เขาสั่งให้ข้าเป็นราชินี [ส่วนที่ 1] - ตอนที่ 52 - 2 เดิมพันชั่วชีวิต
นางเน้นเสียงคำว่า “ปรนนิบัติ” สามอักษรนั้นแน่นหนักอย่างยิ่ง เน้นจนเสียงหลังนาสิกผนึกแน่นเล็กน้อย ฟังแล้วทั้งคลุมเครือทั้งเลินเล่อ ทำให้ผู้คนคันยุบยิบในใจ
กงอิ้นหยุดชะงักไปเพียงน้อย ลางสังหรณ์จะคัดค้าน…นี่นับว่าเป็นบทลงโทษอะไร ณ ตำหนักอวี้จ้าวของเขาทุกวันต่างมีคุณหนูสูงศักดิ์นับมิถ้วนมาขอเป็นหญิงรับใช้ให้เขาเชียวนะ เป็นราชินีไม่สำเร็จต้องถูกเนรเทศ ไปเป็นหญิงรับใช้หรืออนุภรรยาของเขาทว่าได้รับการคุ้มครองจากเขา ทุกผู้คนอิจฉา นางคงดีดลูกคิดวางแผนมาดีแล้ว
ไม่ได้!
จากนั้นเขาได้ยินตนเองเอ่ยตอบว่า “ฮึ”
“เจ้ารับปากแล้ว” จิ่งเหิงปัวกลอกตาครั้งหนึ่ง กล่าวว่า “ สัญญาเดิมพันต้องยุติธรรม เช่นนั้นหากข้าทำได้เล่า”
“เจ้าเสนอข้อเรียกร้อง”
“ทำอย่างไรดีเล่า ให้เจ้าวิ่งแก้ผ้ารอบพระราชวัง ให้เจ้าร่ายระบำงดงามกลางจัตุรัส” จิ่งเหิงปัวยิ่งคิดยิ่งตื่นเต้นดีใจ เท้าคางครุ่นคิด กล่าวต่อไปว่า “ไอ้หยาวิ่งแก้ผ้าแม้ว่าน่าดูชม ทว่าข้าไม่อยากให้เจ้าวิ่งให้ผู้อื่นเห็น…ร่ายระบำงดงามก็ไม่เลว ทว่าเจ้าแข็งทื่อเป็นผีดิบเช่นนี้คงร่ายรำไม่งดงามขายหน้าข้าเป็นแน่…หรือไม่เจ้านอนลงให้ข้าลวนลามห้ามต่อต้าน แส้หนังเทียนไขกุญแจมือ จิ๊จ๊ะสะใจจัง…”
นางยิ่งกล่าวยิ่งตื่นเต้นดีใจ คล้ายความพ่ายแพ้ของกงอิ้นคือเรื่องจริงที่ไม่อาจเปลี่ยนแปลง นางนั้นกลัดกลุ้มแค่ใช้บทลงโทษแบบไหนถึงจะทั้งได้ระบายความโกรธทั้งพึงพอใจกันแน่
ยิ่งฟังสีหน้าของกงอิ้นยิ่งเขียวคล้ำ สุดท้ายแล้วเหลืออดเหลือทนจึงเตือนสติอย่างเย็นชาว่า “เงื่อนไขข้อแรกคือเจ้าต้องทำได้!”
“อ้อ เช่นนั้นข้าขอคิดดูก่อน รอให้เจ้าแพ้แล้วค่อยเสนอเงื่อนไขยังไม่สาย” จิ่งเหิงปัวยกฝ่ามือขึ้นมา กล่าวว่า “ห้ามเบี้ยวสัญญา พนันล่ะ!”
กงอิ้นมองฝ่ามือขาวราวหิมะของนาง ชะงักไปชั่วครู่แล้วยกฝ่ามือขึ้น
“เพียะ!”
