เขาสั่งให้ข้าเป็นราชินี [ส่วนที่ 1] - ตอนที่ 42.4
เมืองเป่าฟั่นใกล้ตรอกปี้สุ่ย เสียงฆ้องเสียงกลองครึกครื้นกึกก้องถึงท้องฟ้า
ด้วยเพราะ ‘พระนางนั่งผกา’ และ ‘นางมารผกา’ ในปีนี้เริ่มเคลื่อนขบวนแล้ว ตามเส้นทางที่กำหนดไว้จะเริ่มจากตรอกปี้สุ่ยที่กำแพงเมืองทิศใต้ใกล้กับพระราชวัง ทั้งร้องเพลงทั้งเต้นรำตลอดทางจนถึงตรอกซั่นเต๋อที่กำแพงเมืองทิศเหนือ
ในขั้นตอนการเคลื่อนขบวนทั้งหมดจะใช้เกี้ยวหลากสีสันประทับ“พระนางนั่งผกา” ใช้ ‘กรงขังปลอม’ ที่ประดับเต็มไปด้วยดอกไม้สดกักขัง ‘มารผกา’ ไว้แล้วเคลื่อนไปข้างหน้า ทำการแสดงตลอดเส้นทางว่ายามนั้นพระนางนั่งผกาอาจหาญไร้หวาดกลัวเยี่ยงไรรวมทั้งคุณูปการเกริกก้องยามนั่งทับสังหารมารผกา ‘พระนางนั่งผกา’ กับ ‘มารผกา’ ล้วนเฟ้นหาสตรีโฉมงามมีชาติตระกูลในท้องถิ่นมารับบทบาทพร้อมมอบค่าตอบแทนให้มากมายตามสมควร สตรีผู้ได้รับการคัดเลือกในเทศกาลนั่งผกาจะมีชื่อเสียงรวดเร็วค่าตัวพุ่งสูงลิบลิ่ว
ปีนี้บริเวณตรอกปี้สุ่ยครึกครื้นยวดยิ่ง นอกตรอกสามชั้นแลในตรอกสามชั้นคลาคล่ำไปด้วยผู้คนกำลังบรรยายความงามของพระนางกับมารผกาปีนี้ด้วยท่าทีสนใจไม่เบา
“ได้ยินว่าพระนางผกาที่ได้รับเลือกในปีนี้คือคุณหนูแห่งตระกูลหวงตระกูลเศรษฐีอันดับหนึ่งในเมืองนี้! ว่ากันว่าเพียบพร้อมทั้งรูปโฉมสติปัญญา ในภายหน้าจะโยนลูกบอลแพรปักหาคู่ครอง[1]!”
“ทว่าข้าได้ยินว่าผู้ได้รับเลือกเป็นมารผกามีภูมิหลังยิ่งกว่า นางคือบุตรีของนักแสดงหลักคณะรุ่ยเฟิงคณะงิ้วอันดับหนึ่งแต่ก่อนของเขตซีเอ้อเรา บุตรีของจินเฟิ่งหวงนามเสี่ยวเฟิ่งหวง ว่ากันว่าสีเขียวมาจากสีน้ำเงินทว่าเข้มข้นกว่าสีน้ำเงิน[2] รูปโฉมงามเลิศล้ำเสียงไพเราะราวกระพรวนทองคำซ้ำยังเชี่ยวชาญการขับร้องการระบำ นางคือสิ่งวิเศษที่ท่านขุนนางปกครองเมืองแห่งนี้ถูกตาต้องใจมาเนิ่นนานแล้ว เดือนหน้าขึ้นเวทีคราแรกเขาแสดงออกชัดเจนว่าจะหนุนนำนางอย่างเต็มที่…”
“พระนางกับมารผกาปีนี้ล้วนมีสติปัญญาพบหาได้ยากในเกือบสิบปีมานี้ ฉะนั้นย่อมครึกครื้นยวดยิ่งนัก ไม่รู้ว่าจะดึงดูดให้กษัตริย์เสด็จออกจากพระราชวังมาทอดพระเนตรได้หรือไม่”
“เจ้าอย่าได้เอ่ยวาจานี้เชียวนะ! พวกเรายังอยากฉลองเทศกาลอยู่หรือไม่ พระนางเสด็จมายังจะดีอยู่หรือ?”
