เขาสั่งให้ข้าเป็นราชินี [ส่วนที่ 1] - ตอนที่ 63 – 4 สู้รบเคียงบ่าเคียงไหล่
ดุจอสรพิษแลบลิ้น ดั่งฟ้าแลบผ่านช่องว่าง แสงรุ่งโรจน์เรียวยาวดุจเส้นไหมกะพริบวูบเพียงน้อย ทะลุผ่านช่องว่างหนึ่งหลังประตู
จิ่งเหิงปัวได้ยินเสียงหนึ่งนี้ รู้สึกถึงสายลมหนาวหลังกาย ขนลุกซู่ขึ้นมาทั่วร่าง
ประตูเปิดแล้ว!
มีผู้กำลังเปิดประตูในพริบตาเดียว แทงกระบี่เข้ามาวูบหนึ่ง!
เมื่อครู่นางหันหลังพิงประตูอยู่ หากไม่ได้ล้มลง กระบี่หนึ่งนั้นคงแทงเข้ากลางหลังนางพอดี!
ผู้มาเยือนไม่อาจแน่ใจว่าหลังประตูมีคนหรือไม่ด้วยซ้ำ ทว่าพลันแทงกระบี่ในพริบตาหนึ่งนั้นที่ประตูเปิดออก เอ่ยได้ว่าใจคอเ**้ยมโหดรอบคอบรวดเร็ว ยอดฝีมือมือสังหารชั้นเลิศอย่างแน่นอน!
พอจิ่งเหิงปัวเงยหน้ามองเห็นพื้นสีขาวราวหิมะของตำหนักใหญ่สะท้อนเงาล่องลอยประดุจควัน ไอเหน็บหนาวผืนหนึ่งกะพริบวูบวาบ นั่นคืออาวุธของอีกฝ่าย
แสงนภาสว่างไสวแล้วมืดมิด ประตูปิดลงแล้ว ขวางกั้นองครักษ์ที่ได้ยินความเคลื่อนไหวแล้วรีบตามมาไว้นอกประตู
ในใจของจิ่งเหิงปัวตะลึงลาน…พอประตูปิดไร้คนเปิดได้ ตำหนักใหญ่จะเหลือเพียงนางกับกงอิ้นที่ขยับเขยื้อนมากไม่ได้รับมือกับมือสังหารโหดเ**้ยมชั่วร้ายนี้!
คนผู้นี้รู้รหัสผ่านได้อย่างไร?
บนศีรษะมีเสียงลม!
มือสังหารไม่สำเร็จในกระบี่เดียว พอมองเห็นบนพื้นมีคน พลันทิ่มกระบี่ลงมาข้างล่างอย่างรุนแรง!
เมื่อจิ่งเหิงปัวมองเห็นคมกระบี่ กลิ้งเกลือกครั้งหนึ่งออกไปเนิ่นนานแล้ว
ชายผ้ามุมหนึ่งของนางถูกคมกระบี่ขัดจังหวะดังฉึกเสียงหนึ่ง แหลกสลายไร้สรรพเสียง
นางกลิ้งเกลือกครั้งหนึ่ง เสียง “ฉึก” ดังอีกเสียงหนึ่ง คมกระบี่สายหนึ่งสะบั้นลงข้างกายนางอย่างรุนแรง ห่างจากปลายจมูกนางเพียงนิ้วเดียว
จิ่งเหิงปัวตกใจจนเหงื่อเย็นเยียบท่วมร่าง กลิ้งขลุกขลักออกไปอีกครั้ง เพิ่งคิดจะดิ้นรนลุกขึ้น คมกระบี่สวบสาบบนศีรษะดุจสายฝน นางจำต้องพลิกมากลิ้งไป ดิ้นรนในสายฝนคมกระบี่ด้วยจนตรอก
นางกลิ้งมั่วซั่วทั่วพื้นไปพลางแอบด่าไปพลาง มือสังหารบ้าบอคนนี้ไม่พุ่งไปยังเป้าหมายเช่นกงอิ้น พยายามตามติดนางทำไม? คิดไปกลิ้งไปขนาดนี้ รู้สึกทันทีว่าผิดปกติ…ทำไมเสียงลมหนาแน่นบนศีรษะหายไปแล้ว?
พอเงยหน้ามอง คมกระบี่ทั่วศีรษะสูญสลายไปในฉับพลันนั้น คมกระบี่เมื่อครู่ไม่ใช่ของจริงแต่เป็นเพียงภาพลวงตา!
พอเงยหน้าอีกครั้ง มือสังหารประชิดใกล้หน้าเตียงของกงอิ้นแล้ว!