สัญญาเดิมพันครั้งแรกของราชินีต้าฮวงกับราชครูผู้แรกสำเร็จเสร็จสิ้น
ฝ่ามือต่างวางลงแล้ว ไม่รอให้จิ่งเหิงปัวลำพองใจ กงอิ้นเอ่ยอย่างเย็นชาโดยพลันว่า “อ้อ ลืมบอกเจ้าไป หากราชินีมิอาจขึ้นครองราชย์อย่างราบรื่น จะถูกลงโทษประหารชีวิตได้โดยง่ายดายยิ่งนัก หากกลายเป็นภรรยาทาสของข้าจะหลีกเลี่ยงชะตากรรมถูกเนรเทศได้ นี่นับเป็นการลงเอยที่ดีที่สุดแล้ว ตามกฎเกณฑ์ของต้าฮวง ภรรยาทาสไร้อิสระตลอดกาล รักษาพรหมจรรย์ชั่วชีวิตเพื่อเจ้านาย มิอาจให้กำเนิดลูกชายแลสั่งสอนลูกสาวได้ตลอดกาล มิอาจกลายเป็นภรรยาหลวงของเจ้านายได้ตลอดกาล แลต้องปรนนิบัติภรรยาทุกคนของเจ้านายไปตลอดกาล แท้จริงแล้วจุดจบของภรรยาทาสน่าเวทนาเสียยิ่งกว่าการเนรเทศ”
“เช่นนั้นแล้วอย่างไรเล่า” จิ่งเหิงปัวยืดอก กล่าวว่า “ข้าคงไม่กลายเป็นภรรยาทาสของเจ้า ข้าจะให้เจ้ากลายเป็นฝ่ายรับน้อยของข้า!”
กงอิ้นคร้านจะสนใจวาจาองอาจโอ้อวดของนาง
ฝ่ายรับน้อยคือสิ่งใด มักจะได้ยินนางพึมพำเจื้อยแจ้ว ทว่าอย่าถามเป็นการดีที่สุด คำตอบจากปากของนางมีเพียงสิ่งที่มิอาจฟังได้
จิ่งเหิงปัวหันหน้ากลับมามองเห็นอีชีนั่งตัวตรงอยู่บนต้นไม้ เขามองนางด้วยสีหน้าแปลกประหลาด นางประทับใจเจ้าคนนี้ไม่น้อย ไม่ว่าจะอย่างไรเขาเสี่ยงเป็นเสี่ยงตายชิงหนังสือสัญญาครั้งหนึ่งเพื่อนาง ก่อนไปไม่ร่ำลาสักหน่อยคล้ายไม่สมเหตุสมผล
“เฮ้อ เสี่ยวชีชี” นางคิดว่าชื่อของอีชีไม่คล่องปาก เจ้ากี้เจ้าการตั้งชื่อเล่นให้เสียเลย กล่าวต่อไปว่า “ข้าจะไปแล้ว เจ้าจะเข้านครตี้เกอด้วยกันกับข้าหรือไม่”
“เขาไม่ไป” กงอิ้นเอ่ยตอบแทนอย่างเย็นชาจากข้างหลังนาง
“เจ้ารู้ได้อย่างไร”
กงอิ้นมิเอ่ยวาจาแล้ว…หากเจ้าผู้นี้ไม่กลัวสิ้นชีพ มาลองได้เลย
“ไม่เอาหรอก” อีชียิ้มตาหยีโบกมือบนต้นไม้ เอ่ยสืบต่อว่า “ข้ายังมีธุระ คราวหน้าค่อยไปเยี่ยมเจ้าล่ะกัน ข้าจะคิดถึงเจ้า ข้าจะเก็บรักษายาทาเล็บที่เป็นของขวัญแทนใจที่เจ้าให้ข้าไว้เป็นอย่างดี”
“ได้สิๆ” จิ่งเหิงปัวโบกมือ กล่าวต่อไปว่า “อย่าลืมไปเยี่ยมข้าล่ะ ที่อยู่ของข้าคือ…เอ๊ะกงอิ้นที่อยู่ของข้าควรจะเป็นที่ใด เอ๊ะกงอิ้นเหตุใดสีหน้าของเจ้าจึงคล้ำเยี่ยงนี้…เอ๊ะอีชีเหตุใดเจ้ายังเอ่ยวาจาไม่จบก็วิ่งไปแล้วล่ะข้ายังไม่ได้บอกที่อยู่ให้เจ้ารู้เลย…เอ๊ะกงอิ้นเหตุใดเจ้าต้องต่อยเสี่ยวชีชี…เอ๊ะ…อ๊ะ!”
