เขาสั่งให้ข้าเป็นราชินี [ส่วนที่ 1] - ตอนที่ 56 - 2 ราชินีเฮงซวย
ไม่สั่งสอนนางสักครั้ง วันหลังคงมีเฟยหลัวอีกมากมายโผล่ออกมาต่อต้านนางซึ่งหน้า นางไม่ได้มีเวลามาคอยกวาดล้างอย่างสบายใจทีละคน!
“ไม่ขึ้นมาก็อย่าได้ขึ้นมาอีก ที่แห่งนี้เดิมทีก็ไม่มีที่ให้เจ้ายืน” ปลายเท้าของจิ่งเหิงปัวตวัดเพียงครั้ง เตะภาพถ่ายนั้นให้ขุนนางกองพิธีการผู้หนึ่งเบื้องล่าง กล่าวว่า “ว่าจะไว้หน้าเจ้าสักหน่อย เจ้ากลับจะหาเรื่องให้ได้! คุณลักษณะของเจ้าข้าวาดออกมาไม่ได้หรือ มาสิ ทุกคนที่เดินผ่านไปผ่านมามองความงดงามอัศจรรย์แห่งท่านเสนาหญิงของพวกเราสักหน่อย!”
ขุนนางกองพิธีการฝูงหนึ่งยื่นหน้าไปมองดูภาพถ่าย สีหน้าต่างเปลี่ยนแปลงไป
เฟยหลัวเบิกตากว้างอย่างงงัน นางไม่รู้ว่าจิ่งเหิงปัววาดภาพเหมือนให้ตนเองแล้วตั้งแต่ยามใด
“ก่อนหน้านี้ที่ข้าวาดภาพเหมือนให้มหาปราชญ์ มองเห็นท่วงท่าหันข้างของเสนาหญิงงดงามยิ่งนัก เกิดความสนใจขึ้นมาโดยพลันจึงฉวยมือวาดให้เสนาหญิงภาพหนึ่งเช่นกัน ผู้ใดจะรู้ว่าหลังจากวาดออกมาแล้วเลือนรางยิ่งนัก ข้าอยากไว้หน้าเสนาหญิงสักหน่อยถึงได้เก็บไว้ไม่เอ่ยขึ้นมา ไม่คิดว่าเสนาหญิงกลับขัดขวางข้าตลอดเวลา…” จิ่งเหิงปัวเหม่อมองท้องฟ้าอย่างเจ็บปวด กล่าวว่า “เฮ้อ ข้าน่ะเป็นสตรีที่มีจิตใจดีงามผู้หนึ่งเช่นนี้แล…”
เหยียลี่ว์ฉีหัวเราะออกมาดังพรวด กงอิ้นก้มหน้าดื่มชา น้ำชาสีเขียวใสสะท้อนรอยยิ้มเจือจางรอยหนึ่งตรงมุมปากเขา
สตรีเจ้าเล่ห์นางหนึ่งเช่นนี้
เรื่องอาศัยพลังภายนอกไม่แปลกประหลาด สิ่งที่แปลกประหลาดคือเป็นเพียงของสิ่งเดียวกันโดยแท้ นางยังสามารถจงใจเสแสร้งแกล้งทำก่อร่างสร้างลูกไม้หลากหลาย ตาทิพย์ใด เนตรข้างหลังใด ภาพเหมือนลึกซึ้งลี้ลับใด ภาพเหมือนจำแนกคุณธรรมใด…เปลี่ยนทิศทางเปลี่ยนวิธีการพอเอ่ยจากปากนางก็กลายเป็นสิ่งมหัศจรรย์อันใหม่ ความสามารถปราดเปรียวแคล่วคล่องเช่นนี้ แนวคิดยืดหยุ่นทะลุปรุโปร่งเช่นนี้ นักการเมืองชั้นยอดเยี่ยมยังเทียบไม่ติด
การหลอกลวงผู้อื่นต้องการความสามารถเช่นกัน ขาดโอกาส จิตใจและการเล่นลิ้นไม่ได้แม้เพียงสิ่งเดียว วิธีที่นางจัดการราษฎรต้าฮวง จัดการฉังฟัง จัดการเหล่าขุนนาง จัดการศัตรูแตกต่างกันไป ถ่อมตนแล้วค่อยโอ้อวดต่อราษฎร กะเทาะฉังฟังทีละครั้ง เจ้าร้ายมาข้าร้ายยิ่งกว่าต่อซังต้ง บีบบังคับเฟยหลัวทีละก้าว จากนั้นฉวยโอกาสประจบสอพลอเหล่าขุนนางเพื่อลดเจตนาร้ายของทุกคน
