เขาสั่งให้ข้าเป็นราชินี [ส่วนที่ 1] - ตอนที่ 60 - 1 เยือนตำหนักบรรทมยามราตรี
จิ่งเหิงปัวที่กลับถึงในวังเพิ่งคิดจะล้างเครื่องสำอาง นึกถึงแผนการที่ร่างไว้เมื่อเช้าวันนี้แผนหนึ่งได้กะทันหัน รีบเร่งลากยงเสวี่ยไปยังห้องครัวน้อยแล้ว
จื่อหรุ่ยยังคงนั่งอยู่ในห้องประหนึ่งความฝัน นึกถึงทุกสิ่งในวันนี้แล้วเท้าแก้มแย้มยิ้มโง่เขลาเซ่อซ่า
ในห้องไม่มีผู้ใดอื่น จิ้งอวิ๋นกับชุ่ยเจี่ยต่างเหน็ดเหนื่อยกลับห้องพักผ่อนแล้ว จื่อหรุ่ยนั่งลงเบื้องหน้าโต๊ะเครื่องแป้งปานเดินละเมอ หมอบอยู่บนโต๊ะเครื่องแป้งด้วยทั่วร่างไร้เรี่ยวแรง ประคองใบหน้าที่แดงจนร้อนผ่าวของตนเองไว้
นับแต่เข้าวังยามสิบหกจนบัดนี้ล่วงเลยมาสี่ปี เคยชินกับกฎของพระราชวังที่ละเอียดเข้มงวด ท่องจำข้อบัญญัติทุกวี่วัน แต่ละกิริยาวาจาดุจถูกไม้บรรทัดวัดไว้ ถูกสั่งสอนศีลธรรมคำสั่งสอนสตรีทุกชั่วขณะ ด้วยหวังว่าภายภาคหน้าจะได้เป็นขุนนางหญิงที่ได้มาตรฐานที่สุด นางไม่เคยมีความหลงระเริงเช่นวันนี้เลย ไม่เคยเสพสุขสายตาชื่นชมยินดีเช่นนี้เลย ไม่เคยคิดเลยว่าสตรีจะมีชีวิตอยู่อย่างงดงามเช่นนี้ได้!
จิตใจหวั่นไหวมากล้น นางเลียนแบบจิ่งเหิงปัวอย่างควบคุมมิได้ เท้าคางไว้อย่างเกียจคร้าน สองมือประสานกันสง่างาม ท่วงท่าสตรียิ่งนักท่วงท่าหนึ่ง
…
ยามกงอิ้นเข้ามาในห้อง มองเห็นเงาด้านหลังของชุดกระโปรงสีม่วงเงาหนึ่ง
พอเห็นเสื้อผ้ารู้ว่าเป็นของจิ่งเหิงปัว กระโปรงยาวที่โดดเด่นสวยงามยิ่งยวด ชายกระโปรงฟูฟ่องพลิ้วไหวทั่วพื้น ข้างล่างผุดเผยส้นรองเท้าประณีตเรียวแหลม ส่วนข้างบนผุดเผยลำคอเรียวบางสีขาวราวหิมะ
นางยังคงทำท่วงท่าเช่นเคย เท้าคางหมอบอยู่อย่างเกียจคร้าน ปิ่นปักผมดอกไป่เหอพลอยเทียมสีม่วงหลังศีรษะทั้งเรียบหรูงดงามทั้งลึกลับดุจตัวตนของนาง
มวยผมของนางยุ่งเหยิงอยู่บ้างเล็กน้อย ถูกแสงเงาของอาทิตย์อัสดงชุบจนเหลืองทองกระเซิง เส้นผมหลายกลุ่มขึ้นลงเชื่องช้าตามลมหายใจ
กงอิ้นพลันรู้สึกว่าลมหายใจว้าวุ่นเล็กน้อยเช่นกัน
เขาถูกเงาด้านหลังที่ทั้งงามวิจิตรทั้งสูงศักดิ์เงาหนึ่งเช่นนี้จู่โจมโดยตรง
ในความเคลิบเคลิ้มพระราชวังอึมครึม กระโปรงบานซ้อนชั้น ผู้ใดหวนคำนึงถึงริมฝีปากแดงดุจโลหิตผืนนั้นในแสงเงาของความทรงจำ…
เขาร่วงสู่ใจกลางความงงงวยที่ไม่รู้ความจริงหรือความฝัน ในใจดั่งทั้งเศร้าโศกทั้งยินดี
“วันนี้เจ้า…” เขาเคลิบเคลิ้มอยู่บ้าง ตนเองยังไม่รู้ถึงการโพล่งปากออกมาของตนเอง เอ่ยว่า “งดงามจริงแท้…”
