เขาสั่งให้ข้าเป็นราชินี [ส่วนที่ 1] - ตอนที่ 48 - 1 เสียดาย
แขนเสื้อสีเงินเหลือบดำล่องลอยในค่ำคืนมืดมิด นิ้วมือเรียวยาวยิ่งนักอุดปากของเจ้าหมาโง่เอาไว้…
เข่าทั้งสองข้างของจิ่งเหิงปัวสั่นสะท้าน ด้านหนึ่งกล่าวต่อไปว่า “…มีเสน่ห์หรือไม่? เฮ้ออากาศหนาวจัง พวกเราลุกขึ้นอบอุ่นร่างกายกันหน่อยเป็นไง?” อีกด้านหนึ่งวางแผนที่จะลุกขึ้น
นางไร้หนทางหายตัวในท่านั่ง
เสียดายว่าสายไปแล้ว คนนั้นปรากฏกายข้างหลังนางปานภูตพราย หัวเข่าชนกับหลังของนาง นำกรงเล็บนกของเจ้าหมาโง่เกาไปเกามาบนศีรษะนาง เสียงเจือหัวเราะเอ่ยว่า “อะไร? จะเสด็จไปแล้วหรือ? พระองค์จะเสด็จไปกระหม่อมคงขวางไว้ไม่ได้ ทว่านกตัวนี้ทิ้งไว้ให้กระหม่อมย่างเถิด?”
“อย่ากินข้า! อย่ากินข้า!” เจ้าหมาโง่ร้องเสียงดังว่า “จะกินก็กินเจ้าสัตว์ประหลาดน้อย! หนังบางเนื้อแน่นมันท่วมปาก!”
จิ่งเหิงปัวถอนหายใจเฮือก หันข้างมาตบทุ่งหญ้าข้างกายแล้วกล่าวว่า “มา นั่งลงมาหารือกันว่าย่างนกอย่างไรให้หอมยิ่งขึ้น”
“ต้าปัวเจ้ามันยัยลามก กินนกทั้งบ้านเป็นเชิงตะกอนเผาศพ!” เจ้าหมาโง่ที่โพล่งปากด่าทอถูกเหยียลี่ว์ฉีที่ถีบหัวส่งผู้มีพระคุณกดลงไปในโคลนเลนซ้ำไปซ้ำมา
“ขยะเช่นนี้ทรงเลี้ยงไว้ทำสิ่งใด” เหยียลี่ว์ฉีชี้ไปยังเฟยเฟยอย่างสนิทสนมกลมกลืนยิ่งนัก เอ่ยว่า “เช่นนี้น่าจะทรงลองเลี้ยงตัวนั้นเพิ่ม…โอ้เจ้าอย่ามองข้า ข้าทนทานดวงเนตรงดงามของเจ้าไม่ไหว”
เขายิ้มพลางยื่นมือกดศีรษะใหญ่โตของเฟยเฟยบดบังดวงตาของเฟยเฟยไว้ เฟยเฟยวางแผนใช้สายตามอมเมาเขาอย่างบ้าคลั่ง ทว่าแผนการช่วยเหลือเจ้านายล้มเหลวในชั่วพริบตา มันสะบัดหางอย่างหดหู่ กระโดดลงจากหัวเข่าของจิ่งเหิงปัว
จิ่งเหิงปัวยื่นมือทัดจอนผม หันข้างยิ้มให้เหยียลี่ว์ฉีครั้งหนึ่งอย่างตามใจยิ่งนัก กล่าวว่า “เฮ้อ ข้านึกว่าเจ้าหนีไปนานแล้ว เหตุใดจึงยังรออยู่ที่แห่งนี้”
น้ำในแม่น้ำใสแจ๋วเปล่งประกายเพียงน้อยในความมืดมิด รอยยิ้มครั้งหนึ่งนี้ของนางคล้ายสุกสกาวพราวแพรวแลงดงามอ่อนช้อยเช่นกัน
นัยน์ตาของเหยียลี่ว์ฉีหรี่ลงเพียงครั้งคล้ายตื่นตะลึงชะงักงันไปชั่วครู่ จากนั้นรู้สึกตัวขึ้นมา เบี่ยงกายโดยพลัน หลบหลีกเฟยเฟยที่กำลังฉี่ใส่ข้างหลังเขา
เฟยเฟยส่ายหัวถอนหายใจเฮือก เดินเตร่ลากหางออกไป
จิ่งเหิงปัวแบะปากอย่างช่วยไม่ได้…กลยุทธ์สาวงามล้มเหลวเช่นกัน
เหยียลี่ว์ฉีนั่งลงที่ด้านหนึ่ง มือยังคงคว้าเจ้าหมาโง่ไว้แน่น ยิ้มพลางถอนหายใจเฮือกเอ่ยว่า “ล้วนเอ่ยว่าราชินีองค์ใหม่ทรงไร้การศึกษาไร้วิชาเจ้าชู้เกียจคร้านตะกละตะกลามมิเคารพกฎเกณฑ์ไร้ประโยชน์สิ้นดี ทว่าเหตุใดไม่รู้กระหม่อมจึงรู้สึกว่าพระองค์ทรงเป็นผู้เฉลียวฉลาดโดยแท้จริง?”
