เขาสั่งให้ข้าเป็นราชินี [ส่วนที่ 1] - ตอนที่ 59 - 2 สะท้านตี้เกอ
“เสื้อผ้าชุดนี้เป็นอย่างไร?” จิ่งเหิงปัวยิ้มแย้มลุกขึ้นยืน เสื้อสั้นเขินร่นขึ้นไปทันที ผุดเผยเอวสีขาวราวหิมะผืนหนึ่ง ขุนนางหญิงตกตะลึงอ้าปากค้าง รีบเร่งเอ่ยว่า “ฝ่าบาท ฉลองพระองค์ทุกชุดของพระองค์ไม่อาจผุดเผยพระวรกายส่วนใดนอกจากพระหัตถ์…”
จิ่งเหิงปัวคล้ายว่าไม่ได้ยินนางเอ่ยวาจา ห่วงแต่รื้อค้นควานหาของในตู้ หันมาครั้งหนึ่งทันที ในมือคว้ากระโปรงสีแดงสดชุดหนึ่งไว้
“เฮ้ เจ้าว่ากระโปรงชุดนี้เป็นอย่างไร?” นางสะบัดกระโปรงออก เหลียวซ้ายแลขวา
ผ้าสีแดงสดบริสุทธิ์มีรอยจีบอยู่บ้างเล็กน้อย ประดับด้ายทองชัดบ้างซ่อนบ้าง แนบเนื้อรัดสะโพก คอเสื้อตรงเนินอก คิดแล้วพอจะจินตนาการได้ว่าหากกระโปรงเช่นนี้สวมบนร่างต้องทรวดทรงวิจิตร คลื่นลมเปลี่ยนผันเป็นแน่ ด้ายทองพลันสว่างพลันมืดมิดดั่งเปล่งแสงระหว่างเคลื่อนไหว
“ว้าย ไม่ได้นะเพคะ!” ขุนนางหญิงปริปากปฏิเสธทันควัน มองดวงพักตร์ที่หลบซ่อนหลังกระโปรงของราชินีปราดหนึ่ง ผิวกายสีขาวราวหิมะ สันจมูกสูงโด่ง ริมฝีปากที่สดใสเสียยิ่งกว่าสีแดงของกระโปรง…
นางคอแห้งไปเล็กน้อย คิดอยู่ว่าที่จริงแล้วกระโปรงสวยสดงดงามประหนึ่งเพลิงเช่นนี้ หากสวมบนร่างของราชินีที่งามเพริศพริ้งมีน้ำใจไมตรี จะต้องงดงามยิ่งนักเป็นแน่…
จิ่งเหิงปัว “อ้อ” เสียงหนึ่ง ฉวยมือทิ้งกระโปรงไปทางหนึ่ง คว้ากระโปรงสุ่มสีทองออกมาอีก
“เฮ้ ชุดนี้สวยหรือไม่? วันนี้ข้าจะสวมตัวนี้เป็นอย่างไร?”
ขุนนางหญิงจ้องมองกระโปรงสั้นสีทองตัวนั้น ช่วงเอวรวบแน่นชายกระโปรงบานออกสั้นถึงเหนือเข่า คอเสื้อลึกถึงเบื้องล่างกระดูกไหปลาร้า นางจินตนาการได้เลยว่าราชินีที่เรือนร่างดั่งเปลวเพลิงสวมกระโปรงตัวนี้ รวบเอวบางร่างน้อย ผุดเผยขาอ่อนเรียวยาวสีขาวราวหิมะ…
“ไม่ได้เพคะ!” เสียงวาจาของขุนนางหญิงพุ่งออกมาจากปาก รีบเร่งสำรวมน้ำเสียงก้มหน้าลง เอ่ยว่า “ฉลองพระองค์ไม่เรียบร้อย ไม่เหมาะสมกับภาพลักษณ์สูงศักดิ์ของพระองค์…”
“ชุดนี้ล่ะ?” จิ่งเหิงปัวไม่ท้อถอย คว้ากระโปรงยาวผ้ามันเงาพิมพ์ลายอีกชุดหนึ่ง พิมพ์ลายแพรวพราวสวยสดงดงาม จัดคู่ได้ทั้งเข้ากันทั้งสะดุดตา
มองเห็นชายกระโปรงในใจขุนนางหญิงมั่นคง พอกวาดไปด้านบนกลับขมวดคิ้ว เอ่ยว่า “เหตุใดฉลองพระองค์ชุดนี้จึงไม่มีท่อนบน? อีกทั้ง เหตุใดช่วงพระอังสามีเพียงสายรัดเรียวบางเส้นเดียว เช่นนั้นพระอังสาทั้ง…”