จิ่งเหิงปัวกระโจนขึ้นฉับพลันยังไม่ทันได้เคลื่อนไหว มองเห็นมือสังหารอยู่กลางอากาศ เส้นสีดำสายหนึ่งในมือพุ่งวูบไปทางหน้าอกกงอิ้น
รวดเร็วจนไร้หนทางจับกุม
จิ่งเหิงปัวอยากกรีดร้อง อยากด่าทอ อยากหลับตาลง ไม่กล้ามองโศกนาฏกรรมโลหิตสาดกระเซ็นครู่ต่อมา มือกลับเคลื่อนไหวอย่างควบคุมไม่ได้แล้ว
“ไป!”
เชิงเทียนทองเหลืองร่วงหล่นดังเคร้งเสียงหนึ่ง ชนเข้ากับตัวกระบี่พอดี ตัวกระบี่เอนเอียง ในขณะเดียวกันนั้นเองกงอิ้นเงยหน้าขึ้นเบี่ยงกายครึ่งฉื่อ คมกระบี่เฉียดผ่านคอหอย ชนเข้ากับม่านกระโจมหลายชั้นหลังเตียง
มือสังหารปานหมอกควันร้อง “อ๊ะ” เสียงหนึ่ง มือกวักเพียงครั้ง กระบี่ประหลาดสีดำดุจเส้นไหมถอยกลับไปประหนึ่งอสรพิษ สัมผัสใยไหมขาวละเอียดบนม่านกระโจมเล็กน้อย เพียงสั่นไหวแผ่วเบาอยู่กลางอากาศแล้วฟันลงมาตามขวางสู่ลำคอของกงอิ้นอีกครั้ง
กระบี่หนึ่งนี้แผ่วเบาจนไม่เจือด้วยประกายเพลิง คือวิชากระบี่เหินหาวอันเลิศล้ำ!
แต่ตอนนี้ทางหนีทีไล่ของจิ่งเหิงปัวมาถึงแล้ว นางไม่ทันได้ลุกขึ้น หมอบอยู่บนพื้นสองมือสะบัดต่อเนื่อง เงียบงันไม่เปล่งเสียง เพียงเขวี้ยงๆๆ เขวี้ยงๆๆ เขวี้ยง!
เสียงตึงตังตึงตังระลอกหนึ่ง เชิงเทียนที่กำแพงทั้งสี่ด้านทยอยร่วงหล่น กระแทกบริเวณรอบมือสังหารอย่างมั่วซั่ว แม้ไม่แน่ว่าจะเขวี้ยงโดนมือสังหารและใบหน้าของเขา แต่อย่างน้อยยังรบกวนเขาได้ เชิงเทียนอันหนึ่งกลิ้งไปบนพื้นหลายรอบ ประกายเพลิงที่ยังลุกไหม้กระเซ็นบนชายผ้าของมือสังหาร กลายเป็นสายชนวนสายหนึ่งเปล่งประกายแผ่ขยายฉับพลัน
มือสังหารที่ใช้ปราณควบคุมกระบี่โถมแขนเสื้อลงไปข้างล่าง ลมทวนพัดผ่าน ประกายเพลิงดับสูญ วงโคจรกระบี่เอนเอียงไปด้วยฉับพลัน กงอิ้นยกแขนเสื้อเล็กน้อยเพียงครั้ง ปลายกระบี่เฉียดผ่านหน้าอกของเขาโดยขาดเพียงเศษเสี้ยวแล้วทะลุสู่ม่านกระโจมสองฝั่ง สัมผัสใยไหมขาวละเอียดกลุ่มหนึ่งขึ้นมาอีกครั้ง
มือสังหารสะบัดแขนเสื้อเพียงครั้ง ตัวกระบี่เวียนวนทั้งอ่อนช้อยทั้งแปลกประหลาดครั้งหนึ่ง สะบั้นม่านกระโจมฉีกขาด ปรากฏบนศีรษะกงอิ้นปานภูตพรายแล้วทิ่มลงมาปานฟ้าแลบ
จิ่งเหิงปัวหมอบอยู่ตรงนั้น มือเดียวสะบัดสุดชีวิตครั้งหนึ่ง เชิงเทียนอันหนึ่งซึ่งถูกมือสังหารเตะออกไปพลิกคว่ำกลางอากาศชนเข้ากับด้ามกระบี่ ปลายกระบี่เฉียดสัมผัสเส้นผมกงอิ้น เส้นผมสีดำหลายเส้นลอยล่องกลางอากาศ ซ้ำยังมีใยไหมขาวละเอียดหลายกลุ่มติดอยู่บนตัวกระบี่เชื่องช้า
ทุกสิ่งเพียงแสงอสนีแสงเพลิง ช่วงเวลาชั่วพริบตา วาดกระบี่ติดต่อกันสามครั้งจวนสำเร็จทว่าล้มเหลว มือสังหารโกรธแค้นจนยิ้มแย้ม เรือนร่างสั่นไหวเพียงครั้ง กระโจนขึ้นดุจควันไฟ อ้อมผ่านวงโคจรที่เชิงเทียนทุกอันร่วงพื้น กะพริบวูบครั้งแล้วครั้งเล่า ประชิดใกล้กงอิ้นด้วยตนเอง
ในขณะเดียวกันนั้นเองกงอิ้นเอ่ยด้วยเสียงร้อนรนว่า “เหิงปัวเจ้าออกไป!”
