เขาสั่งให้ข้าเป็นราชินี [ส่วนที่ 1] - ตอนที่ 49 - 3 ความในใจ
วันนี้จิ่งเหิงปัวได้ยินเสียงหัวเราะเบิกบานจากข้างนอกกะทันหัน ยงเสวี่ยลงจากรถม้าไปสำรวจดู ชะโงกศีรษะเข้ามาอย่างรวดเร็วด้วยท่าทางทั้งตื่นตกใจและดีใจ เอ่ยว่า “ใกล้ถึงแล้วล่ะ!”
พอจิ่งเหิงปัวได้ยินรีบเร่งเปิดหน้าต่างมองภายนอก จึงพบว่าเส้นทางโบราณหายไปแล้วไม่รู้ตั้งแต่เมื่อไร ป่ารกชัฏหายไปแล้ว บึงโคลนสีดำทอดยาวอยู่ห่างไกลหายไปแล้วเช่นกัน สิ่งที่ปรากฏตรงเบื้องหน้าคือภูเขาลูกหนึ่ง ภูผาคล้ายถูกขวานสวรรค์สะบั้นออก ตรงกลางคับแคบมีเส้นทางเหลือเพียงรถม้าสองคันแล่นสวนกันเส้นทางหนึ่ง ผาสองด้านแทบจะตรงเก้าสิบองศาเป็นหน้าผาตะปุ่มตะป่ำ แม้แต่หญ้าสักต้นเดียวยังไม่งอกเงย
ภูเขานี้แม้อันตราย ทว่าสิ่งที่ดึงดูดสายตาของนางกลับเป็นคน
เบื้องหน้าเส้นทางภูเขาคลาคล่ำไปด้วยผู้คน
เป็นทหารทั้งหมด
ฝั่งซ้ายชุดขาวเกราะขาวล้วน นอกจากหมวกผูกพู่สีแดงและเข็มขัดประดับทับทิมแล้ว เกราะที่เหลือล้วนเป็นสีขาวบริสุทธิ์ เสื้อเกราะครึ่งตัวงดงามล้ำค่ายากพบเห็นและบริสุทธิ์สุกใสยากพบเจอ รูปแบบงามประณีตเบาสบายคล่องแคล่ว เกราะบ่าทรงหัวมังกร เกราะหัวไหล่และเกราะหัวเข่าทำจากหนังสัตว์สีขาว มองจากที่ห่างไกลมันวาวสว่างไสวยิ่งนักคล้ายลงน้ำมันหนึ่งชั้น แม้แต่เกราะหัวใจที่หน้าอกยังใช้อัญมณีเปล่งประกายแวววาวสะกดผู้คน
เหล่าทหารส่วนมากอ่อนเยาว์ รูปร่างสูงโปร่ง แม้มองไปจากที่ห่างไกลยังรู้สึกว่าองอาจฮึกเหิม มากกว่าครึ่งหนึ่งเป็นทหารม้า ข้างหลังสะพายธนูยาวสีขาว ขนนกสีแดงในกระบอกธนูพลิ้วไหวเพียงน้อยกลางสายลม
งดงาม!
งดงามเกินไปแล้ว!