“ประโยคแรกที่เจ้าเอ่ยใช่ข้าหรือ?” จิ่งเหิงปัวกะพริบตา กล่าวต่อไปว่า “แน่นอนว่าประโยคหลังที่เจ้าเอ่ยข้ารู้สึกว่าถูกต้องยิ่งนัก”
ขนตายาวงอนงามของนางกะพริบต่อเนื่อง เหยียลี่ว์ฉีรู้สึกว่าดวงใจถูกสายลมหอมกรุ่นระลอกหนึ่งพัดผ่านโดยพลัน อ่อนโยนคันยุบยิบ ยั่วเย้าจนใจคนว้าวุ่น
ยามนางสงบลงมา สีหน้าไร้เดียงสาซ้ำยังเจือความงามอ่อนช้อยเพียงน้อย คล้ายมีดบัวแดงงามล้ำด้ามหนึ่งซึ่งเฉือนผิวเถือเนื้อเถือกระดูกของผู้คนอย่างแผ่วเบา
เหยียลี่ว์ฉีเขยิบไปนั่งด้านนอกอีกครั้งอย่างไม่ให้สุ้มให้เสียงแล้วยิ้มพลางเอ่ยว่า “ทว่าประเดี๋ยวผู้เฉลียวฉลาดเยี่ยงนี้จะถูกเนรเทศ นับว่าน่าเสียดายยิ่งนัก มิรู้ว่าความเฉลียวฉลาดของพระองค์จะสามารถปกป้องพระองค์ให้ปลอดภัยไร้โรคา ณ ลุ่มน้ำเยียนจั้งถิ่นเลวร้ายนั้นได้หรือไม่?”
“นี่คือเหตุผลที่เจ้าเสี่ยงอันตรายอยู่รอข้ากระมัง” จิ่งเหิงปัวหัวเราะฮิฮิครั้งหนึ่ง กล่าวต่อไปว่า “เจ้ารอเจรจากับข้าโดยเฉพาะหรือ เจ้าอยากจะคุยเรื่องใดกับข้า เหตุใดเจ้าจึงรู้ว่าข้าจะออกมา”
เหยียลี่ว์ฉียิ้มแย้มมิเอ่ยวาจา ผ่านไปครู่ใหญ่จึงเอ่ยว่า “นับว่ากระหม่อมเข้าใจกงอิ้น”
จิ่งเหิงปัวยักไหล่ ไม่เข้าใจว่าการที่เขาเข้าใจกงอิ้นเกี่ยวอะไรกันกับการรู้ว่าตนเองจะออกมา ตอนนี้ได้ยินชื่อกงอิ้นนี้นางก็หงุดหงิดขึ้นมา รีบเร่งเปลี่ยนหัวข้อสนทนากล่าวว่า “เจ้ารอข้าคิดจะทำสิ่งใด คิดเรื่องชั่วร้ายใดออกมาได้อีกหรือ เจ้าไปไกลๆ ข้าหน่อย ข้ายังถูกเจ้าทำร้ายไม่พออีกหรือ? ครั้งก่อนเจ้ายังเสียเปรียบไม่พออีกหรือ?” นางเหมือนนึกอะไรขึ้นมาได้ทันที เรือนร่างถอยมาด้านหลัง ดวงตาจ้องเขาอย่างระแวดระวัง กล่าวต่อไปว่า “คงมิใช่รวมเรื่องที่ข้าถีบจุดยุทธศาสตร์ของเจ้าเมื่อครู่กระมัง? นี่ๆ ‘ลูกเตะทลายฟ้า’ ท่านั้นของข้าคงมิได้ถีบสิ่งนั้นจน…”
“หยุดเลย!” เหยียลี่ว์ฉีรีบเร่งโบกมือขัดขวางปากกำเริบเสิบสานน่าหวาดกลัวของสตรีนางหนึ่งแล้วเอ่ยว่า “หากกระหม่อมวางแผนจะคิดบัญชีกับพระองค์จริงๆ ยามนี้พระองค์จะยังทรงประทับโดยปลอดภัยอยู่ที่นี่ได้หรือ?”