“หุบปาก! อย่าได้เอ่ยถึงกษัตริย์!”
…
เบื้องนอกฝูงชนครึกครื้น ใกล้ตลาดมีเพิงหลากสีสันหลายแห่ง ยังมีชั้นสองของโรงน้ำชาหลายแห่งสร้างเพิงสูงเพื่อให้ผู้คนทัศนา แน่นอนว่านี่ล้วนเป็นสิ่งตอบแทนแด่ขุนนางและเศรษฐี คนธรรมดาสามัญเบียดกายเข้าไปมิได้
หอหลากสีแห่งหนึ่งซึ่งสูงที่สุดยามนี้แลดูล้วนเงียบสงบ ม่านโปร่งสีแดงกุหลาบอ่อนๆ ห้อยย้อย ตะขอเงินห้อยม่านสยายถูกลมพัดจนเสียงดังกรุ๊งกริ๊งทว่ากลบเสียงหัวเราะแผ่วเบาเลือนรางในห้องมิได้
“ปีนี้เทศกาลนั่งผกาครึกครื้นขึ้นมาบ้างด้วยเพราะเจ้ามาแล้วใช่หรือไม่เล่า?” เสียงเอ่ยวาจาเป็นเสียงสตรีฟังแล้วแหบกระด้างเล็กน้อย ทว่าด้วยเพราะเสียงวาจากดต่ำจึงผุดผาดความลึกลับที่สะกดไว้บางส่วน
ในห้องเงียบงันไปชั่วครู่ จากนั้นเสียงบุรุษทุ้มต่ำไพเราะดังขึ้น
“ความครึกครื้นของเมืองเป่าฟั่นล้วนย่อมเป็นเหตุจากกษัตริย์ หากมิใช่กษัตริย์พาข้ามา ข้าคงมิอาจได้เห็นความครึกครื้นเช่นนี้”
เสียงหัวเราะของสตรีในม่านกระโจมสีม่วงทุ้มกระด้างน้ำเสียงขึ้นลงโดยกำเนิด เอ่ยเรื่องราวปกติยังคล้ายยั่วยุอยู่ตลอดเวลา
“เจ้ากำลังโทษว่าข้ายืนกรานจะออกมาหรือ…” มือสตรีนุ่มนิ่มไร้กระดูกยื่นออกมาแช่มช้าปีนป่ายหัวไหล่ของบุรุษคล้ายมิได้ใส่ใจ ปลายนิ้ววาดวนเกาะกุมแผ่ขยายไปจนถึงด้านในปลายจอนผมสีดำเข้มของเขา ปากเอ่ยว่า “…ข้านี้กลัวว่าเจ้าขังตนรักษาตัวจนอึดอัดจึงได้ออกมาผ่อนคลายเป็นเพื่อนเจ้านะ…”
นางหัวเราะอย่างออดอ้อน ดวงหน้าหันข้างเพียงน้อย เงากระดาษตัดรูปดอกเสาวรสจากโคมวังหลวงสาดส่องแสงสีเหลืองอ่อน นางรู้ว่าในมุมสายตาเช่นนี้ใต้แสงโคมตนเองงดงามที่สุด
