได้ฟัง ให้ตื้นตันน้ำตารื้นขอบตาพร่ำพูดว่า “ดีๆๆ”
อ๋องฉีได้ฟังกลับขมวดคิ้วมุ่น
เมิ่งอี้เซวียนเข้าไปประคองเมิ่งจงจวี่ลุกขึ้น ยิ้มเดินมาหน้าสองสามีภรรยาเมิ่ง พูดว่า “ท่านพ่อ ท่านแม่ ข้ากลับมาแล้ว”
เมิ่งเอ้ออิ๋นเผยอปาก ไม่กล้าขานรับ น้ำตาอุ่นเอ่อคลอเบ้าตา
เมิ่งชื่อยกมือขึ้น คิดจะลูบศีรษะเขา ครั้นนึกถึงสถานะในตอนนี้ของเขา จำต้องชักมือกลับ แล้วมองไปที่ด้านหลังเขา ไม่เห็นเมิ่งเชี่ยนโยว ถามอย่างไม่วางใจ “เซวียนเอ๋อร์ โยวเอ๋อร์เล่า?”
เมิ่งอี้เซวียนรอยยิ้มชะงักค้าง ตอบเสียงแผ่ว “โยวเอ๋อร์ได้รับบาดเจ็บ อยู่ในรถม้า…”
ไม่รอให้เขาพูดจบ เมิ่งชื่อก็รบเร้าถาม “บาดเจ็บตรงไหน สาหัสหรือไม่? ให้หมอมาดูอาการแล้วหรือไม่?”
เมิ่งอี้เซวียนยังไม่ทันตอบ เสียงอ่อนแรงของเมิ่งเชี่ยนโยวก็ดังลอยออกมาจากในรถม้า “ท่านแม่ ข้าไม่เป็นไร พักฟื้นไม่กี่วันก็หายแล้วเจ้าค่ะ”
บุตรสาวมีนิสัยร่าเริง หากไม่เพราะได้รับบาดเจ็บสาหัส ไม่มีทางหลบในรถม้าไม่ออกมา เมิ่งชื่อกลั้นไม่อยู่ น้ำตาทะลักเอ่อ ถามอี้เซวียนด้วยดวงตาพล่ามัว “ข้าเข้าไปดูนางหน่อยได้หรือไม่?”
เมิ่งอี้เซวียนพยักหน้า คิดจะประคองนางขึ้น
เมิ่งชื่อกลับลุกพรวดขึ้นเอง เดินเร็วรี่มาข้างรถม้า
สาวใช้ข้างรถม้าเปิดม่านรถให้นางอย่างรู้งาน
ภาพเมิ่งเชี่ยนโยวอ่อนระโหยโรยแรง ใบหน้าสีขาวปรากฏบนม่านสายตาเมิ่งชื่อ
เมิ่งชื่อกลัวว่าตนเองจะส่งเสียงร้องไห้ออกมา รีบปิดปากตัวเองแน่น น้ำตาเม็ดโตไหลริน
เมิ่งเชี่ยนโยวเห็นอาการของนาง รอยยิ้มเลือนหาย ค่อยๆ ขยับมาถึงริมรถม้า ยื่นมือออกมากอดเมิ่งชื่อ ปลอบโยนเสียงแผ่ว “ท่านแม่ ข้าไม่เป็นอะไรจริงๆ ไม่กี่วันก็จะหายดี ท่านไม่ต้องเป็นกังวลหรอก”
เมิ่งชื่อก็กอดนางกลับ พยักหน้ารับหงึกๆ
เมิ่งเอ้ออิ๋นกับเมิ่งเสียนและภรรยา รวมถึงเมิ่งฉีกับซุนเหลียงไฉก็เห็นสภาพร่วงโรยของเมิ่งเชี่ยนโยว ต่างคิดจะเดินล้อมเข้ามา แต่อ๋องฉีไม่สั่งให้ลุกขึ้น พวกเขาจึงไม่กล้าผลีผลาม ทำได้เพียงมองนางด้วยใบหน้าเป็นห่วง
เมิ่งอี้เซวียนเดินกลับมาข้างรถ พูดกับเมิ่งชื่ออย่างรู้สึกผิด “ท่านแม่ เพราะข้าโยวเอ๋อร์ถึงได้รับบาดเจ็บ ทำให้ท่านเป็นห่วงแล้ว”