“อย่ามาโม้” จิ่งเหิงปัวแบะปาก กล่าวต่อไปว่า “หากข้าคิดจะจากไปจริงๆ เจ้าย่อมรั้งข้าไว้มิได้…”
“อืมๆ นับว่ากระหม่อมรั้งพระองค์ไว้ไม่ได้” เหยียลี่ว์ฉีนางพลางยิ้มแย้ม เอ่ยสืบต่อว่า “พระพักตร์หงิกงอพระศอหักเช่นนี้ อะไร ทรงพ่ายแพ้กงอิ้นหรือ? เมื่อครู่พระองค์ทรงเสี่ยงชีวิตช่วยเขาหลายครั้งหลายครา เขากลับยังไม่ซาบซึ้งบุญคุณ นับเป็นเจ้าคนผู้ไม่เข้าใจเสน่ห์โดยแท้ จะสลัดเขาออกมาพึ่งพากระหม่อมดีหรือไม่ อืม ฝ่าบาทที่เคารพรัก ขอทรงเชื่อว่ากระหม่อมจะต้องปกป้องพระองค์นะ”
มือทั้งสองข้างของเขากางไปด้านหลังเพียงครั้ง คางเชิดขึ้นมาเพียงน้อย ยิ้มแย้มให้จิ่งเหิงปัว ท่วงท่านี้คือท่วงท่าที่มิได้ป้องกันเลยแม้แต่น้อย
สายตาของจิ่งเหิงปัวทอดลงใต้ลำคอของเขาอย่างแม่นยำยิ่ง…คอเสื้อของเหยียลี่ว์ฉีหลุดลุ่ยเสียแล้วไม่รู้ตั้งแต่เมื่อไร ผุดเผยแผ่นอกกำยำและกระดูกไหปลาร้าครึ่งผืนออกมา ผิวกายสีน้ำนมอ่อนแวววาวของเขาคล้ายทำให้ผู้คนวิงเวียนได้ภายใต้แสงดารามัวสลัว ส่วนกระดูกไหปลาร้าตรงดิ่งประณีตเช่นนั้นพาให้ผู้คนนึกถึงนิ้วมือเรียวยาวยิ่งนักของเขา ทุกเฟิ่นทุกชุ่นคือความงามประณีต คือรูปสลักที่ปรมาจารย์ใช้หยกน้ำงามสลักไว้
รูปงาม…รูปงามสดใหม่…พ่อรูปงามสดใสฉบับผู้ชายอบอุ่นลึกลับ…จิ่งเหิงปัวได้ยินเสียงกลืนน้ำลายดังเอื้อกของตนเองดังกังวานอย่างยิ่ง
ก่อนนางเองจะทันได้รู้สึกตัวขึ้นมา กรงเล็บของนางลูบคลำข้างลำคอหลังใบหูของเหยียลี่ว์ฉีอย่างไม่มีความเกรงใจเลยแม้แต่น้อยเสียแล้ว กล่าวว่า “โห…เจ้าบำรุงอย่างไร ผิวพรรณบริเวณนี้หยาบกระด้างได้โดยง่ายยิ่งนัก จิ๊จ๊ะ เนียนละเอียดจัง น่าลูบจังเลย ใช้ผลิตภัณฑ์บำรุงผิวตัวไหน…”
“เจ้า…” เหยียลี่ว์ฉีถลึงตามองนาง สีหน้าท่าทางสลับซับซ้อนยิ่งนัก