เบื้องหน้านางมืดมิดโดยพลัน ล้มลงสู่อ้อมแขนรวดเร็วฉับไวของกงอิ้นด้วยท่าทางอ่อนปวกเปียก
“วาจาเจ้ามากเกินไปแล้ว”
กงอิ้นที่ไล่ล่าสังหารอีชีกลับมารับนางไว้ในครั้งเดียว เย็นชาเช่นดังเอ่ย
…
รอให้จิ่งเหิงปัวนอนหลับฟื้นขึ้นมาอีกครั้ง ขบวนรถได้เข้าสู่นครตี้เกอแล้ว
เหล่า “ตัวประกัน” ย่อมได้รับการ “ช่วยเหลือ” โดยหลงฉีเป็นธรรมดาและกลับเข้าร่วมกองทัพแล้ว เพียงแต่ทุกผู้คนต่างไร้ชีวิตชีวาอยู่บ้างอย่างยากจะหลีกเลี่ยง หลังจากกองทัพของหกแคว้นแปดชนเผ่าผ่านพ้นอุปสรรคครั้งหนึ่งนี้ก็สงบเงียบลงไปมาก แม้แต่เฟยหลัวก็ไม่ได้มายังเบื้องหน้าราชรถของราชินีอีก เอาแต่อยู่ในรถม้าของตนเองทั้งวัน
หลังจากจิ่งเหิงปัวตื่นขึ้นมานึกถึงเรื่องหนึ่ง คือเรื่องเกี่ยวกับสาเหตุการตายผู้อ่อนวัยหน้ากลมเผ่าหลิวหลีคนนั้น แต่นางไม่อยากถามขึ้นมาอีก
คำตอบคงจะโหดร้ายมาก นางไม่อยากเผชิญหน้ากับความโหดร้ายแบบนั้น ความอบอุ่นที่ทั้งดวงใจอาลัยอาวรณ์สุดท้ายแล้วเป็นเพียงภาพลวงตาที่จงใจเข้าใกล้นาง นางกลัวว่าหลังจากตนเองรู้ความจริงจะสูญเสียความเชื่อถือที่มีต่อนิสัยของมนุษย์
ไม่ใช่ว่าไม่เคยคิดว่ากงอิ้นจะฆ่าผิดคนหรือเปล่า อย่างไรเสียเด็กนั่นดูท่าทางใสซื่ออบอุ่นขนาดนั้น ไม่เหมือนจารชนที่ใจคดคิดไม่ซื่อกับนางจริงๆ
แต่ว่าด้วยเพราะอย่างนี้เอง นางยิ่งไม่กล้าถาม
ถ้าการคาดเดานี้กลายเป็นเรื่องจริง นางกลัวว่าตนเองจะสูญเสียความเชื่อถือที่มีต่อกงอิ้นไปนับแต่นี้ ค่อยๆ ห่างเหินกันนับแต่นี้ นั่นคล้ายน่าหวาดกลัวยิ่งกว่าสูญเสียความเชื่อถือที่มีต่อนิสัยของมนุษย์
นางปลอบใจตนเอง…มองจากความเฉลียวฉลาดและประสบการณ์ มหาเทพไม่ผิดพลาดแน่นอน
จิ่งเหิงปัวถอนหายใจ รู้สึกทันทีว่าตนเองเป็นเพียงคนอ่อนแอหนีปัญหาที่เห็นแก่ตัว
จากนั้นนางนึกถึงหนังสือสัญญาฉบับนั้น ในหนังสือสัญญาบอกให้ผู้นำแต่ละคนละทิ้งพิธีเฉลิมฉลองรับขบวนเสด็จ แต่นางปฏิเสธข้อเสนอนี้แล้ว ต่อไปกงอิ้นจะเอ่ยกับอีกฝ่ายว่าอย่างไร ข้อหนึ่งนี้ในหนังสือสัญญาเป็นโมฆะเหรอ ตอนแรกเขาถึงกับสวมรอยเป็นคนของเหยียลี่ว์ฉีลงนามในสัญญากับอีกฝ่าย หรือว่าสวมรอยอีกครั้งหนึ่งเหรอ