เขาหันใบหน้าเพียงน้อย แสงโคมสะท้อนเงาด้านข้างของเขาออกมางามเลิศล้ำ ทรวดทรงทุกแห่งล้วนกำลังบรรยายลักษณะของลูกหลานตรอกอูอี[3]หมวกเอียงสง่างามเลื่องลือ[4] นางจ้องมองหว่างคิ้วคมเข้มของเขาอย่างลุ่มหลงหวังประทับริมฝีปากตนเองบนสีแดงอ่อนโยนลึกลับผืนนั้นของเขา ทว่าสุดท้ายด้วยเพราะความงามสูงศักดิ์ของเขาจึงสำรวมความปรารถนาก่อการขลาดเขลา เพียงอมยิ้มมองเขาสัมผัสปลายนิ้วตนเองไว้แผ่วเบาวางไว้บนฝ่ามืออย่างอ่อนโยนแลเบาบาง
สำหรับพฤกษาเขียวขจีบนโลกมนุษย์ต้นหนึ่งนี้ นางมิกล้ามุ่งมาดปรารถนาเกินงามด้วยกลัวจะหักทลายความงามกิ่งก้านใบเขียวชอุ่มของเขา
เขายิ้มแย้มสัมผัสนิ้วมือของนาง ไอออกมาเบาๆ สองเสียง
“อาการบาดเจ็บกำเริบหรือ?” นางกังวลโดยพลันเอ่ยสืบต่อว่า “เช่นนั้น พวกเรากลับวังกันเถิด”
“เพิ่งเริ่มเคลื่อนขบวน…” สีหน้าเขาเอาอกเอาใจ
“ร่างกายเจ้าสำคัญกว่า…” นางยิ่งละม้ายภริยาผู้นุ่มนวลอ่อนโยน
วาจาไพเราะน่าฟังยังมิทันสิ้น เบื้องล่างเสียงดังโหวกเหวกระลอกหนึ่งมีเสียงร้องตกใจเลือนราง นางหันกายด้วยความตกใจ เดินไปยังริมหน้าต่างปากเอ่ยว่า “เกิดเรื่องอันใดขึ้น?”
…
เงาขาวกะพริบวูบ กงอิ้นปรากฏกายที่อีกฝั่งหนึ่งของถนน เหลียวซ้ายแลขวาปราดเดียวย่อมรู้ว่าจิ่งเหิงปัวไม่อยู่
เขาต่อรองราคากับชายขายดอกไม้ใช้เวลาเพียงชั่วพริบตา จิ่งเหิงปัวหลุดพ้นจากสายตาของเขาอย่างรวดเร็วเยี่ยงนี้ได้ย่อมใช้การหายตัวเป็นแน่
ตามทิศทางที่ผู้คนเคลื่อนกายไหลหลาก เขามองฝูงชนที่ชุมนุมอยู่ห่างไกล เป็นไปตามคาดการณ์ว่าสตรีนางนั้นวิ่งไปมองความครึกครื้นตรงนั้นเสียแล้ว
เขาครุ่นคิดชั่วครู่ก่อนส่งสัญญาณลับเรียกหา เหมิงหู่ปรากฏข้างกายเขาในชั่วประเดี๋ยวเดียว
“ในเมืองเป็นเช่นไร?”
“ปลอดภัยขอรับ”
“ข่าวของเหยียลี่ว์ฉี?”
“ตามรายงานถึงเมืองเฮยสุ่ยแล้ว ปรากฏกายใกล้ภูเขาเฮย ก้าวต่อไปคงจะมุ่งหน้าสู่เจี๋ยหูขอรับ”
กงอิ้นหยุดฝีเท้าโดยพลัน
“ภูเขาเฮย? เมืองเฮยสุ่ยหรือ?”
“ขอรับ”
“อยู่ที่นั่นตลอดหรือ?”