ดวงใจวิจิตรนิ้วมือเรียวยาวปั่นป่วนความคิดคนนับหมื่น ทั่วทั้งปะรำพิธีทดสอบกลายเป็นเวทีของนางแต่เพียงผู้เดียว
…
“ภาพเหมือน” ถูกส่งต่อไปในมือเหล่าขุนนาง แต่ละคนมีสีหน้าแปลกประหลาดตื่นตกใจ เฟยหลัวมองดูสีหน้าทุกคน สีหน้าค่อยๆ แปรเปลี่ยนจากความโกรธแค้นเป็นความประหลาดใจและความไม่สบายใจเช่นกัน
นางไม่อยากจะเชื่อว่าภาพเหมือนภาพหนึ่งจะทำให้ทุกคนผุดเผยสีหน้าเช่นนั้นได้อย่างไร ต่อให้วาดเละเทะแล้ว อาจจะด้วยเพราะราชินีจงใจวาดเละเทะย่อมเป็นไปได้
“ดูสิ” จิ่งเหิงปัวหัวเราะคิกๆ กล่าวว่า “ภาพเช่นนี้ หากจงใจวาดเละเทะจะวาดออกมาได้หรือ”
ทุกคนนิ่งเงียบ
บน “ภาพเหมือน” ท่อนล่างของเฟยหลัวชัดเจนยิ่งนัก ทั้งเสื้อผ้าอาภรณ์และรูปร่างท่าทางชัดเจนแจ่มแจ้งว่าเป็นนาง ทว่าตั้งแต่ลำคอขึ้นไป ใบหน้ารวมเป็นผืนเดียวแลดูแปลกประหลาดยวดยิ่ง หลงเหลือไว้เพียงเงาว่างเปล่าเจือด้วยสีสันผืนหนึ่ง ยังคงมองออกได้ว่าเป็นนาง ถึงขนาดมองเห็นเค้าโครงรูปหน้าได้ ทว่าเปลี่ยนไปจนโฉมหน้าไม่เหลือเค้าเดิม พอคนมองปราดเดียว แผ่นหลังพลันขนลุกขนชันขึ้นมา
ผู้คนส่วนมากวาดภาพได้ ต่างรู้ว่าสิ่งที่เรียกว่าวาดเละเทะวาดแย่แล้ว ส่วนใหญ่มักมีร่องรอยให้ติดตาม การลงน้ำหนักเบาหรือหนักเกินไป ลายเส้นเอนเอียง ยามลงสีถูกแขนเสื้อสะบัดผ่านล้วนเป็นไปได้ทั้งสิ้น เดิมทีนึกว่าสิ่งที่เรียกว่าวาดแย่แล้วจะเป็นแบบนี้ เช่นนั้นคงผ่านการกลั่นกรองมิได้แน่แท้ ทว่าพอดูภาพเหมือนในยามนี้ ความพร่าเลือนเช่นนั้นยากจะบรรยาย ด้วยเพราะอิ่มเอิบเต็มแน่นเป็นแผ่นผืน ไร้ร่องรอยให้สืบเสาะ ทำให้คนรู้สึกคล้ายว่าคนผู้นี้พลันพร่าเลือนในความเป็นจริงด้วยถูกแสงบดบังไว้ มิใช่ผลลัพธ์ที่มนุษย์วาดออกมาได้
ผู้คนจำนวนมากอยากคัดค้าน ทว่ายามเผชิญแสงเงาพิเศษเช่นนี้ ไร้หนทางเอ่ยวาจาคัดค้านออกมาโดยแท้ แลด้วยเพราะผลลัพธ์เช่นนี้จึงหลั่งเหงื่อเย็นเยียบทั่วร่าง กลัวว่าหากเสนอหน้าคัดค้านแล้วถูกตาต้องใจฝ่าบาท ได้ภาพงดงามอัศจรรย์จะทำอย่างไร ภาพนี้ของฝ่าบาทน่ะมิใช่เจ้าเอ่ยว่าไม่วาดแล้วจะรอดพ้นได้ เพียงนางฉวยมือย่อมวาดออกมาให้เจ้าสักใบได้โดยพลัน!