เมิ่งชื่อคลายมือจากเมิ่งเชี่ยนโยว เช็ดปาดน้ำตา แล้วพูดว่า “กลับมาก็ดีแล้ว กลับมาก็ดีแล้ว”
หัวหน้าสกุลทั้งหลายและคนในหมู่บ้านเห็นอาการของเมิ่งชื่อ ต่างก็ให้เจ็บแปลบหัวใจ
อ๋องฉีขมวดคิ้วเกร็งแน่น มองเมิ่งอี้เซวียนอย่างไม่เห็นพ้อง
เมิ่งอี้เซวียนรับรู้ได้ถึงแววตาของเขา หันกลับไปส่งยิ้มเจิดจ้าให้เขา
อ๋องฉีรู้สึกดั่งแสงตะวันส่องเข้ามากลางใจตัวเองในบัดดล อยู่ๆ ก็ครึ้มอกครึ้มใจ ยอมรับคำเรียกขานที่เขาร้องเรียกสองสามีภรรยาเมิ่ง หันไปโบกมือให้ทุกคนที่คุกเข่าอยู่อย่างอารมณ์ดี “พวกเจ้าลุกขึ้นเถอะ”
“ขอบพระทัยท่านอ๋อง!” หลังจากประสานเสียงกล่าวขอบคุณ ต่างก็ลุกขึ้นยืน
ครอบครัวเมิ่งเอ้ออิ๋นรีบสาวเท้ามาข้างรถม้า มองดูเมิ่งเชี่ยนโยวอย่างเป็นห่วง
เมิ่งเชี่ยนโยวยิ้มปลอบใจพวกเขา “ไม่ต้องเป็นห่วงหรอก ข้าเพียงบาดเจ็บเล็กน้อย ไม่กี่วันก็หายแล้ว”
ซุนเหลียงไฉเบ้ปาก พูดว่า “เจ้าคิดจะหลอกใครกัน สภาพเจ้าตอนนี้ สามเดือนดีขึ้นได้ก็ไม่เลวแล้ว”
เมิ่งเชี่ยนโยวถึงกับสะอึกกึก รอยยิ้มบนใบหน้าแข็งค้าง ถลึงตาเขียวปัดมองเขา พูดว่า “เจ้าไม่พูดก็ไม่มีใครว่าเจ้าเป็นใบ้!”
ซุนเหลียงไฉไม่กล้าต่อล้อต่อเถียงอีก
ผู้ว่าการตำบลรู้สึกเหมือนศีรษะหลุดออกไปจากคอกึ่งหนึ่งแล้ว เข้าถามอ๋องฉีด้วยความระมัดระวัง “ท่านอ๋อง นี่ก็เย็นมากแล้ว หม่อมฉันคิดว่าท่านตามหม่อมฉันไปพักผ่อนที่ศาลาว่าการตำบลดีหรือไม่พ่ะย่ะค่ะ”
อ๋องฉีมองเขาผ่านๆ แวบหนึ่ง พูดว่า “ไม่ต้องแล้ว ข้าจะดูสถานที่ที่เซวียนเอ๋อร์เติบโตมา คืนวันนี้จะพักที่นี่ วันพรุ่งพวกเราจะออกเดินทางแต่เช้า”
สิ้นเสียงเขา หัวใจของชาวบ้านก็ระเบิดเป็นเสี่ยงๆ อ๋องฉีจะพักค้างที่หมู่บ้านตนเอง นี่เป็นเกียรติประวัติอย่างหาที่สุดไม่ได้แล้ว ต่างมองไปที่เมิ่งต้าจิน ดูว่าเขาจะจัดการอย่างไร
เมิ่งต้าจินก็ไม่คาดคิดว่าอ๋องฉีจะพักที่นี่ พลันทำตัวไม่ถูก มองขอความช่วยเหลือไปที่เมิ่งจงจวี่อย่างร้อนรน
เมิ่งจงจวี่ก็ตะลึงค้าง ไม่มีปฏิกิริยาตอบสนอง
เป็นตี้ซือที่ทำความคำนับอ๋องฉีอย่างอ่อนน้อม พูดว่า “เรือนของหม่อมฉันกว้างขวางสบาย ขอท่านอ๋องลดเกียรติ มาพักที่เรือนของหม่อมฉันเถิดพ่ะย่ะค่ะ”
อ๋องฉีกวาดสายตาเกรงขามมองคนทั้งหมด ถึงพูดว่า “นำทางข้าไป!”