คล้ายจะถูกเจ้าชู้ใส่เสียแล้ว และโฉมสะคราญคล้ายจะติดกับดักเสียแล้ว ทว่าเบื้องหลังกิริยาท่าทางเจ้าชู้ตามใจตนปานนั้น เขากลับรู้สึกได้ถึงความบริสุทธิ์และความไม่สนใจไยดีของนาง คล้ายว่าสำหรับนางความงามแห่งบุรุษคือสิ่งที่นางชื่นชอบ ทว่าเป็นเพียงความชื่นชอบ ประหนึ่งชื่นชอบดอกไม้ดอกหนึ่ง ชื่นชอบนกตัวหนึ่ง ชื่นชอบเมฆขาวก่อนหนึ่ง เพียงความชื่นชอบธรรมดาสามัญ
ความรู้สึกนี้พาให้เขาไม่สบายกายสบายใจ เขาแกะมือของจิ่งเหิงปัวอย่างโกรธเคืองแล้วฉวยมือดึงคอเสื้อขึ้นมา
จากนั้นเขาชำเลืองมองทิศทางหนึ่ง ยิ้มแย้มอย่างเกียจคร้านอีกครั้งโดยพลัน
จิ่งเหิงปัวหดมือกลับมา ครุ่นคิดไปชั่วครู่ก็รู้สึกว่าแปลกประหลาดเล็กน้อย เมื่อครู่นางหวั่นไหวแล้ว ใจสะท้านแล้ว ชื่นชอบแล้ว แต่การหวั่นไหวใจสะท้านชื่นชอบนี้เป็นเพียงด้วยเพราะความชื่นชอบที่สิ่งงดงามปรากฏกาย เหมือนกับแต่ก่อนตอนดูรูปผู้ชายกล้ามแน่นในกระทู้นับไม่ถ้วนครั้ง นางเลียจอลูบคลำกราบไหว้เคลิบเคลิ้มน้ำลายย้อย ทว่าเลียจอเสร็จเคลิบเคลิ้มเสร็จ ในใจไร้ซึ่งระลอกคลื่นแล้วก็หลงลืมไปอย่างรวดเร็ว
“เหตุใดข้าต้องพึ่งพาเจ้า เจ้าจิตใจดีงามนักหรือ?” จิ่งเหิงปัวแบะปาก มือสะบัดกิ่งหลิวปัดน้ำในแม่น้ำพลางกล่าวว่า “พอแล้ว พวกเราไม่ต้องอุบอิบเอาไว้แล้ว เจ้าคิดจะทำอย่างไร เอ่ยมาให้ฟังหน่อย”
“ก่อนหน้านี้ที่กระโจมของเฟยหลัว พระองค์ย่อมทรงได้ยินกฎเกณฑ์การรับเสด็จราชินีไกลร้อยลี้แล้ว” ในที่สุดเหยียลี่ว์ฉีจึงนั่งตัวตรง ทว่าเรือนร่างกลับโน้มเอนมาหาจิ่งเหิงปัวเล็กน้อย มองดูจากมุมสายตาบางมุม ทั้งสองคนคล้ายคลอเคลียอยู่ด้วยกัน
“ในพิธีเฉลิมฉลองรับเสด็จ ราชินีจะต้องทรงแสดงพระปรีชาสามารถที่ทำให้ทุกผู้คนยอมสยบ” เขายิ้มแย้มพลางเอ่ยว่า “พระองค์ทรงมีหรือ?”