“กระโปรงยาวสายเดี่ยวน่ะ สไตล์โบฮีเมีย รูปแบบที่โรแมนติกที่สุดร่าเริงที่สุดไง ผุดเผยไหล่งามสีขาวราวหิมะออกมา สยายผมยาวดำขลับลงมา สวมคู่กับหมวกริบบิ้นพิมพ์ลาย เสน่ห์ล้นเหลือคิกๆๆ”
“ไม่ได้ไม่ได้เพคะ” ขุนนางหญิงส่ายหน้าสุดชีวิต
จิ่งเหิงปัวยักไหล่ กล่าวว่า “ช่างเถิด” โยนกระโปรงไปทางหนึ่งอย่างไม่สนใจใยดี
ขุนนางหญิงแอบมองกระโปรงสวยสดงดงามตัวนั้นปราดหนึ่ง
“ชุดนี้? สไตล์โบราณ ดูย้อนยุคพอไหม!”
คราวนี้เป็นกี่เพ้ายาวผ้าลายปักสีดำชุดหนึ่ง คอเสื้อทรงสูงแขนกุด ท่อนล่างประดับแพรต่วนลายหลากสีเฉียงขึ้นไปด้านบนของชายกระโปรงเล็กน้อย สีสันบริสุทธิ์สูงส่งตัดกันเด่นชัด ความรู้สึกยั่วยวนโดยกำเนิดของกี่เพ้าพาให้เบื้องหน้าขุนนางหญิงสว่างวูบ ทว่ายามนางยื่นมือไปคว้า พบว่ากระโปรงผ่าข้างสูงถึงด้านบนขาอ่อนนั้น อดจะโบกมือติดต่อกันไม่ได้
จิ่งเหิงปัวก็ไม่เหน็ดเหนื่อย วางลงอีกครั้ง ขุนนางหญิงอดจะมองกระโปรงเหล่านั้นอย่างอิจฉาปราดหนึ่งไม่ได้ คิดว่าราชินีนำกระโปรงสวยงามมากมายขนาดนี้มาจากที่ใด? ทุกชุดออกสู่ท้องตลาดต่างจะทำให้สตรีบ้าคลั่งกระมัง? แม้ว่าไม่อาจสวมไม่กล้าสวม ทว่าเก็บสิ่งของที่งดงามขนาดนี้ไว้มองดูนับเป็นการเสพสุข หากมีคนเฉลียวฉลาดมีฝีมือ ไม่แน่ว่ายังกระทำการปรับปรุงให้ดีขึ้นต่อไปโดยอาศัยรูปแบบแปลกใหม่เหล่านี้ได้ ออกแบบเสื้อผ้าที่เหมาะสมให้สตรีเพศในตี้เกอสวมใส่ออกมา พอถึงยามนั้นเกรงว่าจะขับเคลื่อนกระแสการแต่งกายของชนชั้นตระกูลผู้ดีในตี้เกอได้อีกครั้ง…
“ชุดนี้ล่ะ?” จิ่งเหิงปัวคว้าออกมาอีกชุดหนึ่งปานเล่นกล
“ชุดนี้ดีเพคะ!” ขุนนางหญิงเอ่ยชื่นชมครั้งใหญ่ออกมาจากใจจริง กระโปรงสีขาวราวหิมะ วัสดุไหมประหนึ่งจินตภาพ ประดับเลื่อมระยิบระยับเล็กน้อยเหมาะเจาะพอดิบพอดี มีตะเข็บมีคอเสื้อ หน้าอกที่มีรอยจีบรูปดอกไม้สลับซ้อนเป็นชั้น งดงามประณีตหรูหรา แม้ว่าไม่มีแขนเสื้อทว่าสามารถสวมผ้าคลุมผืนเล็กได้ ทั้งพลิ้วไหวทั้งประณีต เพียบพร้อมด้วยความงามแห่งสตรีเพศเป็นที่สุด
ดวงตานางเปล่งประกาย สตรีสิ้นไร้แรงต้านทานโดยกำเนิดต่อสิ่งของที่งดงาม ไม่ว่ายุคสมัยใดก็ไม่ยกเว้น
จิ่งเหิงปัวยิ้มตาหยีหันกระโปรงครั้งหนึ่ง
“ว้าย!” ขุนนางหญิงอุทานอย่างตื่นตะลึงเสียงหนึ่ง เอ่ยว่า “เหตุใดจึงไม่มีข้างหลัง!”