คนทั้งหมดรับรู้ได้ถึงสายลมเย็นยะเยือกหนึ่งพัดผ่านศีรษะไป ไม่กล้าแม้แต่จะหายใจแรง
ตี้ซือรีบเปิดทางให้ ทำท่าผายมือเชื้อเชิญ พูดว่า “เชิญท่านอ๋องพ่ะย่ะค่ะ”
“เซวียนเอ๋อร์” อ๋องฉีร้องเรียกเมิ่งอี้เซวียน
เมิ่งอี้เซวียนขานรับคำ “พระบิดา”
“วันนี้พวกเราจะพักที่นี่สักคืน วันพรุ่งจักออกเดินทางทันที” อ๋องฉีกล่าว
เมิ่งอี้เซวียนพยักหน้าเชื่อฟัง “ทราบแล้วพ่ะย่ะค่ะ พระบิดา”
อ๋องฉีถึงพยักหน้าพอใจ ไปบ้านตี้ซือภายใต้การนำทางจากเขา
กระทั่งพวกเขาไปไกลแล้ว คนทั้งหมดถึงถอนใจโล่งอก ส่งเสียงวิพากษ์อย่างระวัง
เปาชิงเหอและเปาอีฝานหันหน้ามองกัน แล้วประสานมือคำนับฉู่เหวินเจี๋ย “ท่านแม่ทัพ ท่านจะเข้าไปในเมือง หรือพักค้างที่นี่ขอรับ?”
“ท่านอ๋องไม่ไป ข้าย่อมไปไม่ได้ คงหาที่พักง่ายๆ ค้างที่นี่สักคืน”
เปาอีฝานหันมองเมิ่งเสียน
เมิ่งเสียนเข้าใจพลัน รีบร้อนพูด “หากท่านแม่ทัพไม่รังเกียจ ไปพักที่บ้านพวกเราได้ขอรับ”
ฉู่เหวินเจี๋ยหัวเราะร่วน “ดีเลย ข้าอยากเห็นสถานที่ที่เซวียนเอ๋อร์เติบโตมาพอดี”
เมิ่งเสียนแสดงท่าผายมือ ฉู่เหวินเจี๋ยเดินนำหน้า เมิ่งเสียนและเมิ่งเอ้ออิ๋นรีบเดินประกบคอยบอกทางเขา
เมิ่งอี้เซวียนกำชับคนขับรถม้าให้บังคับม้าตามหลังไป
คนทั้งหมดมาถึงหน้าประตูบ้าน
เมิ่งชื่อและเมิ่งอี้เซวียนค่อยๆ ประคองเมิ่งเชี่ยนโยวลงจากรถม้า แล้วประคองนางเดินเข้าไปในบ้าน
หลังจากเมิ่งชื่อวางนางนอนลงดีแล้ว ก็รีบไปซักผ้าขนหนูสะอาดผืนหนึ่งเข้ามา ค่อยๆ ซับเหงื่อบนหน้าผากให้นาง
เมิ่งเชี่ยนโยวยิ้มพูดกับนาง “ขอบคุณท่านแม่”
ได้ยินเสียงไร้เรี่ยวแรงของนาง เมิ่งชื่อน้ำตาไหลรินอีกครั้ง พูดสะอึกสะอื้น “ไม่ต้องพูดแล้ว นอนพักผ่อนให้สบายก่อนเถอะ แม่จะไปต้มโจ๊กมาให้เจ้า”
เมิ่งเชี่ยนโยวพยักหน้า เห็นซุนเชี่ยนก็มองนางด้วยดวงตาแดงเอ่อ แย้มยิ้มส่งสายตาให้นางเดินเข้ามา