พอถึงยามนั้นต่อให้ตนเองยืนกรานว่าจงใจวาดแย่ ทว่าผู้คนมากมายในใจต่างคนต่างคิด ภายหลังชื่อเสียงทางการเมืองในวงการขุนนางคงมีเรื่องนินทากาเลให้ตำหนิติเตียนเพิ่มขึ้นอีกเรื่องอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ยิ่งไม่ต้องเอ่ยถึงราษฎรนับหมื่นทั่วลานกว้างนี้ที่กำลังมองอยู่ด้วย อุดปากของราษฎรเท่ากับอุดแม่น้ำเชียวนะ!
เช่นนี้เองขุนนางที่ใจร้อนที่สุดหวังคัดค้านที่สุดย่อมไม่กล้าส่งเสียงอย่างเปิดเผยแล้ว
“เกิดเรื่องอันใดขึ้น” เฟยหลัวทนบรรยากาศแปลกประหลาดแบบนี้ไม่ไหว แลทนสายตาแปลกประหลาดของทุกคนที่กวาดบนร่างตนเองทีละครั้งละครั้งไม่ไหว รีบก้าวเข้าไปแย่งภาพถ่ายมาดู สีหน้าออกเขียวฉับพลัน ฉีกทิ้งดังแควกๆ โดยไม่เอ่ยวาจาแม้แต่คำเดียว เอ่ยว่า “นี่ไม่ใช่ข้า! นี่จะเป็นข้าไปได้อย่างไร! นี่มันจงใจวาดมั่ว! จงใจวาดมั่ว!”
ยอดฝีมือที่ชื่นชอบการวาดภาพหลายคนกำลังพิจารณาความมหัศจรรย์ของภาพเหมือนนี้อย่างสนอกสนใจเป็นอย่างยิ่ง ช่วยไว้ไม่ทันการณ์ ได้แต่แอบร้องว่าเสียดาย
“ในเมื่อเจ้าเอ่ยว่าไม่ใช่เจ้าแล้ว ไยจึงต้องเน้นหนักว่าจงใจวาดมั่วอีกเล่า หากไม่ใช่เจ้า ข้าจงใจวาดมั่วเกี่ยวอะไรกับเจ้า อีกทั้งเหตุใดจึงต้องฉีกทิ้งเล่า” จิ่งเหิงปัวเข้าใจว่าจะจับจุดให้แม่นได้อย่างไรโดยตลอด เหล่าราษฎรเบื้องล่างที่ไม่ได้เห็นภาพถ่ายไม่เข้าใจเรื่องราวร้อง “ไอ้หยา…” แฝงความหมายลึกล้ำเสียงหนึ่งโดยพร้อมเพรียง
เฟยหลัวกัดฟันสะบัดแขนเสื้อเดินจากไปอีกครั้ง…ผู้รู้จักสถานการณ์คือผู้ฉลาดเลิศล้ำ อย่างน้อยที่สุดในพิธีเฉลิมฉลองรับขบวนเสด็จในวันนี้ ผู้ใดต่างมองออกว่าทะเลาะกับราชินีไปไม่ได้อะไรดีขึ้นมาเป็นแน่ นางกุมดวงใจราษฎร กำราบนักปราชญ์ เบื้องหลังมีราชครูหนุนนำ ซ้ำยังเผยศาสตร์แห่งเทพชนิดต่างๆ ออกมาเรื่อยไป ผู้ใดจะรู้ว่าก้าวต่อไปนางจะวาดลวดลายเล่นลูกไม้ใดอีก ผู้ใดบ้างไม่มีความพะว้าพะวังต่อเรื่องราวที่คาดคะเนไม่ได้
จิ่งเหิงปัวไม่ทำตัวได้ทีขี่แพะไล่อีก วันนี้แค่ทิ่มหนามเล็กๆ ให้เฟยหลัวคงสั่นคลอนแก่นแท้ไม่ได้ วันเวลาภายภาคหน้ายังอีกยาวไกลนะ
“ทุกท่าน” นางยิ้มแย้มเปลี่ยนหัวข้อสนทนา กล่าวว่า “ความสามารถนี้น่ะ ภายภาคหน้าข้าจะรับลูกศิษย์ ทว่าการสอนคงสอนเพียงว่าจะวาดภาพใบน้อยที่ละเอียดลึกซึ้งอย่างไร การใช้ภาพเหมือนจำแนกคุณธรรมนั่นเป็นความสามารถเทพประทาน มิอาจถ่ายทอดให้กันตามใจชอบ ฉะนั้นภายหลังหากทุกท่านอยากได้ภาพเหมือนที่ละเอียดลึกซึ้งของตนเองยังมีโอกาสนะ”