นางสืบถามจากเหมิงหู่ได้เล็กน้อย ผลคือเหมิงหู่บอกนางว่าง่ายมาก หากดำเนินการตามหนังสือสัญญา กงอิ้นจะถ่วงความเร็วในการเคลื่อนขบวนรถราชินี ให้ผู้นำทุกชนเผ่าที่ลงนามในสัญญารีบเร่งกลับตี้เกอล่วงหน้าก้าวหนึ่ง จากนั้นให้พวกเขาเองออกหน้าหรือไหว้วานผู้นำอาวุโสออกหน้าเรียกร้องให้ล้มเลิกการจัดพิธีเฉลิมฉลองรับขบวนเสด็จ ตอนนี้ในเมื่อจิ่งเหิงปัวยืนหยัดต้องการพิธีเฉลิมฉลองรับขบวนเสด็จ กองทัพแค่ต้องเคลื่อนขบวนตามความเร็วที่กำหนดไว้แต่แรกและใช้ข้ออ้างว่าปกป้องเพื่อไม่ให้ผู้นำทุกชนเผ่ากลับตี้เกอไปก่อน พิธีเฉลิมฉลองรับขบวนเสด็จที่อยู่ในระหว่างการตระเตรียมไม่ได้รับข่าวสารให้เปลี่ยนแปลงย่อมจะดำเนินการตามปกติเป็นธรรมดา
สำหรับผู้นำทุกชนเผ่าแล้ว สนธิสัญญาล้มเลิกพิธีเฉลิมฉลองรับขบวนเสด็จที่ซุกซ่อนอยู่บรรทัดล่างสุดของหนังสือสัญญานั้นดูท่าทางไม่น่าสนใจใยดีย่อมทำให้พวกเขาไม่ได้นำมาใส่ใจ กงอิ้นไม่ให้พวกเขากลับไปก่อน กระทำสัญญาข้อหนึ่งนี้ไม่สำเร็จจะโทษพวกเขาไม่ได้ ย่อมไม่มีใครกระตือรือร้นคัดค้าน
จิ่งเหิงปัวตบหน้าผากครุ่นคิดอยู่ชั่วครู่ ต้องยอมรับว่าเซลล์สมองของกงอิ้นใช้งานได้ดีมาก เรื่องราวยุ่งยากซับซ้อนพอถึงมือเขาจัดการแก้ไขได้ง่ายดายมาก เป็นศัตรูกับคนประเภทนี้คงเป็นทุกข์มากแน่นอน
เหมิงหู่มองเห็นสีหน้าสบายใจของนาง อยากเอ่ยวาจาทว่าไม่เอื้อนเอ่ย เขาอยากบอกจิ่งเหิงปัวเหลือเกินว่าราชครูใช้ความคิดเพียงใดเสี่ยงอันตรายเพียงใดเพื่อหนังสือสัญญาฉบับนี้ ทว่าล้มเลิกอย่างง่ายดายด้วยเพราะวาจาประโยคเดียวของนาง หลังจากล้มเลิกแล้วราชครูจะแบกรับอันตรายมากเพียงใดเพื่อนางอีกครา…หากราชินีมิอาจได้รับการยอมรับ เขาซึ่งเป็นราชครูที่ทำนายเอกลักษณ์ของราชินีกลับชาติมาเกิดออกมาอีกทั้งร่วมรับเสด็จพันลี้ผู้นี้จะถูกโจมตีเช่นเดียวกัน ยิ่งไปกว่านั้นจะก่อเกิดผลกระทบเลวร้ายต่อบารมีและตำแหน่งของเขาอย่างยากหลีกเลี่ยง
ทว่าเขามิกล้าเอื้อนเอ่ย
เรื่องที่กงอิ้นเอ่ยห้าม ผู้ใดก็มิกล้ากระทำ
บางครั้งเขาไม่เข้าใจว่าราชครูคิดอย่างไร เดิมทีราชินีมิควรอยู่ในแผนการ ตามอุปนิสัยและพฤติกรรมการกระทำแต่ก่อนของราชครู พอนางปรากฏกายขึ้นมาย่อมควรคิดวิธีเข่นฆ่า ทว่า…
เหมิงหู่ถอนหายใจเฮือก ไม่อยากคิดสืบสาวราวเรื่องต่อไป ในฐานะผู้ใต้บัญชาคนหนึ่ง เพียงต้องเชื่อฟังเจ้านาย ติดตามเจ้านายก็พอแล้ว
เพียงแต่ความเป็นกังวลที่แต่ก่อนในใจมิเคยมีนี้ เหตุใดนับวันจึงยิ่งมากขึ้นเล่า…