เมิ่งชื่อซับเหงื่อให้นางเสร็จ ก็ออกไปต้มโจ๊ก
ซุนเชี่ยนก้าวขึ้นหน้ามายืนเบื้องหน้านาง
เมิ่งเชี่ยนโยวยื่นมือออกมาลูบท้องนาง พูดเตือน “พี่สะใภ้ใหญ่ ข้าไม่เป็นอะไร ท่านไม่ต้องเป็นกังวลแล้ว เดี๋ยวจะกระทบกับหลานชายคนโตของข้า”
ซุนเชี่ยนถูกนางหยอกหัวเราะขบขันทั้งดวงตาแดงก่ำ พูดว่า “เจ้ารู้ได้อย่างไรว่าเป็นหลานชายคนโต มิใช่หลานสาวคนโตเล่า?”
“อะไรก็ได้ สรุปว่าเป็นหลานคนแรก จะเป็นหลานชายหรือหลานสาว ข้าก็ชอบทั้งหมด”
เมิ่งเชี่ยนโยวพูดประโยคยาวเป็นพรวนนี้จบ มีอาการหายใจหอบ
ซุนเชี่ยนลนลานพูดว่า “ไม่ต้องพูดแล้ว เจ้าพักผ่อนให้เต็มที่ก่อนเถอะ”
เมิ่งเชี่ยนโยวพยักหน้า ด้วยเหนื่อยมากจริงๆ หลับตาลง ประเดี๋ยวเดียวก็หลับสนิทไป
นับแต่ที่ซุนเชี่ยนรู้จักนาง ไม่เคยเห็นนางอ่อนแอเช่นนี้มาก่อน เห็นนางหลับไปโดยไว ดวงตายิ่งให้แดงเรื่อ
เมิ่งอี้เซวียนเม้มริมฝีปาก พูดเตือน “พี่สะใภ้ใหญ่ ท่านไม่ต้องเป็นกังวล ไม่นานโยวเอ๋อร์ก็จะหายดี”
ซุนเชี่ยนพยักหน้า เช็ดน้ำตาพูดว่า “เจ้าก็ไปพักผ่อนก่อนเถอะ ข้าจะดูแลโยวเอ๋อร์เอง”
เมิ่งอี้เซวียนส่ายหน้า “ไม่ต้องแล้ว พี่สะใภ้ ตอนนี้สุขภาพท่านไม่อำนวย ให้ข้าเป็นคนดูแลเถอะ เมื่อครู่คุกเข่าเป็นเวลานาน ท่านเองก็เหนื่อยแล้ว รีบไปพักผ่อนเสียหน่อยเถอะ”
ซุนเชี่ยนใกล้จะครบกำหนดคลอดแล้ว ร่างกายหนักอึ้ง เมื่อครู่คุกเข่าไม่นาน ก็ให้รู้สึกเหนื่อยล้า จึงพยักหน้ารับปาก หลังจากกำชับเขาอีกสองสามคำ ก็ให้สาวใช้ประคองตนเองกลับเรือน
เมิ่งเอ้ออิ๋นและเมิ่งเสียนจัดเตรียมที่พักให้ฉู่เหวินเจี๋ยและสองพ่อลูกเปาเสร็จ ก็รีบตรงมายังลานเรือน คิดจะมาดูว่าอาการบาดเจ็บของเมิ่งเชี่ยนโยวเป็นอย่างไรบ้าง พอพ้นประตูเข้ามาเห็นเมิ่งเชี่ยนโยวหลับอยู่ เมิ่งอี้เซวียนนั่งเฝ้านางข้างเตียงเตา ต่างผงะอึ้ง เมิ่งเอ้ออิ๋นพูดโดยอ้อม “อี้เซวียน ตอนนี้สถานะของเจ้าไม่เหมือนก่อนแล้ว ให้พวกเราเป็นคนดูแลโยวเอ๋อร์เองเถอะ เจ้าไปพักผ่อนบ้าง ไม่ก็ไปพูดคุยกับฉู่เหวินเจี๋ย”