เงาด้านหลังนั้นคล้ายแข็งทื่อ
เขาสั่นสะท้านเช่นกัน คล้ายนึกไม่ถึงว่าตนเองจะเอ่ยวาจาเช่นนี้ออกมา ทว่าหลังจากเอ่ยออกไป คล้ายไม่รู้สึกว่ามีสิ่งใดไม่เหมาะสม ในใจแอบรู้สึกว่าถูกแล้ว เป็นเช่นนี้แล อย่าเก็บงำอีกเลย เอ่ยกับนาง เอ่ยอารมณ์อำพรางเหล่านี้กับนาง เรื่องเก่าที่ฝุ่นจับ ความทรงจำที่หัวมุมกับความปีติยินดีที่พวยพุ่งและความลังเลเล็กน้อยที่พลันปรากฏขึ้นในความทรงจำในยามนี้
เขาต่อสู้ดิ้นรนจนเกรียงไกรมาครึ่งชีวิต ไม่ยอมปล่อยวางแม้อยู่เบื้องหน้านาง ทว่าถือทิฐิเช่นนี้ยังแลกสิ่งใดมาได้หรือ? เขาพลันอยากลองปล่อยวางดูบ้าง
ไม่ควรให้การหลบหลีกของเขาสูญสลายนัยน์ตาเฝ้ารอคอยของนางอีก เขาอยากมองดูว่ายามเขาระบายความในใจจะจุดประกายรอยยิ้มของนางได้อย่างแท้จริงหรือไม่
ช่วงดวงใจมีความเจ็บปวดเบาบาง ทว่ายามนี้เขาไม่อยากใส่ใจ
เขาเดินก้าวไปเบื้องหน้าแผ่วเบา มือยกขึ้นเพียงน้อยพลันหยุดอยู่กลางอากาศ
การข้ามผ่านป้อมปราการบางสิ่งต้องการความกล้าหาญและพลัง โชคดีที่แต่ไหนแต่ไรมาเขาไม่ขาดแคลนของเหล่านี้ ตัดสินใจแล้วว่าจะต้องทำ
มือทอดลงบนไหล่ของนางอย่างแผ่วเบา ตำแหน่งที่เขาเฝ้ารอคอยมาเนิ่นนาน
“เหิงปัว…”
…
ทั่วร่างของจื่อหรุ่ยแข็งทื่อไปเสียแล้ว
ยามกงอิ้นปรากฏกายตรงปากประตู นางมองเห็นเขาในกระจกแล้ว ท่าทีโต้ตอบแรกคือหมอบกราบ พลันรู้สึกถึงการแต่งกายและพฤติกรรมของตนเองในยามนี้ต่างมีความผิดใหญ่หลวง
นางสวมฉลองพระองค์ของราชินี นั่งอยู่เบื้องหน้าโต๊ะเครื่องพระสำอางของราชินี ซ้ำยังหมอบอยู่อย่างเกียจคร้านอีกได้อย่างไร!
นี่เป็นโทษประหารชีวิต!
ราชครูฝ่ายขวาผู้ละเอียดรอบคอบคงจะไม่ให้อภัยนางเป็นแน่!
ไม่รอให้นางคิดว่าควรทำอย่างไรดี ราชครูเข้ามาแล้ว วาจาประโยคแรกที่ออกมาจากปากได้สะบั้นสติสัมปชัญญะของนางจนหลุดลอย
เสียงที่หนักแน่นมั่นคงทว่าสั่นระริกเพียงน้อยนั้นคือเสียงของราชครูจริงหรือ? นางโง่เขลาเบาปัญญาเพียงใดยังเข้าใจได้ว่าในเสียงนั้นผุดเผยความรักความห่วงใยที่ไม่อาจเอ่ยให้ชัดเจนมากเพียงใด
พอวาจาประโยคนั้นเอ่ยออกมา ทั่วทั้งห้องเปี่ยมล้นด้วยบรรยากาศคลุมเครืออ่อนโยนฉับพลัน ลมหายใจของราชครูหลังกายขึ้นลงเพียงน้อย นางยิ่งหดเกร็งเรือนร่างมากขึ้น ดวงใจเต้นรัวจนคล้ายจะกระโดดออกมาจากคอหอย
ดวงซวยเกินไปแล้ว…
ราชครูกับราชินี…
ความในใจของบุคคลสำคัญเป็นสิ่งที่คนเช่นนางนี้ฟังได้หรือ?