ทุกคนผ่อนลมหายใจเฮือกหนึ่งโดยพลัน ผู้คนจำนวนมากมีสีหน้ายินดีปรีดา
ผู้คนจำนวนมากชื่นชอบภาพเหมือนชนิดนี้ ทว่ายังพะว้าพะวังกับความสามารถน่ากลัวที่ว่า “วาดเละเทะเท่ากับไร้คุณธรรม” นั้นจึงไม่กล้าทดลอง พอได้ยินว่าศาสตร์ภาพเหมือนจำแนกคุณธรรมมิอาจถ่ายทอดคนสู่รุ่นหลัง เช่นนั้นย่อมไร้ซึ่งความเกรงกลัวอีก ข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ที่อายุมากบางส่วนกำลังไตร่ตรองแล้วว่าหากต่อไปศิษย์ของราชินีสำเร็จวิชาออกขายภาพคงต้องซื้อสักภาพ
จิ่งเหิงปัวสังเกตสีหน้าท่าทาง มุมปากนางกระหวัดขึ้น
เล่นโพลารอยด์ต่อหน้ามวลชน สร้างผลลัพธ์ฮือฮายิ่งใหญ่ที่สุด พวกที่หวังให้ติดเบ็ดคือไอ้แก่หนังเหนียวเช่นพวกเจ้าฝูงนี้
กระดาษอัดภาพมีจำกัด ถ่ายภาพครั้งหนึ่งน้อยลงใบหนึ่ง ภาพที่ให้มหาปราชญ์นับเป็นโฆษณา ภาพที่ให้เฟยหลัวนับเป็นคำเตือน ภายหลังคงต้องนำมาหาเงิน รอให้ร้านถ่ายรูปของพี่เริ่มกิจการ พี่จะโกงพวกเจ้าแบบสุดๆ ไปเลย อืม หนึ่งภาพควรคิดราคาเท่าไร หนึ่งพันตำลึง หนึ่งหมื่นตำลึง
นิ้วมือเวียนวนครั้งหนึ่งเก็บโพลารอยด์เข้าที่ วันนี้เล่นสิ่งนี้พอแล้ว สินค้าเทคโนโลยีมีจำกัด ทุกชิ้นต้องแสดงคุณประโยชน์ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดออกมาถึงจะใช้ได้ ไม่อาจสิ้นเปลืองเรื่อยเปื่อย
“คราวนี้คงมองเห็น…” นางเชิดคางขึ้นด้วยท่าทางยิ้มแย้ม กล่าวต่อไปว่า “ความสามารถของเจิ้นชัดเจนแล้วสินะ”
รอบทิศเงียบสงบไปชั่วครู่ จากนั้นเกิดความวุ่นวายขึ้น มหาปราชญ์ฉังฟังก้าวขึ้นเวทีมาด้วยท่วงท่าเรียบร้อย โค้งกายจรดพื้นให้จิ่งเหิงปัวภายใต้สายตาจับจ้องของมวลชน
“กระหม่อมฉังฟัง ขอพระราชทานอภัยโทษสำหรับความไร้มารยาทต่อราชินีในยามแรกสุดพ่ะย่ะค่ะ” เขาเอ่ยสืบต่อว่า “กระหม่อมอ่านตำราท่องบทกวีเสียแรงเปล่า ไม่รู้จักทบทวนตนแลไม่รู้จักประเมินความสามารถของมนุษย์ มีตาหามีแววไม่ ไม่ให้เกียรติฝ่าบาท ขอฝ่าบาททรงลงทัณฑ์ให้หนักหน่วงเพื่อตักเตือนมิให้เอาเป็นเยี่ยงอย่างพ่ะย่ะค่ะ”
รอบด้านเคร่งขรึม มหาปราชญ์มีคุณธรรมและบารมีสูงส่ง ความประพฤติบริสุทธิ์แจ่มแจ้ง มิเคยก้มศีรษะให้ผู้ใดนานนับสิบปี ชั่วชีวิตนี้ไร้ซึ่งข้อผิดพลาดให้ผู้คนประณามหยามเหยียดเช่นกัน บัดนี้ทุกคนมองเขาก้มศีรษะระริกต่อหน้าสาธารณชน เส้นผมยาวสีขาวราวหิมะพลิ้วไหวในสายลม ต่างรู้สึกว่าเบื้องลึกในจิตใจทั้งสงสารแลเลื่อมใส