“ท่านพ่อ พี่ใหญ่” เมิ่งอี้เซวียนเรียกพวกเขาด้วยสีหน้าขึงขัง “ข้าจะพูดอีกครั้ง พวกท่านจำไว้ให้ดี ไม่ว่าข้าจะมีสถานะเช่นไร พวกท่านจะเป็นญาติข้าตลอดไป ชีวิตนี้ไม่มีวันเปลี่ยนแปลง”
เมิ่งเอ้ออิ๋นมิได้โต้แย้งและไม่ได้รับคำ เพียงยื่นมือออกไป ลูบศีรษะเขา พูดว่า “อี้เซวียน พรุ่งนี้เจ้าก็ต้องกลับเมืองหลวงแล้ว พวกเราไม่อยู่ข้างกายเจ้า เจ้าจักต้องดูแลตัวเองให้ดี หากสะดวก ก็เขียนจดหมายมาหาพวกเราทุกปี ให้พวกเราได้รู้ว่าเจ้ายังสบายดี ก็เพียงพอแล้ว”
เมิ่งอี้เซวียนพยักหน้ารับประกัน “ทราบแล้ว ท่านพ่อ ข้าจะทำ”
เมิ่งเชี่ยนโยวหลับไปนานมาก กระทั่งยามจุดตะเกียงถึงตื่นขึ้นมา ลืมตาขึ้น เห็นคนทั้งครอบครัวต่างล้อมนางด้วยความเป็นห่วง
ด้วยกลัวคนในครอบครัวจะเสียใจเพราะนางอีก เมิ่งเชี่ยนโยวส่งยิ้มปลอบประโลมให้ทุกคน แล้วพูดออดอ้อนเมิ่งชื่อ “ท่านแม่ ข้าหิวแล้ว ต้มโจ๊กเสร็จแล้วหรือไม่เจ้าคะ?”
ไม่รู้ว่าเมิ่งชื่อเข้ามานั่งในห้องนานแค่ไหน ร้องไห้จนดวงตาเริ่มบวมแดง ได้ยินเมิ่งเชี่ยนโยวถามก็รีบลุกขึ้นพรวด “ต้มเสร็จนานแล้ว แม่จะไปยกมาให้เจ้าเดี๋ยวนี้”
เมิ่งอี้เซวียนและเมิ่งเสียนช่วยกันประคองนางลุกขึ้นนั่ง เมิ่งเจี๋ยและเมิ่งชิงยื่นหน้าเข้ามาเบื้องหน้านาง ลูบแผลแผ่วเบา ถามด้วยสีหน้าเป็นห่วง “ท่านพี่ เจ็บมากใช่หรือไม่?”
เมิ่งเชี่ยนโยวลูบศีรษะพวกเขาทั้งสอง ยิ้มพูดว่า “ไม่เจ็บ ไม่กี่วันก็หายแล้ว”
เมิ่งชื่อยกโจ๊กเข้ามา ค่อยๆ ป้อนนางทีละคำจนหมด
เมิ่งเชี่ยนโยวหิวมากจริงๆ กินไปถ้วยใหญ่
เมิ่งชื่อเช็ดริมฝีปากให้นาง ถามว่า “จะกินอีกหรือไม่?”