จื่อหรุ่ยอธิษฐานให้ราชครูกลับไปทั้งเช่นนี้ปานวิกลจริต
ทว่านางผิดหวังแล้ว
เขาหยุดยืนแล้ว เขากำลังนิ่งเงียบ เขาคล้ายกำลังใคร่ครวญ…ตัดสินใจว่า…เขาเดินเข้ามาแล้ว!
จื่อหรุ่ยแทบจะเป็นบ้าแล้ว ความกดดันทางจิตใจขนาดมหึมาทำให้นางมีจิตใจรีบร้อนอยากหันกายคุกเข่าร้องวิงวอนโดยพลัน ทว่านางกลับไม่อาจขยับเขยื้อนได้แม้เพียงน้อย
ราชครูเดินมาถึงหลังกายนาง ความตึงเครียดและความหวาดกลัวทำให้นางรีบเร่งหมอบลงไปด้านล่าง กระจกสาดสะท้อนไม่เห็นใบหน้าของนางอีก ทว่ามองเห็นมือที่ยกขึ้นมาของราชครูได้
โอ้สวรรค์ อย่านะ…
มือนั้นยังคงทอดลงมา จากนั้นเสียงวาจาของราชครูค่อยๆ ดังขึ้น…
เขากำลังเอ่ย…
เขากำลังเอ่ย!
ในสมองของจื่อหรุ่ยว่างเปล่าขาวโพลน มีเพียงวาจาเหล่านั้นที่เขาเอ่ยกรอกเข้าไปในสมองอย่างแข็งกระด้าง นางกลับไม่รู้ว่าเขากำลังเอ่ยอะไรไปชั่วขณะ ทั่วร่างแข็งทื่อหาใดเปรียบ ในสมองกลับเอ็ดตะโรบ้าคลั่งพลิกไปมาหลายตลบว่า โอ้สวรรค์อย่าเอ่ยวาจาเหล่านี้กับข้าอย่าเอ่ยวาจาเหล่านี้กับข้าโอ้สวรรค์ข้าตายแน่แล้วข้าตายแน่แล้ว…
มือที่อยู่บนไหล่กำลังสั่นเทิ้มเพียงน้อยคล้ายว่าจิตใจของราชครูไม่สงบนิ่งเช่นกัน ฉะนั้นเขาที่ความรู้สึกเฉียบไวถึงไม่ได้ค้นพบหรือ?
สวรรค์เอ๋ย ให้เวลาไหลทวนกลับไปครึ่งวันก่อนเถิด ข้ายอมไม่เคยสวมใส่อาภรณ์ชุดนี้เลย!
…
“พวกเจ้ากำลังทำอะไรกัน!”
เสียงเสียงหนึ่งพลันทำลายความแข็งทื่อในครู่นี้
จิ่งเหิงปัวยืนงงงวยอยู่บนธรณีประตู มองดูท่วงท่าเบื้องหน้าอย่างไม่รู้สึกตัวเล็กน้อย
นางถึงขนาดถอยหลังไปก้าวหนึ่ง เงยหน้ามองดูท้องฟ้า เอ๊ะ ไม่มีฟ้าผ่าลงมานะ
ในขณะเดียวกันนั้นเองกงอิ้นหดมือฉับพลัน ก้มหน้ามองดูสีหน้าพลันเปลี่ยนไป ตวาดเสียงลั่นว่า “เจ้าคือผู้ใด!”
เสียงดัง “ตุ้บ” เสียงหนึ่ง จื่อหรุ่ยหันกายพุ่งลงบนพื้น เข่ากระแทกพื้นดินเปล่งเสียงทึบหนักเสียงหนึ่ง นางกลับคล้ายไร้ซึ่งความเจ็บปวดแม้เพียงน้อย ศีรษะโขกลงบนพื้นดินดังตึ้งตึ้ง ร้องว่า “ราชครูไว้ชีวิต! ราชครูไว้ชีวิต!”