“คนของพวกเราล้อมปราบเขาที่นั่นได้สามวันแล้วขอรับ”
กงอิ้นไม่ขยับเขยื้อนแล้วค่อยๆ เงยหน้ามองท้องฟ้า แสงอาทิตย์แห่งเขตซีเอ้อร้อนแรงเช่นนี้ทว่านัยน์ตาของเขาคล้ายค่อยๆ เยือกเย็นเป็นน้ำแข็งหนึ่งชั้น
เหมิงหู่กระวนกระวายใจขึ้นมา
“นายท่าน…”
“พวกเจ้าพลาดเสียแล้ว” กงอิ้นขัดวาจาของเขาอย่างเชื่องช้า “เหยียลี่ว์ฉีไม่ได้หยุดพักที่เฮยสุ่ย”
“นี่…”
“ยาถอนพิษโลหิตที่ข้ามอบให้เขาคือยาถอนพิษแลมีส่วนผสมเพิ่มพิเศษ ข้างในแฝงด้วยเมล็ดผลึกน้ำแข็งปัญญาหิมะของข้า เมล็ดผลึกน้ำแข็งจะออกฤทธิ์ในสภาพแวดล้อมหนาวเย็นชื้นแฉะทุกแห่ง เติบโตกลายเป็นยาพิษอีกชนิดหนึ่ง เพื่อรับมือไล่ล่าสังหาร เหยียลี่ว์ฉีคงใช้ยาถอนพิษของข้าเป็นแน่ ใช้ยาถอนพิษแล้วย่อมไม่อาจพักอยู่สถานที่หนาวชื้นเช่นเฮยสุ่ยนั้นยาวนานแน่แท้ สามวันหรือ?” เขาแบะมุมปากอย่างเสียดสีเพียงครั้ง เอ่ยสืบต่อว่า “สามวัน พวกเจ้าคงไม่ต้องไล่ล่า ทว่าคงจะเก็บซากศพของเขาได้แล้ว”
เหมิงหู่หน้าแดงไปถึงหูรีบเร่งก้มหน้า
“ข้าน้อยไร้ความสามารถ…”
กงอิ้นโบกมือหยุดยั้งวาจาของเขา
“ผู้ไม่รู้ย่อมไม่ผิด เรื่องสำคัญที่ต้องจัดการยามนี้คือรู้ว่าเขาอยู่ที่แห่งใดกันแน่ หากเขามิได้หยุดพักที่เฮยสุ่ยย่อมมิอาจข้ามเจี๋ยหู เช่นนั้น…”
เขาชะงักไปโดยพลันมองไปยังแหล่งครึกครื้นในเมืองคล้ายครุ่นคิดบางสิ่ง จากนั้นสีหน้าเปลี่ยนไป เงาร่างกะพริบวูบแฉลบผ่านกลางฝูงชนดุจเมฆสีขาวก้อนหนึ่ง
…
ใจกลางผู้คนหลั่งไหล ณ ตรอกปี้สุ่ย รถขบวนแห่ขยับเขยื้อนเชื่องช้า รถขบวนแห่เกิดจากรถม้าหลายคันรื้อผนังด้านนอกออกเชื่อมต่อกัน เสาสี่ด้านประดับด้วยม่านหลากสีบนหลังคากองเต็มไปด้วยดอกไม้ใบหญ้า ‘พระนางนั่งผกา’ ดวงพักตร์งามเพียบพร้อมนั่งอยู่ตรงกลางสวมชุดจีนโบราณสีแดง ส่วน ‘มารผกา’ แต่งกายงามเพริศแพร้วแต่งหน้าแฉล้มแก้มแดงวาดคิ้วโก่งสูง นางกำลังกางแขนงดงามสองข้างร่ายรำล้อมรอบ ‘พระนางนั่งผกา’ ยามนี้กำลังแสดงฉาก ‘มารผกาก่อกวน ดอกไม้โปรยเต็มนภา’ พอดิบพอดี
สตรีผู้รับบทเป็นมารผกาสมเป็นบุตรีของนักแสดงงิ้วผู้โด่งดังที่กำลังจะมีชื่อเสียงในภายหน้า รูปร่างอ่อนช้อยงดงาม ระบำคราหนึ่งท่วงท่างามเฉิดฉาย กระโดดขึ้นยอดเสาประดับทั้งสี่ด้านบ่อยครั้ง กลีบดอกไม้ที่ปลายเท้าขึ้นลงงดงามพาให้ผู้ชมตลอดทางร้องเฮกึกก้อง
“ฟิ้ว”
เงาคนกะพริบวูบ จิ่งเหิงปัวมาถึงแล้ว