เมิ่งเชี่ยนโยวส่ายหน้า “ข้าอิ่มแล้ว พวกท่านก็รีบไปกินข้าวเถอะ”
“พวกเรากินแล้ว สำหรับทุกคนก็จัดการเรียบร้อยแล้ว เจ้าไม่ต้องเป็นกังวลเรื่องเหล่านี้ ฟักฟื้นให้สบายเถอะ” เมิ่งเอ้ออิ๋นพูด
เมิ่งเชี่ยนโยวมองดูท้องฟ้า ถามขึ้น “พวกฉู่เหวินเจี๋ยทานแล้วใช่ไหมเจ้าคะ?”
เมิ่งเอ้ออิ๋นพยักหน้า พูดว่า “กินกันหมดแล้ว สองพ่อลูกเปากำลังนั่งคุยกับพวกเขา”
“พี่ใหญ่ ท่านไปเตรียมสิ่งของที่โรงงานออกมาหน่อยเถิด พรุ่งนี้ให้ฉู่เหวินเจี๋ยและอี้เซวียนเอากลับไปเมืองหลวงด้วย” เมิ่งเชี่ยนโยวพูด
เมิ่งเสียนรับคำ “เตรียมไว้พร้อมแล้ว ไม่เพียงพวกเขา แม้แต่ของใต้เท้าเปาข้าก็เตรียมไว้แล้ว”
เมิ่งเชี่ยนโยวพูดกับเขาอีกว่า “พี่ใหญ่ ท่านไปเรียกฉู่เหวินเจี๋ยเข้ามาหน่อย ข้ามีเรื่องจะพูดกับเขา”
เมิ่งเสียนพยักหน้า เดินออกไป
เมิ่งเชี่ยนโยวหันไปพูดกับทุกคน “ท่านพ่อ ท่านแม่ พวกท่านอยู่ต่อ พี่รองช่วยพาน้องเล็กทั้งสองหลบไปก่อนนะเจ้าคะ”
เมิ่งฉีพยักหน้า เรียกเมิ่งเจี๋ยและเมิ่งชิงรวมถึงซุนเหลียงไฉเดินออกมา
เมิ่งชื่อถามด้วยความแคลงใจ “โยวเอ๋อร์ เจ้าจะพูดอะไรกับฉู่เหวินเจี๋ยหรือ?”
เมิ่งเชี่ยนโยวยิ้มตอบความ “ท่านแม่ ประเดี๋ยวพวกท่านก็จะทราบเองเจ้าค่ะ”
ฉู่เหวินเจี๋ยตามเมิ่งเสียนเข้ามาโดยไว สองพ่อลูกเปารู้ความไม่ได้ตามเข้ามา
เมิ่งเชี่ยนโยวผงกศีรษะให้ฉู่เหวินเจี๋ย กล่าวอย่างรู้สึกผิด “ท่านแม่ทัพฉู่ ข้าลุกนั่งไม่สะดวก รบกวนท่านต้องเข้ามาเอง ต้องขออภัยท่านจริงๆ”
แม่ทัพฉู่โบกมือไม่ใส่ใจ “แม่นางเมิ่งอย่างได้กล่าวเช่นนี้เด็ดขาด เจ้าช่วยชีวิตของทั้งข้าและอี้เซวียน อย่าว่าแต่เรื่องเล็กน้อยที่เรียกข้าเข้ามา ต่อให้เจ้ามีเรื่องใหญ่จะขอร้องข้า ข้าก็ต้องรับปากเจ้า”
เมิ่งเชี่ยนโยวได้ฟังยิ้มอ่อน พูดว่า “ข้ามีเรื่องจะขอร้องท่านแม่ทัพฉู่จริงๆ หวังว่าท่านจะรับปาก”
แม่ทัพฉู่พูดทันควัน “แม่นางเชิญพูด ขอเพียงข้าทำได้ จะต้องรับปากแน่นอน”
“ต่อหน้าท่านและท่านพ่อท่านแม่ข้า ข้าต้องการถอนหมั้นกับอี้เซวียน”