จิ่งเหิงปัวจ้องมองเงาด้านหลังที่มีท่าทางหนักอกหนักใจของเหมิงหู่ เท้าแก้มครุ่นคิดอยู่ชั่วครู่แล้วลูบคลำท้ายทอยที่ยังเจ็บปวดอยู่บ้างอีกครั้ง ถอนหายใจอ่อนโยนอย่างยากพบเห็นเช่นกัน
…
“ทหารคั่งหลงเข้าสู่ตี้เกอ เข้าควบคุมการป้องกันเมืองแล้วขอรับ”
“สัญญาไกล่เกลี่ยหลังจากเผ่าจั๋นอวี่เห็นด้วย บัญชาทหารลับประจำตระกูลถอยกลับคฤหาสน์ขอรับ”
“หลงฉีเข้านคร เฝ้าจวนขุนนางใหญ่ที่มีทหารลับทุกจวนไว้แล้ว ห้ามเกิดเรื่องประมาทเลินเล่อใดๆ ขอรับ”
“ทหารลับประจำตระกูลเหยียลี่ว์ใต้นามราชครูเหยียลี่ว์รวมทั้งทหารเยียนซา ถอนทัพแล้วขอรับ”
จิ่งเหิงปัวได้ยินเสียงรายงานสถานการณ์ทางทหารดังต่อกันเป็นระลอกกำลังประชิดใกล้เข้ามาอย่างต่อเนื่อง ก็รู้ว่ามหาเทพกงมาแล้ว
นางชะโงกหน้าออกไป มองเห็นกงอิ้นรีบเร่งเดินเข้ามาดังคาด ข้างหลังติดตามด้วยนายทหารผู้ช่วยกลุ่มใหญ่ ทุกผู้คนทั้งเดินทั้งวิ่งเหยาะติดตามเขาอย่างกระชั้นชิด หอบเอกสารกองใหญ่รายงานต่อเขา
ข้างหลังเขายังมีหญิงรับใช้สองนางหอบกล่องขนาดมหึมาไว้
กงอิ้นฝีก้าวรวดเร็วยิ่งนัก ลักษณะท่าทางกลับสงบนิ่งยวดยิ่ง เดินไปพลางเอ่ยวาจาไปพลางว่า “ทหารคั่งหลงเข้าควบคุมการป้องกันเมือง เคลื่อนพลไปป้อมปราการกลางนคร ระวังอากัปกริยา ห้ามเกิดการปะทะใดๆ ทว่าหากมีผู้ใดก็ตามต่อต้าน จงสังหารให้สิ้นซาก”
“ขอรับ”
“อนุญาตให้เผ่าจั๋นอวี่และทหารลับประจำตระกูลเหยียลี่ว์ตั้งทัพป้องกันคฤหาสน์กลางนคร ทว่าจำนวนทหารต่างห้ามเกินสามพันนาย”
“ราชครูขอรับ จั๋นอวี่และตระกูลเหยียลี่ว์ต่างพำนักอยู่ในนคร ด้วยเพราะพื้นที่ในนครมีจำกัด องครักษ์คั่งหลงเองจัดตั้งขึ้นมาแล้วหนึ่งหมื่นนาย บัดนี้จั๋นอวี่และเหยียลี่ว์ต่างฝ่ายต่างมีทหารสามพันนายเท่ากับหกพันนาย จำนวนทหารมากเกินไปเช่นนี้ หากควบคุมมิได้ล่ะขอรับ”
“เช่นนั้นห้ามควบคุมมิได้ ยามนี้จั๋นอวี่และเหยียลี่ว์ต่างมีจิตใจตึงเครียด ระมัดระวังซึ่งกันและกัน การแข็งขืนฝืนถอนทหารลับของฝ่ายใดย่อมก่อให้เกิดการโต้กลับ หากพวกเขาอาละวาดในนครขึ้นมาถึงจะเป็นความเสียหายที่ประเมินค่ามิได้ สิ่งที่พวกเราต้องการก็คือตรึงพวกเขาสยบไว้ในนคร หลีกเลี่ยงยามเวลาผ่านไปนานทหารลับทุกตระกูลที่ตรึงไว้ภายในจะก่อเกิดความวุ่นวาย นอกจากนี้ เคลื่อนพลสายสืบคั่งหลงทัพหนึ่งมาในนครด้วย”
“ขอรับ”