“เปิดหลังน่ะ” จิ่งเหิงปัวถลกเสื้อผ้าขึ้นมาให้ขุนนางหญิงดูแผ่นหลังเรียบเนียนเกลี้ยงเกลาของนาง กล่าวว่า “แผ่นหลังที่งดงามขนาดนี้ ไม่ผุดเผยไม่เสียดายหรือ?”
ขุนนางหญิงหน้าแดงก่ำ รีบเร่งหลับตาลงส่ายหน้าสุดชีวิต “ว้ายไม่ๆๆ ได้นะเพคะ ฉลองพระองค์เช่นนี้ทรงสวมไม่ได้…”
“เจ้าไม่เข้าใจความสุขในฐานะที่เป็นสตรีเสียจริง” จิ่งเหิงปัวถอนหายใจ คว้าออกมาชุดหนึ่ง กล่าวว่า “พอแล้ว ตัวนี้คงได้แล้วกระมัง?”
ขุนนางหญิงลืมตาขึ้นอย่างอกสั่นขวัญแขวน ดวงตากะพริบวูบ
“งดงามโดยแท้…” นางเปล่งเสียงถอนใจปานจินตภาพออกมา
เบื้องหน้าคือกระโปรงยาวสีม่วงชุดหนึ่ง ท่อนบนเป็นเนื้อลูกไม้ รูปแบบพระราชวังที่เคร่งขรึม แขนพองที่จับจีบออกมาประหนึ่งดอกตูม เอวคอดคาดเข็มขัดลายหนังสีเงินเส้นหนึ่ง ท่อนล่างคือกระโปรงสุ่มยาวผ้าออร์แกนซ่า[1] ซับด้วยผ้าโปร่งสีม่วงเดียวกันชั้นหนึ่ง ประดับพลอยเทียมละเอียดชิ้นเล็กชิ้นน้อย
จิ่งเหิงปัวหิ้วกระโปรงยิ้มอย่างแปลกประหลาด รู้อยู่แล้วว่าสไตล์พระราชวังยุโรปประเภทนี้สตรีพวกนี้ต้านทานไม่ไหวแน่
“ชุดนี้…ด้านหลัง…” ขุนนางหญิงในใจมีความหวาดผวา
จิ่งเหิงปัวให้นางดูข้างหลัง ถักทึบแน่นหนา
ขุนนางหญิงค่อยวางใจ เริ่มชื่นชมเสื้อผ้าอย่างสบายใจโดยแท้จริง ยิ่งมองยิ่งชื่นชอบ เอ่ยว่า “อา ชุดนี้ทั้งหรูหราประณีตทั้งไม่สูญเสียความเคร่งขรึม มีรสชาติอันน่าดื่มด่ำของพระราชวังเป็นพิเศษ เหมาะสมให้สตรีสวมใส่ในวังอย่างยิ่งเพคะ…”
“เช่นนั้นก็ชุดนี้เถิด” จิ่งเหิงปัวยิ้มตาหยียัดเสื้อผ้าใส่ในมือนาง แล้วผลักนางไปในห้องเปลี่ยนเสื้อผ้า กล่าวว่า “ไปเปลี่ยนสิ”
ห้องน้ำหลังเตียงนางเปลี่ยนเป็นห้องเปลี่ยนเสื้อผ้าตั้งนานแล้ว นางยอมออกไปเข้าห้องน้ำข้างนอก แต่ไม่ยอมให้ไม่มีที่เปลี่ยนเสื้อผ้าในห้อง
“เอ๋?” ขุนนางหญิงคว้ากระโปรงไว้ ยืดคออย่างเซ่อซ่า เอ่ยว่า “ฝ่าบาท กระโปรงนี้พระองค์จะทรงสวมเองไม่ใช่หรือเพคะ?”