นอกจากเคยได้ยินคำกล่าวเช่นว่าสามเหล่าทัพไว้ทุกข์ จิ่งเหิงปัวไม่เคยได้ยินเรื่องกองทัพสีขาวล้วนจากในโทรทัศน์หรือในตำนาน กองทัพฝึกฝนหนักหน่วง นอนกลางดินกินกลางทราย สู้รบโจมตี สิ่งที่ทำคืองานที่สกปรกที่สุดลำบากที่สุดเหน็ดเหนื่อยที่สุด จะสวมชุดสีขาวหิมะสะอาดสะอ้านคล้ายออกจากบ้านไปเป็นแขกได้อย่างไร นอกจากจะเป็นกองทหารเกียรติยศ เพียงกองทัพเดียวนี้จำนวนคนมีถึงเรือนหมื่น แม้ว่าสงบนิ่งเงียบแต่ไอสังหารอบอวล พอมองเห็นก็รู้ว่านี่ไม่ใช่ที่รองกระถางต้นไม้[1]ที่งดงามแต่ไร้ประโยชน์
จิ่งเหิงปัวแผ่รัศมี เกาะหน้าต่างน้ำลายไหลย้อยหยดติ๋งติ๋ง ตื่นเต้นดีใจเสียจนสั่นเทิ้ม…เครื่องแบบยั่วยวนอาเครื่องแบบยั่วยวน! หนุ่มหล่อพวกนี้ล้วนเป็นกองกำลังในบังคับบัญชาของนางอาๆ อาๆ ต่อไปจะให้นางทำอย่างไรดีล่ะอาๆ อาๆ จะต้องไถ่ถามสารทุกข์สุกดิบอะไรกับเหล่าทหารบ่อยๆ ไหมนะอาๆ อาๆ
ห่างไปไม่ไกลเบื้องหน้ารถม้า กงอิ้นหันหน้ากลับมามองนางปราดเดียวคล้ายมิได้ใส่ใจ ปราดเดียวมองเห็นเจ้าผู้นี้กำลังสั่นเทิ้มอยู่หลังหน้าต่าง
เขาหยุดชะงักงัน เบนสายตาออกมา หลุบม่านตาลง
สายตาเย็นชาเพียงน้อย
…นิสัยแย่แก้ไม่หาย!
จิ่งเหิงปัวสั่นเทิ้มไประลอกหนึ่ง จึงถอนสายตาออกมาจากกองทัพสีขาวอ่อนเยาว์งดงามสะดุดตากองทัพนั้นอย่างอาลัยอาวรณ์ ทอดลงบนกองทัพอีกครึ่งหนึ่ง
กองทัพอีกครึ่งหนึ่งเป็นสีดำล้วน
ชุดดำเกราะดำ สีสันแน่นหนัก แต่กองทัพกองนี้ไม่ได้ประณีตงามล้ำเฉกเช่นกองทัพสีขาวข้างกาย แม้ว่าชุดเกราะครบครัน แต่ชุดเกราะของทหารส่วนใหญ่ลายพร้อยเป็นรอยฟันแทงของมีดและดาบ คล้ายทั้งหมดเป็นของที่ระลึกจากการผ่านศึกนับร้อยครั้ง นายพลที่ยิ่งยืนอยู่ด้านหน้า ชุดเกราะบนร่างยิ่งเก่า รอยมีดยิ่งเยอะ ผู้ที่ยืนอยู่ด้านหน้าที่สุดนั้นเปลือยไหล่พาดเกราะครึ่งตัวเสียเลย ชุดเกราะไม่มีร่องรอยอะไรแต่ใบหูแหว่งไปครึ่งหู
รอยมีดทั้งเก่าทั้งใหม่ถมทับสลับซ้อนเหล่านั้นกำจายกลิ่นคาวเลือดและไอสังหารเข้มข้นหอบหนึ่งออกมา ความนิ่งเงียบของทั้งกองทัพแตกต่างจากความนิ่งเงียบของกองทัพสีขาว ความรู้สึกที่กองทัพสีขาวมอบให้ผู้คนคือความเงียบสงบและระเบียบวินัย ความรู้สึกที่กองทัพกองนี้มอบให้ผู้คนกลับเป็นความบ้าระห่ำที่ซ่อนแฝงไว้ จิตสังหารที่สะกดกลั้น ความกระหายโลหิตพร้อมแกว่งมีดคำรามออกมาในครู่ถัดไป!