หาญกล้าจ้องมองความผิดพลาดของตนเองโดยตรงไม่ว่ายามใด ไม่ปัดความรับผิดชอบไม่ปิดบังไม่หลบหลีกถึงจะเป็นความกล้าหาญที่แท้จริง คู่ควรกับคำว่านักปราชญ์สองคำนี้
จิ่งเหิงปัวรีบเร่งก้าวขึ้นมาประคอง เสียงหัวเราะกังวานสดใส กล่าวว่า “ไอ้หยา ท่านฉังอย่าได้จริงจังขนาดนี้เลย เป็นตัวข้าเองที่ไม่ได้เอ่ยให้ชัดเจนน่ะ มาๆๆ นั่งๆ วันหลังไปเที่ยวในวังบ่อยๆ นะ”
ฉังฟังเงยหน้าขึ้นมองเห็นรอยยิ้มไร้ซึ่งความเสแสร้งของสตรีเบื้องหน้าอย่างแจ่มชัด สว่างไสวเจิดจ้าดั่งสาดส่องท้องนภาครึ่งผืน
นิ้วมือสีขาวราวหิมะของนางประคองหลังมือแก่หง่อมดำคล้ำของเขาไว้อย่างแผ่วเบา สีขาวสีดำตัดกันแจ่มชัด พาให้คนปลงอนิจจังกับการผันผ่านของกาลเวลาและการกำเนิดใหม่แห่งสติปัญญา
ฉังฟังไม่ได้จับมือของนางไว้ เขาถอยหลังก้าวหนึ่งหลีกลี้การประคองของผู้อื่น แขนเสื้อสองข้างพลิ้วสยาย เข่าสองข้างจรดพื้นดัง “ตึ่ก” เสียงหนึ่ง
เสียงดั่งดังกังวานในดวงใจของทุกผู้คน
ชายชราผู้นั้นหมอบคำนับสูงสุด เสียงทรงพลังแว่วไปไกลโพ้น
“ผู้สร้างคุณูปการให้อาณาประชาราษฎร์ของเราย่อมเป็นเจ้านายให้ข้าฉังฟังรับใช้ชั่วกาล!”
“สวรรค์คุ้มครองต้าฮวง วันนี้รับเสด็จราชินีลิขิตสวรรค์ของเราด้วยความปลื้มปีติ!”
ฝูงชนหมอบคลานคลาคล่ำบนจัตุรัสในยามเดียวกัน กระแสคลื่นศีรษะมนุษย์ดุจกระแสคลื่นสีดำสาดซัดออกมาเป็นระลอก แสงอาทิตย์จุดประกายสายตาของราษฎรแล้วกระโจนออกไปอย่างเริงร่าจากปลายผมนับมิถ้วน
“สวรรค์คุ้มครองต้าฮวง น้อมรับเสด็จราชินี!”
เสียงตะโกนกึกก้องคืออินทรีนับมิถ้วนเหินทะยาน ทลายขอบฟ้าสลายเมฆหมอก แสงอรุโณทัยสาดส่องใต้ท้องนภากว้างไกล ดั่งเส้นทางแสงรุ้งรุ่งโรจน์สายหนึ่งเชื่อมประสานเหนือเมฆ สตรีสูงโปร่งบอบบางอาภรณ์งามร่อนระบำนางนั้น เชิดขากรรไกรล่างขาวบริสุทธิ์ขึ้นมาเพียงน้อย ยิ้มแย้มดั่งเมฆาเรืองรองแพรวพราวทั่วท้องนภากลางเส้นทางรุ่งโรจน์สายนั้น
…
เสียงตะโกนเสียงหนึ่งนี้ดังครืนกึกก้องกลางนครตี้เกอ ความเกรียงไกรของคลื่นเสียงเหนือกว่าเสียงโห่ร้องในพระราชพิธีบรมราชาภิเษกของราชินีหมิงเฉิงเมื่อห้าปีก่อน เหนือกว่าเสียงโห่ร้องของราชินีเทียนหนิงผู้ผ่านการทดสอบของพิธีเฉลิมฉลองรับขบวนเสด็จอย่างราบรื่นในพิธีรับเสด็จเมื่อสามสิบแปดปีก่อน ล้ำกว่าเสียงโห่ร้องยามราชินีรุ่ยเหิงที่เลื่องชื่อว่าเป็นราชินีผู้ทรงปัญญาที่สุดประกาศประมวลกฎหมายต้าฮวงเมื่อสองร้อยยี่สิบเอ็ดปีก่อน อาจถึงขนาดล้ำกว่าเสียงโห่ร้องในพิธีบวงสรวงสักการะฟ้าขององค์ปฐมจักรพรรดิราชินีเซิ่งเต๋อ จักรพรรดินีผู้สถาปนาแคว้น