กระโปรงงดงามขนาดนี้ ให้นางสวมหรือ? มือของขุนนางหญิงจะสั่นเทิ้มแล้ว
จิ่งเหิงปัวมองดูสีหน้าของนาง กลอกนัยน์ตายิ้มแย้มพลางเอ่ยว่า “เจ้าลองใส่ดูก่อน ให้ข้ามองดูผลลัพธ์หน่อยไง”
“โอ้” ขุนนางหญิงวางใจ ประคองเสื้อผ้าเดินเข้าไปอย่างระมัดระวังและไม่ปิดบังความดีใจ อาภรณ์เช่นนี้ ได้ลองสวมสักหน่อยรู้สึกว่าพึงพอใจยิ่งนักแล้ว
จิ่งเหิงปัวหัวเราะฮิฮิ ฉวยมือคว้ากระโปรงยาวพิมพ์ลายสไตล์โบฮีเมียชุดนั้นจากด้านข้างขึ้นมาสวม ซ้ำยังรื้อหมวกสานปีกกว้างสไตล์โบฮีเมียที่ผูกสายริบบิ้นใบหนึ่งออกมา
กระเป๋าของนางคือแบบขนาดใหญ่ที่สุดสูงเกือบครึ่งตัวคนคนคนเดียวย้ายไม่ขยับแบบนั้น ในตอนแรกนางสืบค้นวิธีเก็บเสื้อผ้ามากมายในไป่ตู้เพื่อจะยัดของรักของตนเองเข้าไปให้หมด ขอแค่ยัดพวกของล้ำค่าของตนเองให้เต็มที่มากที่สุด ฉะนั้นในกระเป๋าของนางคงจะใส่สัมภาระของไท่สื่อหลันจวินเคอเหวินเจินสามคนรวมกันลงไปได้ แต่ว่าพื้นที่ส่วนใหญ่ต่างถูกเสื้อผ้าครอบครองแล้ว โชคดีที่เสื้อผ้าที่นางเลือกส่วนใหญ่คือกระโปรงผ้าบาง ไม่กินพื้นที่มากเกินไปแบบนั้น ถึงอย่างไรต่อให้เป็นฤดูหนาว นางก็สวมแค่กระโปรง ข้างนอกคลุมด้วยเสื้อกันหนาวก็พอ…สาวงามที่ทนความหนาวไม่ไหวไม่ใช่สาวงามที่แท้จริง!
ผ้าม่านสะบัดเพียงครั้ง ขุนนางหญิงออกมาอย่างขลาดกลัว ก้มหน้ากดชายกระโปรง พอจิ่งเหิงปัวเงยหน้าขึ้นก็ส่งเสียงฮือฮา
“งดงาม!”
เสียงนั้นทำให้พวกชุ่ยเจี่ยสามนางตกใจ พวกนางรีบตามมาด้วย ออกันอยู่ปากประตูมองดูอย่างอิจฉา จิ่งเหิงปัวหันหน้ามากล่าวว่า “ดูสิ งามหรือไม่?”
สามนางพยักหน้าจากใจจริง แม้แต่สายตาของยงเสวี่ยผู้นิ่งเงียบยังพวยพุ่งด้วยแววอิจฉา
ความรักสวยรักงามคือสัญชาตญาณธรรมชาติของสตรี ไม่แบ่งแยกอายุ ถึงขนาดก้าวข้ามกาลเวลา
ขุนนางหญิงเขินอายจนไม่กล้าเงยหน้า มือประเดี๋ยวลูบชายกระโปรงประเดี๋ยวม้วนแขนเสื้อ ไม่รู้ว่าควรวางไว้ที่ใด
จิ่งเหิงปัวลากนางไปเบื้องหน้ากระจกทองเหลืองเต็มตัวบานใหญ่ กล่าวว่า “อย่าก้มหน้า เงยหน้ายืดอก เรือนร่างของสตรีมิใช่สิ่งที่ให้ผู้ใดเห็นไม่ได้ ทว่าเป็นความงดงามที่สุดซึ่งเทพประทานให้ เจ้าควรจะภาคภูมิใจในสิ่งนี้! มา! มองให้ชัดเจน มองให้ชัดเจนว่าเจ้างดงามเพียงใด!”