กองทัพหนึ่งสีขาวกองทัพหนึ่งสีดำ แบ่งแยกสีสันชัดเจน ประหนึ่งธงสองด้านผืนใหญ่ที่เคร่งขรึมน่าเคารพปักลงตรงเส้นทางสุดท้ายเส้นทางหนึ่งก่อนเข้าสู่นครตี้เกออย่างไร้สรรพเสียง
หรือว่าเป็นหิมะหลงฮวง[2]คดเคี้ยวจ่อมจม คลุมครอบถมเนินเขาให้ขาวโพลน
ในชั่วครู่หนึ่งนั้น อารมณ์ทั้งตกตะลึง อึดอัด ว้าวุ่นและหวาดกลัวทะลักล้นโดยพลัน กองทัพองครักษ์รับเสด็จราชินีทั้งกองทัพปรากฏความเงียบสงัดยากพบเห็น
จากนั้นประหนึ่งถูกหิมะหนักโปรยปรายจนตื่นฟื้นโดยพลัน ทุกผู้คนเปล่งเสียงร้องตะลึงที่สะกดกลั้นไว้ไม่ได้จนเป็นเสียงดังกึกก้องเสียงหนึ่ง
“ทหารอวี้จ้าว! อวี้จ้าวหลงฉี!”
“ทหารคั่งหลง! คั่งหลงค่ายหย่งเลี่ย!”
“โอ้สวรรค์ สองทหารจากกองกำลังในบังคับบัญชาที่แข็งแกร่งที่สุดของใต้เท้ากง!”
“ซ้ำยังเป็นสองทหารจากค่ายใหญ่สองค่ายที่แข็งแกร่งที่สุด!”
“ใต้เท้ากงจะทำสิ่งใด แม้แต่ครั้งนี้ที่ตี้เกอเกิดความวุ่นวายหลงฉียังมิได้เคลื่อนพล ยิ่งมิต้องเอ่ยถึงค่ายหย่งเลี่ยแทบจะเป็นไพ่ตายแห่งต้าฮวง นับแต่กบฏวังตี้เกอเมื่อสามปีก่อน ค่ายหย่งเลี่ยเคลื่อนพลเพียงกองทหารเล็กกองหนึ่ง ตัดศีรษะของหวังหลิ่งแห่งไต้เม่าที่ก่อกบฎเสียในตำหนัก หลังจากสังหารล้างตระกูลหวังหลิ่งทั้งตระกูล พวกเขามิได้ปรากฏกายมานานเพียงใดแล้ว เพื่อรับเสด็จราชินีองค์นี้ ถึงกับต้องเคลื่อนพลเลยหรือ”
“หุบปาก! เจ้าลืมแล้วหรือว่ากบฏตี้เกอคือเรื่องต้องห้าม!”
“ไอ้หยา…ข้าตกใจจนลืมไปแล้ว! ผู้ใดจะนึกถึงว่าจะได้เห็นค่ายหย่งเลี่ยและหลงฉีเสียที่นี่…”
…
เสียงวาจาลอยล่องโปรยปรายแว่วเข้าหูของกงอิ้น เขาเพียงทำเมินเฉย ทว่านัยน์ตาเบนไปอีกครั้งครา ทอดลงบนร่างของจิ่งเหิงปัวอย่างเป็นกังวล
สตรีนางนี้บางคราหาญกล้าบางคราขี้ขลาด บัดนี้นางได้เห็นค่ายหย่งเลี่ยที่กิตติศัพท์ไอสังหารสยบเด็กน้อยร้องไห้ยามค่ำคืนได้ จะมีการตอบสนองอย่างไร จะตกใจจนปวดเบารดราดเฉกเช่นผู้คนจากหกแคว้นแปดชนเผ่าเหล่านั้นหรือไม่
เขามองเห็นดวงตาเบิกกว้างจนกลมดิกของจิ่งเหิงปัว ดวงเนตรงามหยาดเยิ้มโดยกำเนิดคู่หนึ่งเบิกโพลง นัยน์ตาดุจลูกปัดหินโมราคู่หนึ่ง
นี่คืออากัปกิริยาใด ตื่นตกใจเกินทานทนหรือ
กงอิ้นขมวดคิ้ว นึกขึ้นได้โดยพลันว่าสุขภาพของนางยังไม่ค่อยดี หากว่าตกใจเสียจน…
เขาขยับร่างกายเล็กน้อย จากนั้นหยุดชะงัก นิ้วมือรั้งเชือกบังเ**ยน สีหน้าหมองหม่นลงเพียงน้อย
ช่างเถิด
นางคงหวังจะมองเห็นความเป็นห่วงของเหยียลี่ว์ฉีมากยิ่งกว่ากระมัง!