นางปรากฏกายด้านหน้าสุดท่ามกลางฝูงชน ความสนใจของผู้คนล้วนอยู่ที่รถขบวนแห่ด้วยเพราะคนเยอะ แม้มีความรู้สึกประหลาดแต่ไม่ได้ใส่ใจ
มีเพียง ‘มารผกา’ ที่เริงระบำอยู่บนเสาประดับร่างอยู่บนตามองล่างชะงักโดยพลันพร้อมเบิกตากว้าง
จิ่งเหิงปัวรู้ว่านางมองเห็นแล้วจึงยิ้มยิงฟันให้นางครั้งหนึ่ง
ความหวาดผวาในแววตาของสตรีนางนั้นยิ่งมากขึ้น เท้าอ่อนยวบพลันยืนบนเสาไม่อยู่ ร้อง “อ๊า” เสียงหนึ่งเรือนร่างหงายล้มขาชี้ฟ้าลงไป
ศีรษะของนางกระแทกกับริมขอบรถขบวนแห่ดัง ตึง! เสียงหนึ่ง ยังมิทันได้เอ่ยวาจาก็สลบไสลไปเสียแล้ว
เสียงร้องยินดีเงียบกริบโดยพลัน ทุกผู้คนปากอ้าตาค้างมิเข้าใจว่าเกิดอุบัติเหตุฉับพลันนี้ด้วยเหตุใด ‘พระนางนั่งผกา’ นั้นลุกขึ้นอย่างงงงันทว่าสะดุดเรือนร่าง ‘มารผกา’ จนล้มลงร่วงไปข้างล่างรถขบวนแห่เสียงดังพลั่กเสียงหนึ่งเช่นกัน
ความเงียบสงบยามปากอ้าตาค้างถูกทลายด้วยเสียงร้องตระหนกตกใจโดยพลัน ผู้คนมองหน้ากันไปมา…ที่ผ่านมามิใช่ไม่เคยเกิดปัญหา ทว่ายังไม่เคยเกิดเรื่องผู้แสดงหลักสองนางล้มลงไปในพริบตาเดียวเช่นนี้มาก่อน
ผู้ใดเป็นคนทำ?
“ผู้ใดเป็นคนทำ!” เสียงหนึ่งตะโกนก้อง ขุนนางชุดคลุมยาวสีเขียวผู้หนึ่งหิ้วชุดตนไว้ ไอสังหารกระโจนลอยล่องรถขบวนแห่ตะโกนสืบต่อว่า “ห๊า? ผู้ใดเป็นคนทำ!”
ผู้นี้คือฝู่เฉิง[5]แห่งเมืองนี้ เขาเป็นผู้ดูแลและผู้รวมพลของการเคลื่อนขบวนซ้ำยังเป็นผู้หนุนนำเบื้องหลังของเสี่ยวเฟิ่งหวงผู้รับบทเป็น ‘มารผกา’
รถขบวนแห่เกิดเรื่อง ‘พระนางนั่งผกา’ และ ‘มารผกา’ ล้วนเคลื่อนขบวนมิได้อีก สำหรับเขาแล้วนับเป็นเรื่องที่จัดการได้ยากเรื่องหนึ่ง
“ผู้ใดเป็นคนทำ ห๊า?” นายท่านผู้ยิ่งใหญ่โกรธเกินยับยั้งสะบัดแขนเสื้อดังเพี้ยะเพี้ยะตะโกนสืบต่อว่า “ผู้ใดเป็นคนทำ! ลากออกมาขึ้นรถประจาน!”
ผู้คนเงียบงัน ผ่านไปชั่วครู่ เหล่าสตรีในฝูงชนพลันมีผู้ทอดสายตาไปทางจิ่งเหิงปัวร้องตกใจแผ่วเบาเสียงหนึ่ง
จากนั้นมีผู้คนมากยิ่งขึ้นทอดสายตาไปทางนาง คนเหล่านี้กว่าครึ่งหนึ่งเป็นสตรี
สายตาของจิ่งเหิงปัวมองคนพวกนี้อย่างแปลกประหลาด ชิบ ผิดเรื่องแล้วมั้ง ผู้หญิงสองคนนี้นางตกใจจนเกิดปัญหาเอง เกี่ยวกับพี่สักเหมา[6]เหรอ?
สีหน้าอิสรเสรีของนางนั้นเมื่อมองในสายตาของเหล่าสตรียิ่งจุดประกายเพลิงริษยาโหมกระหน่ำ
ใช่! นางนั่นล่ะ!
เมื่อครู่นางนั้นลากพ่อรูปงามซื้อดอกไม้ริมถนนทางนั้น!