บนใบหน้ากงอิ้นมีสีหน้าตื่นตกใจโกรธเคืองอย่างหาได้ยาก เขาหันหน้าจ้องจิ่งเหิงปัวเขม็ง นางยืนอยู่บนธรณีประตู สีหน้าตื่นตะลึง กระโปรงยาวแบบโบฮีเมียทั้งพลิ้วไหวทั้งลอยล่อง แสงดาราที่ริมฝีปากแดงและหางตาเปล่งประกายวูบ รัศมีโค้งงดงามเปี่ยมเสน่ห์ เปี่ยมเสน่ห์จนทำให้ในใจเขาบีบเกร็ง
จากนั้นเขาหันหน้าจ้องจื่อหรุ่ยเขม็ง พลันเข้าใจว่าเกิดเรื่องใดขึ้น บนใบหน้าสีขาวราวหิมะกะพริบวูบด้วยความโกรธาสายหนึ่งโดยพลัน
ในใจของจิ่งเหิงปัวกระตุกวูบ
“อย่า!” นางตะโกนร้องเสียงหลง
คำสั่งของกงอิ้นแว่วทั่วพระราชวังแล้วว่า “ลากออกไป ให้ปลิดชีพตนเอง!”
“ฝ่าบาทช่วยหม่อมฉันด้วยเพคะ!” จื่อหรุ่ยเปล่งเสียงร้องไห้สิ้นหวังเสียงหนึ่ง
เหมิงหู่กับอวี่ชุนไม่รู้ว่าโผล่ออกมาจากที่ใดประหนึ่งโผบิน ยื่นมือฉุดเพียงครั้งฉุดลากจื่อหรุ่ยออกไป
“หยุดนะ!” จิ่งเหิงปัววิ่งเข้าไปขัดขวางอยู่เบื้องหน้าสองคนที่หมางเมินเฉยเมย ร้องว่า “ข้าบอกว่าหยุดนะ!”
“หยุด” กงอิ้นที่อยู่ข้างหลังนางเอ่ยอย่างเย็นชา
ในใจของจิ่งเหิงปัวก่อเกิดความหวัง หันกายมองเขา
“อย่าสังหารนางได้หรือไม่? เพราะข้า…”
“อย่าทำให้อาภรณ์สกปรก” กงอิ้นเอ่ยกับเหมิงหู่
เหมิงหู่รับบัญชา เหวี่ยงจื่อหรุ่ยลงไปบนพื้น เอ่ยว่า “ถอดอาภรณ์บนกายเจ้าเสีย! เจ้าไม่คู่ควรจะสวมมันไปสิ้นชีพ!”
จื่อหรุ่ยสั่นไหวระริก ไม่ทันได้กระดากอายแลไม่ทันได้วิงวอนขอร้อง ยื่นมือถอดเข็มขัดอย่างมึนชา มือสั่นเทิ้มมากเกินไป ถอดไปสองครั้งยังถอดไม่ออก
“ห้ามถอดนะ!” จิ่งเหิงปัวก้าวขึ้นไปขวางนางไว้ ถลึงตามองกงอิ้นด้วยความโกรธ กล่าวว่า “อาศัยอะไรจะสังหารนางซ้ำยังจะเหยียดหยามนาง! นี่ไม่ใช่ความผิดของนาง! ข้าให้นางสวมเอง!”
“ฝ่าบาท…” ผู้ที่คว้ากระโปรงนางแผ่วเบาอยู่ข้างหลังนางกลับเป็นจื่อหรุ่ย ร้องว่า “อย่า…อย่า…หม่อมฉันเป็นคนผิดเอง หม่อมฉันกระทำเกินหน้าที่แล้ว…หม่อมฉันยินยอมรับความตาย พระองค์ไม่ต้องตรัสแล้วเพคะ ไม่ต้องตรัสแล้ว!”
สตรีผอมแห้งน้ำตานองหน้า ใจรู้ว่าวันนี้คงจะไร้โชคเป็นแน่…สิ่งที่ทำให้นางสิ้นชีพมิใช่การสวมอาภรณ์ที่ไม่ควรสวม การกระทำเรื่องที่ไม่ควรกระทำ ทว่าคือการได้ฟังวาจาที่ไม่ควรฟัง