ร่างกายหยุดลงไม่ขยับเขยื้อนทว่าสายตาแฉลบไปอีกครั้ง ขณะเดียวกันในยามนี้ จิ่งเหิงปัวเช็ดจมูกครั้งหนึ่งแล้วตบขอบหน้าต่างดังเพียะทันที
“ชิบ! หนุ่มล่ำ! หนุ่มล่ำเยอะแยะ! เท่! ระเบิด! เลย!”
“…”
เหมิงหู่มองดูกงอิ้นที่แข็งทื่อดุจรูปสลักโดยพลันอย่างกระวนกระวายใจ เขยิบก้าวหนึ่งไปยังอีกทางอย่างเงียบเชียบ
…
จิ่งเหิงปัวสูดหายใจไปหนึ่งระลอก ผลุบลงไปจากริมหน้าต่างดังโครมครามเสียงหนึ่ง มือกุมจมูกไว้แนบแน่นพลางกล่าวว่า “มองไม่ได้มองไม่ได้แล้ว มองอีกต้องเลือดกำเดาไหลแน่เลย ไม่ไหวแล้วแม่งเอ้ย หากรู้แต่แรกว่ากองกำลังในบังคับบัญชาของราชินีองค์นี้มีกองทัพหนุ่มหล่อมากมายขนาดนี้ ข้ายังจะหนีไปที่ใดได้เล่า…”
“นั่นมิใช่กองทัพของเจ้า” ชุ่ยเจี่ยเอ่ยดับฝันว่า “เจ้ามิได้ยินหรือ นี่คือสองกองทหารแข็งแกร่งแห่งกองกำลังในบังคับบัญชาของราชครูกง แลมิรู้ว่าวันนี้โยกย้ายกำลังพลมารักษาการณ์ที่ปากทางภูเขานี้ คิดวางแผนทำสิ่งใดกันแน่”
“คิดวางแผนทำสิ่งใด” จิ่งเหิงปัวกล่าวอย่างไม่คิดเช่นนั้นว่า “ที่นี่คือปากทางภูเขาแห่งสุดท้ายก่อนเข้าสู่ตี้เกอ จากนั้นก็คือที่ราบทางราบ ที่นี่คือฉากกำบังทางธรรมชาติที่นครตี้เกอใช้ต้านทานศัตรูภายนอก กงอิ้นคงกลัวว่าจะมีผู้ใดซุ่มโจมตีเขาที่นี่กระมัง เคลื่อนย้ายกองทัพมาล่วงหน้า รักษาการณ์ที่นี่จนเกลื่อนกลาดไปหมดเสียเลย”
ชุ่ยเจี่ยครุ่นคิดอยู่ชั่วครู่ พยักหน้าอย่างเห็นด้วย
“ทว่าข้ารู้สึกว่ากงอิ้นอาจจะยังมีแผนการอื่น” จิ่งเหิงปัวพิงอยู่ข้างรถม้า กล่าวว่า “ข้าจำต้องลงรถม้าไปอยู่ข้างเขาหรือไม่”
“ข้างนอกลมแรง อีกทั้งราชครูเองไม่ชื่นชอบให้เจ้าลงจากรถม้าตามอำเภอใจ เช่นนั้นข้าลองไปถามดูสักหน่อย” จิ้งอวิ๋นวางสะดึงปักดอกไม้ลงจากรถ จิ่งเหิงปัวแบะปากด่าว่าเผด็จการเสียงหนึ่งแล้วเอนกายลงอย่างเบื่อหน่าย
จิ้งอวิ๋นเดินไปถึงข้างกายของกงอิ้นอย่างแผ่วเบา
กงอิ้นมองเห็นนางเดินมา ไม่ค่อยอยากไถ่ถาม ครุ่นคิดอยู่ชั่วครู่จึงเอ่ยถามตามอารมณ์ยิ่งนักว่า “ฝ่าบาทอยู่ในรถม้าหรือ”
“เจ้าค่ะ” จิ้งอวิ๋นยิ้มแย้มพยักหน้า เอ่ยว่า “ฝ่าบาทมีชีวิตชีวายิ่งนัก”