ในเสียงเกียจคร้านแหบแห้งแห้งเปี่ยมล้นด้วยความเด็ดเดี่ยวแน่วแน่ มีความลึกลับอัศจรรย์ ขุนนางหญิงเงยหน้ายืดอกอย่างควบคุมมิได้ ในพริบตาหนึ่งที่มองตนเองจนชัดเจน พวงแก้มแดงซ่านดุจเปลวเพลิงในพริบตาเดียว
นางไม่กล้าเชื่อเลยว่า ผู้ที่เรือนร่างเพรียวบางงดงามทรงเสน่ห์ในกระจกคือตนเอง
พวกชุ่ยเจี่ยสามนางเปล่งเสียงถอนหายใจด้วยความอิจฉาตรงปากประตู
ประหนึ่งเล่นกลโดยแท้ สายตามองดูสตรีมีอายุที่เมื่อครู่ยังเคร่งขรึมคร่ำครึบรรยากาศอึมครึมผนึกแน่นได้ประณีตสวยงามโดยพลัน วัยเยาว์เปี่ยมล้น ยามนี้ทุกคนถึงพบว่า นางเพิ่งอายุประมาณยี่สิบปีเท่านั้น
“ช่วงเวลาที่ดีที่สุดเลย! ช่วงเวลาที่ดีที่สุดเลย!” จิ่งเหิงปัวหยิบชุดขุนนางหญิงสีเทาที่นางถอดออกขึ้นมาอย่างเสียดาย กล่าวว่า “ดันมากลบฝังในชุดแม่หม้ายแบบนี้แล้ว! ดูสิ! นี่ควรเป็นเสื้อผ้าที่ให้สาวน้อยอายุยี่สิบสวมหรือ! แม่งเฮงซวยเกินไปแล้ว!”
“ฝ่าบาท อายุยี่สิบแก่มากแล้วเพคะ…” ขุนนางหญิงก้มหน้าอย่างน้อยเนื้อต่ำใจ
“เหลวไหล อายุยี่สิบคือช่วงเวลาที่ดีที่สุดของสตรี สตรีอายุยี่สิบของพวกเราทางนั้นคือคู่รักที่บุรุษทั้งมวลทุ่มเทความรักให้!”
“บ้านเกิดของฝ่าบาทคือเผ่าใดหรือ ทำให้คนใฝ่หาเสียจริงเพคะ…” ขุนนางหญิงสีหน้ามัวสลัวแลไม่ได้สังเกตถึงกระโปรงยาวสายเดี่ยวของจิ่งเหิงปัว
“เผ่าใดก็เทียบไม่ได้ เสียดายว่าข้าเองไม่เคยซาบซึ้งให้เต็มที่” จิ่งเหิงปัวถอนหายใจอย่างหาได้ยาก จากนั้นปลุกจิตใจให้ฮึกเหิม กล่าวว่า “ฉะนั้นข้าจะปฏิรูปต้าฮวงให้เต็มที่ ให้ที่แห่งนี้กลายเป็นประเทศจีนแห่งที่สอง อย่างน้อยที่สุดต้องมีอิสระ!”
พอหันหน้ามองเห็นสีหน้าท่าทางงงงวยของทั้งสี่คน นางหัวเราะคิกๆ
เส้นทางยังอีกยาวไกลแน่ะ ค่อยๆ ทำไป
เช่น จัดการขุนนางหญิงคนนี้ก่อน
ถ้าต้องสิ้นเปลืองความคิดฝืนไล่ไปคนหนึ่งส่งมาอีกคนหนึ่ง ไม่สู้ลากเข้าค่ายกลของตนเสียเลยใช่ไหมล่ะ?
ตอนนี้ แม่นางน้อยหลงกลเสียแล้ว…
[1] ผ้าออร์แกนซ่า เป็นผ้าทอเนื้อโปร่งบางใส ส่วนมากจะนิยมใช้สำหรับเป็นผ้าตกแต่ง