“แล้วเจ้ามีหรือ? ราชินีองค์ก่อนๆ มีหรือ?” จิ่งเหิงปัวคัดค้านอย่างโกรธเคือง กล่าวสืบต่อว่า “ข้าน่ะไม่เชื่อหรอกว่ามีความสามารถใดที่ทำให้ทุกผู้คนยอมสยบได้ นี่เป็นการกลั่นแกล้งกันชัดๆ”
“พระองค์ตรัสถูกแล้ว” เหยียลี่ว์ฉีกุมปากหัวเราะ เอ่ยสืบต่อว่า “ในประวัติศาสตร์ต้าฮวง การรับเสด็จราชินีไกลร้อยลี้แท้จริงแล้วมีเพียงสามครั้ง ทุกครั้งล้วนมีลับลมคมใน ตามประวัติศาสตร์ พิธีเฉลิมฉลองรับเสด็จสามครั้งมีสองครั้งที่ราชินีทรงผ่านไปอย่างราบรื่น มีครั้งหนึ่งล้มเหลวถูกเนรเทศ”
“อัตราการผ่านการทดสอบสูงอยู่นะ สองในสามส่วนแน่ะ” ดวงตาของจิ่งเหิงปัวสว่างวูบ แลบลิ้นเลียริมฝีปาก
ลิ้นสีชมพูของนางไถลบนริมฝีปากเพียงครั้ง ปราดเปรียวดั่งมัจฉาน้อยตัวหนึ่ง เหยียลี่ว์ฉีมองชะงักในปราดเดียว รู้สึกเพียงว่าดวงใจเต้นเร่าเพียงครั้งอีกครา รีบเร่งสำรวมจิตใจ ยิ้มแย้มพลางเอ่ยว่า “ถูกต้อง สูงทีเดียว ผ่านได้โดยง่ายยิ่งนัก”
“เจ้าเอ่ยสิ เจ้าเอ่ยเร็ว” จิ่งเหิงปัวรีบเร่งคว้ามือของเขาเอาไว้ สีหน้าท่าทางตื่นเต้นดีใจ
เหยียลี่ว์ฉีก้มหน้ามองดูมือนุ่มนวลประณีตของนาง ฝ่ามืออบอุ่นยิ่งนักประหนึ่งเส้นไหมที่ถูกเพลิงโลมเลียกลุ่มหนึ่งแนบอยู่บนหลังมือ กระทั่งดวงทหัยยังคล้ายอ่อนนุ่มอบอุ่นในชั่วพริบตา มือของเขาคลายออกแช่มช้า สายตาชำเลืองมองไปในความมืดมิดห่างไกลปราดหนึ่งอีกครั้งคล้ายมิได้ใส่ใจ ยิ้มอย่างดีอกดีใจยิ่งนัก
ดวงหน้าเจือด้วยรอยยิ้มลึกลับ เขาตบมือของจิ่งเหิงปัวแผ่วเบาแล้วจึงเอ่ยว่า “ราชินีองค์หนึ่งทรงมาจากแคว้นเซียง แคว้นเซียงรวบรวมกำลังทั้งแคว้นจัดสรรกลุ่มผู้เฉลียวฉลาดมากถึงสามร้อยกว่าคนเพื่อราชินี ทดสอบทั้งสิ้นสามวันสามคืนจึงช่วยนางผ่านพิธีเฉลิมฉลองไปได้ ราชินีอีกองค์หนึ่งทรงมาจากเผ่าไต้เม่า เผ่าไต้เม่าที่ร่ำรวยส่งทูตมากกว่าร้อยคนและรถม้าบรรทุกเงินทองเกือบร้อยคัน ใช้เงินทองเคาะประตูเหล่าขุนนางใหญ่จนเปิดออกในค่ำคืนเดียว ใช้ทองมหาศาลซื้อความนิ่งเงียบของพวกเขาจึงมีการขึ้นครองราชย์อย่างราบรื่นของราชินี…อืม พระองค์ทรงรู้สึกอะไรบ้าง?”