สีหน้าของกงอิ้นหม่นหมองเล็กน้อย…อารมณ์ดียิ่งนักเป็นแน่ มองเห็นหนุ่มล่ำแล้วสิ
“ราชครูกระทำเรื่องใดรอบคอบเสียจริง” จิ้งอวิ๋นยิ้มแย้มพลางเอ่ยว่า “ที่นี่คือปากทางภูเขาแห่งสุดท้ายก่อนเข้าสู่ตี้เกอกระมัง จากนั้นย่อมเป็นที่ราบทางราบ ภูเขาลูกนี้คงเป็นฉากกำบังทางธรรมชาติที่นครตี้เกอใช้ต้านทานศัตรูภายนอกแน่แท้ ท่านเคลื่อนย้ายกองทัพมารักษาการณ์ที่นี่ไว้ล่วงหน้า ฉะนั้นตำแหน่งที่สามารถซุ่มโจมตีได้ ย่อมไม่มีผู้ใดสามารถเล่นลูกไม้ใดที่นี่ได้อีกแล้วเป็นแน่”
กงอิ้นมองนางปราดเดียวอย่างเหนือความคาดหมาย
“แม้เอ่ยว่าผู้เข้าใจการทหารเล็กน้อยล้วนมองออกแลทำได้ถึงจุดหนึ่งนี้ ทว่าเจ้าเป็นสตรีนางหนึ่ง คิดถึงขั้นหนึ่งนี้ได้ นับว่าไม่เลวยิ่งนัก” เขาเอ่ยชมเชยประโยคหนึ่งตามอารมณ์ แลเอ่ยตามอารมณ์ยิ่งกว่าว่า “ฝ่าบาทคิดเห็นเช่นไร อีกประเดี๋ยวพวกเรามียังเรื่องต้องจัดการ เจ้าลองถามนางว่าต้องการลงจากรถม้ามาอยู่ข้างกายข้าหรือไม่”
“ฝ่าบาทมองกองทัพเสร็จก็เอนกายไปเสียแล้ว” จิ้งอวิ๋นหัวเราะแผ่วเบา เอ่ยสืบต่อว่า “นางเอ่ยว่าเหนื่อยล้ายิ่งนัก ซ้ำยังมิให้พวกเราไปรบกวนนางด้วย”
กงอิ้นเม้มปากเพียงน้อย มองนางปราดหนึ่ง เอ่ยโดยพลันว่า “วันเวลาก่อนหน้านี้ หลอกใช้เจ้า ขออภัย”
เขาเอ่ยอย่างแข็งกระด้าง ทว่าบนใบหน้าจิ้งอวิ๋นผลิประกายแสงโดยพลัน ใบหน้างามเอ่ยว่า “สตรีน้อยจะกล้ารับคำขออภัยของราชครูได้อย่างไร เดิมทีเหิงปัวคือผู้มีพระคุณและสหายของข้า อีกทั้งยอมผจญภัยพิบัติเพื่อนาง ต่อให้สิ้นชีพเพื่อนาง สตรีน้อยย่อมยินยอมพร้อมใจ”
สี่คำสุดท้ายเปล่งเสียงแจ่มชัดแน่วแน่ กงอิ้นอดจะมองนางอีกปราดหนึ่งไม่ได้
ท่ามกลางสายลมปลายคิมหันต์ สตรีอ่อนวัยกำลังเงยหน้าแย้มยิ้ม ดวงพักตร์น้อยขาวนวลคางมนอิ่มเอิบ ประดุจปทุมบอบบางดอกหนึ่งซึ่งนิทรากลางสระมรกต สีผิวที่แลดูซีดเผือดเพียงน้อยด้วยเพราะป่วยไข้เนิ่นนานเจือด้วยสีแดงซ่านเล็กน้อยราวร่ำสุรา เพิ่มพูนงามเพริศแพร้วหลายส่วน แน่นอนว่าความงามเช่นนี้ย่อมไม่สะดุดตา มิเทียมเทียบไกลห่างจากความงามสะกดผู้คนของจิ่งเหิงปัว ทว่าเหนือกว่าตรงความอ่อนแอแลอ่อนโยนที่สตรี ณ หมู่บ้านริมน้ำมีเป็นเอกลักษณ์ ทำให้ผู้คนรู้สึกว่าความบอบบางเช่นนั้นเป็นความงามเช่นกัน งดงามตรงอดทนอดกลั้น ด้วยเพราะรอคอยผู้มาปกป้องทว่าไร้ผู้ปกป้อง ฉะนั้นจึงผลิบานอย่างขลาดกลัวในแดนมนุษย์