หน้าไม่อายกล้าฉุดกระชากบุรุษกลางถนนหนทาง!
ซ้ำยังให้คุณชายรูปงามสูงส่งเช่นนั้นต่อรองราคาให้นาง!
ยามนี้ยังวิ่งมาเดินกรีดกรายไปตามถนนอยู่ที่นี่!
สตรีเช่นนี้จะไม่ลงโทษได้เยี่ยงไร?
“ผู้ใดเป็นคนทำ!” นายท่านผู้ยิ่งใหญ่บนรถขบวนแห่คำรามก้อง
สตรีกลุ่มหนึ่งพุ่งขึ้นไปเบื้องหน้ารถขบวนแห่พึ่บพั่บ หันหลังอย่างพร้อมเพรียงแล้วชี้ไปที่จิ่งเหิงปัว
“นาง!”
…
กษัตริย์เทียนหนานพิงกายที่ขอบหน้าต่าง ยิ้มแย้มมองความเคลื่อนไหวด้านล่าง
“อะไรหรือ?” เสียงบุรุษเกียจคร้านลึกลับแว่วมา เขาคล้ายไม่คิดจะเดินไปดูความครึกครื้นแล้ว
“คล้ายว่าพระนางนั่งผกาและมารผกาตกอกตกใจกันไปหมด” กษัตริย์เทียนหนานผลักหน้าต่างเปิดออกอย่างมิได้ใส่ใจ เอ่ยสืบต่อว่า “ดูท่าทางการเคลื่อนขบวนครานี้คงต้องหยุดลงด้วยเหตุมิคาดฝันเสียแล้ว พวกเรากลับวังพอดิบพอดี”
บุรุษหัวเราะแผ่วเบาเสียงหนึ่ง เสียงดีอกดีใจ “ย่อมได้”
“อ๊ะ” กษัตริย์เทียนหนานที่กำลังตระเตรียมจากไปหยุดลงโดยพลัน หันหน้ามองเบื้องล่างพลางเอ่ยว่า “ลากสตรีขึ้นไปนางหนึ่ง…เหตุใดจึงปะปนได้ตามใจชอบได้เช่นนี้…อา สตรีนางนี้งดงามกว่ามารผกานางนั้นเสียอีก!”
ในเสียงนางเปี่ยมด้วยความริษยา เอ่ยถึงช่วงท้ายแผ่ไอสังหารออกมาเสียแล้ว
สตรีที่งดงามพราวเสน่ห์ทุกนางบนโลกนี้ล้วนมิควรเทียบเทียมถึงเสน่ห์หมื่นเท่าของนาง ผู้ใดยิ่งมากกว่าผู้นั้นยิ่งควรขจัดทิ้ง
บุรุษลุกขึ้นแล้วเดินออกไปนอกประตู ยามได้ยินประโยคนี้ชะงักโดยพลันหันกายกลับมา
…
——
[1] โยนลูกบอลแพรปักหาคู่ครอง เป็นธรรมเนียมการเลือกคู่ครอง ชายผู้ที่เก็บลูกบอลได้คือผู้ที่ได้รับเลือกให้เป็นคู่ชีวิตที่หญิงผู้โยนลูกบอล
[2] สีเขียวมาจากสีน้ำเงินทว่าเข้มข้นกว่าสีน้ำเงิน อุปมาว่า คนรุ่นหลังเหนือกว่าคนรุ่นก่อน
[3] ตรอกอูอี คือที่อยู่ของตระกูลขุนนางใหญ่สมัยราชวงศ์จิ้นตะวันออก ภายหลังอุปมาว่า ลูกหลานตระกูลเศรษฐี
[4] หมวกเอียงสง่างามเลื่องลือ ตู๋กูซิ่นสมัยราชวงศ์สุยเป็นชายหนุ่มที่มีรูปโฉมงดงามแม้ยามหมวกเอียงยังงามสง่า ภายหลังอุปมาว่า มีรูปโฉมงามสง่า
[5] ฝู่เฉิง ตำแหน่งขุนนางปกครองเมือง
[6] เหมา เป็นสกุลเงินจีน 1 หยวน เท่ากับ 10 เหมา