“ดีเหลือเกิน…” จิ่งเหิงปัวกล่าวด้วยงงเป็นไก่ตาแตกว่า “คนหนึ่งทุ่มอัจฉริยะ คนหนึ่งทุ่มทองคำ ทั้งเผ่าทั้งแคว้นเป็นผู้สนับสนุนอยู่เบื้องหลังเพื่อคนผู้เดียว…พี่จะทุ่มสิ่งใดได้บ้าง เฟยเฟยหรือ? ใครจะเป็นผู้สนับสนุนอยู่เบื้องหลังให้พี่ เจ้าหมาโง่หรือ?”
“ยามอยู่เป็นจอมปราชญ์ ยามถึงฆาตยังอาจหาญ” ปากเต็มไปด้วยตะกอนดินทรายของเจ้าหมาโง่กรีดร้องว่า “ไม่ให้สามสิบล้าน ไม่ข้ามผ่านธารเจียงตง!”
“ให้เฟยเฟยตบหน้าเจ้าสามครั้ง!” จิ่งเหิงปัวตบมันครั้งหนึ่งจนมันลอยออกไปอย่างหงุดหงิด กุมศีรษะครุ่นคิดอย่างยากลำบาก
“ทำให้สตรีเช่นพระองค์ทรงระทมทุกข์เช่นนี้ นับเป็นเรื่องที่ทำให้ข้าราชบริพารทั้งหลายไม่สบายใจเหลือเกินเสียจริง” เหยียลี่ว์ฉีอมยิ้มมองนางพลางเอ่ยสืบต่อว่า “ฉะนั้นกระหม่อมเสี่ยงอันตรายอยู่รอ เพื่อผ่อนทุกข์คลายโศกให้พระองค์…”
วาจายังเอ่ยมิทันสิ้น จิ่งเหิงปัวยืนขึ้นอย่างฉับพลัน จัดทรงผมแล้วสูดหายใจเฮือกหนึ่งกล่าวว่า “ดีแล้ว เช่นนี้แล อืม เหยียลี่ว์ฉี ขอบใจที่เจ้านั่งคุยเป็นเพื่อนข้า ช่วยข้าตัดสินใจ บุญคุณและความแค้นแต่ครั้งก่อนของพวกเราก็ลบหายในฝ่ามือเดียวแล้วกัน จุ๊บๆ ลาก่อน!”
นางกล่าวจบปานปืนกล ฉวยมือคว้าเจ้าหมาโง่จากในมือของเหยียลี่ว์ฉีที่กำลังงงงวย อีกมือหนึ่งกวักร้องเรียกเฟยเฟย หันกายได้ก็จากไป
“เจ้า…” ถึงอย่างไรเหยียลี่ว์ฉีก็ไม่คิดว่าเจ้าคนนี้จะมีการตอบสนองเช่นนี้ เอ่ยอย่างงงงวยว่า “พระ…พระองค์ได้ทรงฟังกระหม่อมเอ่ยหรือไม่?”
“เหมือนจะไม่นะ…”
เหยียลี่ว์ฉีเริ่มกระแอมไอ
“ทว่าข้าเดาได้ว่าเจ้าอยากจะเอ่ยเรื่องใด” จิ่งเหิงปัวชำเลืองมองเขาแวบหนึ่งพลางเอ่ยว่า “โชคลาภคงไม่ลอยลงมาจากฟ้า เจ้าเสี่ยงอันตรายอยู่รอข้ามาเสนอเรื่องนี้ให้ข้า ต้องมีความจำเป็นที่คุ้มค่าให้เจ้าเสี่ยงอันตรายเป็นแน่ ข้าให้สิ่งใดแก่เจ้าได้หรือ? แลกเปลี่ยนสิ่งใดกับเจ้าได้หรือ? หากเจ้าช่วยข้าผ่านด่านทดสอบของราชินีด่านหนึ่งนั้น ข้าต้องช่วยเจ้าทำสิ่งใด? ราชินีขึ้นครองราชย์ เข้าประทับตำหนักอวี้จ้าว ส่วนสถานที่ว่าราชการของกงอิ้นอยู่ที่ตำหนักอวี้จ้าวเช่นกัน เช่นนั้นสิ่งเดียวที่ข้าราชินีหุ่นเชิดองค์นี้ทำได้คือช่วยเหลือราชครูฝ่ายซ้ายท่านเหยียลี่ว์ผู้ความทะเยอทะยานมากล้นของพวกเรา ร่วมมือทั้งนอกทั้งในกำจัดราชครูฝ่ายขวาท่านกงอิ้นผู้มีความทะเยอทะยานมากล้นเช่นกัน ถูกต้องหรือไม่?”