ทว่าในใจของจิ้งอวิ๋นกลับโกรธเคืองขึ้นมา
นางทั้งแต้มแต่งแป้งชาด วางจัดมุมมองที่ดีที่สุด เอ่ยวาจาไพเราะที่สุดออกมา แลเลือกเฟ้นโอกาสที่ดีที่สุด ทว่ายามนี้เอง นางพบว่าทุกการกระทำล้วนเปล่าประโยชน์
นางคือปทุมกลางน้ำที่แพ้พ่ายลมหนาว เขาคือลมหนาวจริงแท้นั้นหรือคือธารหลากสายนั้น แววตาหลั่งไหลผ่านใบหน้านางปานธารา ไร้แววความหวั่นไหวแม้เพียงน้อย มิได้หยุดยั้งแม้เพียงครู่เดียว
นางยิ่งยิ้มแย้มอย่างบริสุุทธิ์จริงใจ แตกต่างจากความอวดตนของจิ่งเหิงปัวแน่แท้
“ดียิ่งนัก” ความคิดของกงอิ้นยังอยู่ที่วาจาของนาง พยักหน้าอย่างพอใจ เอ่ยว่า “ในเมื่อเจ้ารู้จักซาบซึ้งบุญคุณ หวังว่าภายภาคหน้าไม่ว่าเป็นเช่นไร เจ้าจะติดตามข้างกายนางอย่างจงรักภักดีได้ตลอดไป” เขามองนางอีกปราดหนึ่ง เอ่ยสืบต่อว่า “ขอเพียงเจ้าทำได้ เจ้าจะได้รับการตอบแทนอย่างเป็นธรรม”
นางกัดริมฝีปากพยักหน้า สีหน้าทั้งเหนียมอายทั้งปีติ กิริยายิ่งเรียบร้อยกว่าเมื่อครู่
ทว่าเขาเบนหน้าไปเสียแล้ว เอ่ยว่า “เจ้าไปเถิด”
จิ้งอวิ๋นสูดหายใจเฮือกหนึ่ง ถวายคำนับอย่างสง่างาม มิได้เอ่ยวาจาให้มากอีกสักประโยค จากไปโดยพลัน
“รอประเดี๋ยว”
นางหันหน้ากลับมามองอย่างเปี่ยมไปด้วยความหวัง
ทว่าเขาลังเลเล็กน้อย ครุ่นคิดอยู่ชั่วครู่จึงเอ่ยว่า “อีกประเดี๋ยวหากนางตื่นตกใจเข้าใจผิด เจ้าบอกนางว่า…อย่ากลัว”
จิ้งอวิ๋นหลับตาลงเล็กน้อย ยิ้มแย้มพลางเอ่ยว่า “เจ้าค่ะ”
…
“กงอิ้นเอ่ยว่าอะไร” พอจิ้งอวิ๋นขึ้นรถม้า จิ่งเหิงปัวที่ดูท่าทางคล้ายนอนหลับแล้วก็ไถ่ถาม
“ราชครูมิได้เอ่ยอะไร” จิ้งอวิ๋นเอ่ยว่า “เอ่ยเพียงว่าขอให้ราชินีอย่าได้เดินไปมาตามใจชอบ ไม่ต้องไปรบกวนเขา ไม่ต้องก้าวก่ายเรื่องของเขา”
“ผู้ใดก้าวก่ายเรื่องของเขากัน!” จิ่งเหิงปัวเขวี้ยงหมอนออกไปทันที หันหลังให้หน้าต่างรถม้าอย่างรุนแรง กล่าวว่า “อยากทำสิ่งใดก็ทำไปสิ!”