เสียงโห่ร้องข้ามผ่านขอบฟ้า ข้ามผ่านกาลเวลา ปลุกโชคชะตาในวิเวกให้ตื่นฟื้น ผุดเผยสายตาทั้งเจิดจ้าลานตาทั้งกว้างใหญ่
จิ่งเหิงปัวรู้สึกเพียงว่าเกือบถูกคลื่นเสียงมหึมานี้ประคองขึ้นมา เรือนร่างพลิ้วไหวลุ่มหลง
ความลำบากยากแค้นตลอดทาง ความทุกข์ทรมานต่างๆ นานาได้รับการชดเชยท่ามกลางแสงรุ่งโรจน์แห่งมวลชนในขณะนี้ สิ่งนี้ยังเป็นสิ่งที่นางพิชิตราบคาบด้วยตนเอง
แม้กล่าวว่าความรู้ยุคปัจจุบันมาจากการคัดลอก ทว่าการกุมจิตใจของทุกผู้คนเอาไว้ได้ นางรู้สึกว่าตนเองเป็นผู้ชนะ
หวังจะสะเทือนฟ้าดิน ต้องถ่อมตนแล้วค่อยโอ้อวด จงใจบอกว่าไม่เป็นมากมายขนาดนั้นให้จิตใจเฝ้ารอคอยของทุกคนลดลงจนถึงจุดต่ำสุด ถึงมีกองทัพอัศจรรย์ภายหลังผุดเผยออกมาให้มวลชนตะลึงพรึงเพริด
นางเสพสุขเสียงโห่ร้องนี้ด้วยความลำพองใจไปพลาง ใคร่ครวญครุ่นคิดว่านางชนะสัญญาเดิมพันกับกงอิ้นแล้ว ควรจะใช้วิธีลงโทษวิธีไหนดีล่ะไปพลาง วิ่งเปลือยกาย ร่ายระบำ ร้องเพลง นางทั้งลังเลทั้งคิดหนัก ด้านหนึ่งคิดว่าเรื่องเหล่านี้ควรให้เขากระทำต่อหน้าธารกำนัล นางจะครองต้นลมให้เต็มที่สักครั้ง ภายหลังเขาจะได้ไม่มีหน้ามารังแกนางอีก อีกด้านหนึ่งรู้สึกว่าให้สตรีบ้ากามมากมายมองเห็นกงอิ้นวิ่งเปลือยกายร้องเพลงร่ายระบำทำให้พวกนางได้เปรียบเกินไปแล้วทั้งนั้น ควรจะให้นางเสพสุขคนเดียวถึงจะถูก ลังเลร้อยพัน กลัดกลุ้มยากแก้ไข ยืนอยู่บนเวทีเอียงสายตาเพ่งเล็งกงอิ้นไปพลางฝันกลางวันเชื่อมโยงกันไปพลาง…
บนเก้าอี้ไม้แบบโบราณเบื้องล่าง กงอิ้นรู้สึกถึงสายตานางเนิ่นนานแล้ว ถ้วยชาในมือขยับไปมา เลิกคิ้วเล็กน้อย…ไม่ต้องคิดยังรู้ว่าเจ้าผู้นี้คงกำลังคิดเรื่องสัญญาเดิมพันเป็นแน่
พอนึกถึงสัญญาเดิมพันก็นึกถึงดวงพักตร์โกรธเคืองจนแดงซ่านของนางในวันนั้น หน้าอกกระเพื่อมขึ้นลง…นัยน์ตาดำขลับผ่องอำไพปานนั้นพุ่งประชิดถึงเบื้องหน้า สว่างไสวจนแผดเผาผู้คน
สุดท้ายเขาพลาดไปแล้วครั้งหนึ่ง…ยินยอมเดิมพันเต็มใจพ่ายแพ้
อารมณ์ดีโดยพลัน เขาเชิดคิ้วมองไปทางจิ่งเหิงปัว มุมปากกระหวัดโค้งเพียงน้อยอย่างควบคุมมิได้
ดวงตาของจิ่งเหิงปัวจ้องเขม็งทันที
ยิ้ม!
รอยยิ้มของมหาเทพกง!
รอยยิ้มออกมาจากภายในใจที่มหาเทพกงให้นางซึ่งนางมองเห็นเป็นครั้งแรก!
ไอ้เวรเอ้ย งาม! ขนาด! นั้น!