ความเงียบสงัดชั่วขณะหนึ่ง
น้ำในแม่น้ำเปล่งเสียงซู่ซู่แผ่วเบา วัชพืชโอนเอนอยู่ริมแม่น้ำ นกกลางคืนกระพือปีกแผ่วเบา ค่ำคืนในชั่วขณะหนึ่งนี้เงียบสงัดจนทำให้คนเคร่งขรึม
สักครู่ใหญ่ เหยียลี่ว์ฉีจึงเชิดหน้าขึ้นเพียงน้อย ผุดเผยรอยยิ้มขมขื่นเป็นครั้งแรกเอ่ยว่า “กระหม่อมรู้สึกว่าตนมิเคยได้หมิ่นแคลนพระองค์ จวบจนยามสุดท้ายกระหม่อมจึงรู้สึกตัวว่ากระหม่อมยังคงประเมินพระองค์ต่ำเกินไป”
จิ่งเหิงปัวสะบัดผมครั้งหนึ่งอย่างได้ใจ เท้าเอวกล่าวเสียงดังว่า “พี่คือผู้ใด! พี่คือ จิ่ง เหิง ปัว ผู้ขึ้นบนรู้นภาลงล่างรู้พสุธาตรงกลางรู้น้ำใจไมตรีศัตรูคู่แค้นรู้ภูมิศาสตร์ประเพณีรู้แผนการในใจมนุษย์ไม่มีเรื่องใดที่ไม่รู้ด้วยฝึกฝนนับร้อยนับพันครั้งในศึกชิงบัลลังก์ทะลุมิติยาโอยยูริแฟนตาซีความรักปวดตับซาดิสม์ในช่วงฟีเว่อร์!”
เหยียลี่ว์ฉีนั่งนิ่งเหลือบมองเจ้าผู้ชั่วพริบตาหนึ่งจริงจังชั่วพริบตาหนึ่งเป็นลมบ้าหมูผู้นี้ครู่ใหญ่ เกือบจะโค่นล้มการตัดสินของตนเองอีกครั้ง
พอจับจ้องมองดวงพักตร์ยิ้มแย้มเบิกบานของจิ่งเหิงปัว เขาเกิดความสงสัยต่อพลังการวินิจฉัยของตนเองเป็นครั้งแรก เบื้องหน้านางนี้เป็นสตรีเช่นไรกันแน่?