ชุ่ยเจี่ยเข้ามาสอดชายผ้าห่มให้นาง ถูกนางผลักออกอย่างวุ่นวายใจ
ดวงตาเพิ่งหลับลง นางก็ได้ยินเสียงโหวกเหวกกึกก้องจากข้างนอกกะทันหัน ฟังแล้วคล้ายผู้คนจำนวนมากกำลังวิ่งวุ่น ฝีก้าวรวดเร็วเฉียดผ่านรถม้าของนาง จากนั้นยังมีเสียงกีบเท้าม้าห้อตะบึงดังขึ้น จู่โจมเข้ามาจากที่ห่างไกลปานอสนีบาต มาถึงบริเวณใกล้ในชั่วพริบตานั้น เสียงผู้คนกึกก้องดุจเสียงระเบิดทำลายล้างความสงบสุขของชั่วครู่ก่อนในพริบตา
“เกิดเรื่องใดขึ้น” นางลุกขึ้นนั่งโดยพลัน มองเห็นทั้งชุ่ยเจี่ยและอีกสองคนที่กำลังพิงหน้าต่างมีสีหน้าซีดเผือด รีบเร่งชะโงกหน้าไปยังเบื้องหน้าบานหน้าต่าง ยังไม่ทันได้มองข้างนอกหน้าต่างให้ชัดเจน มีเสียง “ฉึก” เสียงหนึ่งดังขึ้นฉับพลัน โลหิตกลุ่มหนึ่งระเบิดออกตรงเบื้องหน้าปานดอกไม้เพลิง เปรอะเปื้อนลงบนม่านหน้าต่างก้านไผ่เขียวขจีดังซู่ซู่ โลหิตเหนียวข้นเกาะติดบนร่องไผ่ เบื้องหน้าของนางเหลือเพียงสีแดงสดผืนหนึ่ง
ชุ่ยเจี่ยและจิ้งอวิ๋นกำลังกรีดร้อง ยงเสวี่ยเม้มปากสนิทแน่น คว้าคอกรถไว้อย่างเอาเป็นเอาตาย ทว่าสีหน้ายังไม่สะทกสะท้าน สีหน้าของจิ่งเหิงปัวซีดเผือดดุจหิมะ
“กรีดอะไร!” แต่นางชะงักงันเพียงชั่วครู่ จากนั้นตะคอกเสียงดังว่า “รีบนำผ้ามาเช็ดม่านหน้าต่างให้สะอาดสะอ้าน ปิดประตูรถม้าให้แน่นด้วย!”
สตรีสามนางฟังคำสั่งของนางด้วยตื่นตระหนกตกใจจนทำอะไรไม่ถูก จิ่งเหิงปัวรำคาญว่าเช็ดช้าเกินไปจึงกระชากม่านหน้าต่างโยนออกไปเสียเลย ตอนนี้จึงมองเห็นภาพความวุ่นวายภายนอก ฝูงองครักษ์ของหกแคว้นแปดชนเผ่าวิ่งหนีวุ่นวาย กองทัพขาวดำออกมาจากหุบเขาโอบล้อมศัตรูไว้ทั้งซ้ายขวาดุจมังกรคู่ เบื้องหน้าห่างไปไม่ไกลมีผู้สังหารผู้คนอย่างแคล่วคล่อง มีดสีขาวแทงเข้าไปกลายเป็นมีดสีแดงออกมา
“ทหารก่อกบฏหรือ” จิ่งเหิงปัวกระซิบกระซาบ จากนั้นชะงักงัน รีบเร่งร้องว่า “กงอิ้น! กงอิ้นล่ะ!”
[1] อุปมาว่าข้างนอกสุกใสข้างในเป็นโพรง
[2] แถบทะเลทรายทางตอนเหนือของประเทศจีน เริ่มจากทางตอนเหนือของทะเลทรายโกบีถึงดินแดนในเขตปกครองตนเองมองโกเลียใน