เอ่ยว่านางเฉลียวฉลาด หลายครั้งหลายครานางใช้ชีวิตเลอะเทอะ มิยอมจัดการให้รู้ดำรู้แดงโดยสิ้นเชิง ใบหน้าเปี่ยมด้วยคำว่า “เช่นนี้ก็ดีนะอยู่ได้ก็อยู่ไป” เอ่ยว่านางเลอะเทอะ ยามช่วงเวลาสำคัญนางมีสติอยู่เสมอ มีการวินิจฉัยและความเห็นของตนเองอยู่เสมอ
นางเจ้าชู้ทว่าไม่หลายใจ นางชอบกินทว่าไม่ตะกละตะกลาม นางเกียจคร้านทว่าไม่พึ่งพาอาศัยผู้อื่น นางสะเพร่าทว่าไร้พิษสงต่อผู้อื่น
นางนั้นคล้ายภาพวาดสดใสงดงามผืนหนึ่ง มองปราดแรกงดงามจนสะกดผู้คน ลายเส้นมั่วซั่ว ยามรวบรวมสมาธิพินิจโดยละเอียดถึงรู้สึกตัวว่าภายใต้รูปลักษณ์ภายนอกที่ซ่อนเร้นความสว่างพร่างพรายทำให้คนเคลิบเคลิ้ม แบ่งแยกเรื่องราวชัดเจน ฟ้าดินร่วมขนาน
“พระองค์ทรงไตร่ตรอง” ในที่สุดเขาเก็บรอยยิ้มเปลี่ยนเป็นน้ำเสียงจริงจังเอ่ยว่า “พระองค์เข้าสู่อาณาเขตต้าฮวงแล้ว ยามนี้รอบด้านดูท่าทางไร้ความผิดปกติเพียงด้วยเพราะเส้นทางนี้คือเส้นทางลับเส้นทางหนึ่งซึ่งผ่านการบุกเบิกเกือบร้อยปีของชาวแคว้น หากพระองค์หวังจะเสด็จหนีแลหลบเลี่ยงจากไล่ล่าจับตัวของกงอิ้นย่อมมิอาจเสด็จเส้นทางนี้ เช่นนั้น รอบด้านเส้นทางสายนี้ล้วนเป็นบึงโคลนไร้ขอบเขต บึงโคลนที่ล้อมรอบอาณาเขตเทียบมิได้กับบึงโคลนในแคว้น เป็นเพียงบึงโคลนธรรมดา เต็มเปี่ยมด้วยอันตราย หลายปีมานี้ลุ่มน้ำต้าฮวงอาศัยบึงโคลนเหล่านี้ขัดขวางฝีเท้าล่วงล้ำของแต่ละแคว้น พระองค์ทรงมั่นใจว่าจะเสด็จออกไปได้หรือ?”
“น่ากลัวขนาดนั้นเชียว?” จิ่งเหิงปัวสั่นสะท้าน กล่าวต่อไปว่า “แต่ว่า ไม่ลองดูจะรู้ได้อย่างไรเล่า”
“พระองค์ทรงยอมจะลองบึงโคลนทว่าไม่ยอมไปเป็นราชินีหรือ?” เหยียลี่ว์ฉีมองนางอย่างเหลือเชื่อพลางเอ่ยว่า “ราชินีแห่งต้าฮวงมิได้น่ากลัวเช่นพระองค์ทรงจินตนาการ นอกจากไม่ค่อยมีอิสระแล้ว ราชินีจะเสพสุขการปรนนิบัติด้วยเคารพศรัทธาและทรงเกียรติภูมิที่สุดจนไร้เทียบเทียม ใช่แล้ว ราชินีถูกถอดถอนได้โดยราชครู เช่นนั้นพระองค์ยิ่งควรทรงร่วมมือกับกระหม่อม กงอิ้นกุมมหาอำนาจเช่นนี้ คงจะไม่ยอมให้พระองค์ทรงอยู่เหนือศีรษะเขาไปตลอดเป็นแน่ เขามีเหตุผลจำเป็นต้องขึ้นครองตำแหน่งจะรพรรดิ ทว่าหากพระองค์ทรงช่วยกระหม่อมแย่งชิงมหาอำนาจแห่งตำหนักอวี้จ้าว กระหม่อมสัญญาว่าภายภาคหน้าจะช่วยพระองค์แก้ไขประมวลกฎหมายถวายอิสระแด่พระองค์ เทิดทูนพระองค์เป็นจักรพรรดินีตลอดกาล”
จิ่งเหิงปัวเท้าคาง กะพริบตาปริบๆ มองเขา คล้ายกำลังพิจารณาความจริงในวาจาของเขา
“เทียบกับการร่อนเร่พเนจรที่บึงโคลนน่ากลัวหลากหลายชนิดตลอดกาลแล้ว” เหยียลี่ว์ฉียิ้มแย้มเปี่ยมด้วยความยั่วยวน เอ่ยว่า “เป็นราชินีที่สุขสบายอิสระ เสพสุขความมั่งคั่งร่ำรวยเปี่ยมยศศักดิ์ไร้ขีดจำกัดชั่วชีวิตองค์หนึ่ง ไม่ใช่ดีกว่าหรอกหรือ?”