ขณะนี้จิ่งเหิงปัวเพิ่งลุกขึ้นมา หอบหายใจหลังพิงกำแพง ในใจแอบด่าว่าวังบรรทมของกงอิ้นตกแต่งเรียบง่ายเกินไป ไม่มีสิ่งของอะไรทั้งนั้น เขวี้ยงเชิงเทียนหมดก็ไม่มีอะไรแล้ว
ได้ยินวาจาประโยคนี้ของกงอิ้น นางยิ้มแย้มแล้วกล่าวว่า “ดีเลย” หันกายเปิดประตูทันที
พริบตาต่อมานางปรากฏกายข้างหลังมือสังหาร มีดเล่มหนึ่งทิ่มลงกลางหลังเขา ร้องว่า “ตายซะ!”
ยามนี้นี่เองเรือนร่างของมือสังหารสั่นไหวเพียงครั้ง กลายเป็นควันดำที่คล้ายของจริงทว่ามิใช่ของจริงหอบหนึ่งพุ่งไปทางกงอิ้น ดวงตาของจิ่งเหิงปัวมองดูมีดของตนเองทะลุผ่านความว่างเปล่า
นางตอบสนองรวดเร็วเช่นกัน สะบัดมือเขวี้ยงมีดครั้งหนึ่ง กางแขนสองข้างออกพุ่งไปบนเตียงทันที กอดเอวของกงอิ้นไว้พอดิบพอดี
พริบตาหนึ่งนี้นางรู้สึกคล้ายพุ่งเข้าสู่เมฆดำผืนหนึ่ง บนศีรษะมีลมหายใจหนักหน่วงเหม็นคาว เย็นชาน่าสะพรึงกลัว ดั่งสัตว์ป่ากำลังจะจรดปลายจมูกเย็นเยียบลงส่งนางเข้าสู่คมเขี้ยวมรณะในพริบตาต่อมา
จิ่งเหิงปัวไม่ทันได้คิดอะไรทั้งนั้น ลากกงอิ้นไปสุดกำลัง จากนั้นหันกายครั้งหนึ่งร้องว่า “ไป!”
เรือนร่างสะท้านครั้งหนึ่ง เท้าทอดลงพื้นแข็ง ปลายจมูกสัมผัสสิ่งของเย็นเยือกอีกครั้ง พอนางลืมตาขึ้น เบื้องหน้าขาวโพลนทั้งผืน อากาศเยือกเย็น
จิ่งเหิงปัวเกิดความงงงวยในพริบตาเดียว…คราวนี้หายตัวไปไหนแล้ว? ข้างนอกควรจะฟ้ามืดแล้วไม่ใช่เหรอ?
จากนั้นนางคล้ายได้ยินกงอิ้นหัวเราะกระอึกกระอักเล็กน้อย
พอจิ่งเหิงปัวก้มหน้าก็มองเห็นพื้นศิลาขาวที่คุ้นเคยทอแสงแวววาว
ณ ริมขอบสายตา ยังมีรองเท้าหุ้มข้อสีดำคู่หนึ่ง
สมองนางระเบิดดังตู้ม
แม่งเอ้ย เคลื่อนย้ายถึงแค่ปากประตู! มือสังหารงอมืองอเท้าเฝ้ารออยู่ตรงนี้!
พาคนหายตัวไม่ไหวจริงด้วย! ในตำหนักใหญ่แปลกประหลาดเล็กน้อยนี้ยิ่งโคตรไม่ไหว ระยะทางสั้นยิ่งกว่าครั้งก่อนที่พาชุ่ยเจี่ยหายตัวอีก ยังออกไปจากประตูไม่ได้ด้วยซ้ำ
จิ่งเหิงปัวจูงกงอิ้นคิดหนีอีกครั้ง อย่างมากก็แค่วนเป็นวงกลมภายในตำหนักใหญ่นี้เสียเลย! อย่างไรเสียกงอิ้นคงจะบอกกล่าวลูกน้องแล้ว
กระบี่สีดำดุจเส้นไหมบางประชิดใกล้ปลายจมูกของนางอย่างเยือกเย็น
จิ่งเหิงปัวจ้องมองกระบี่เล่มนั้น แม้ไม่เป็นวรยุทธยังดูออกว่ากระบี่นั้นใกล้เกินไป ขอเพียงนางขยับเล็กน้อย เพียงพอจะแทงทะลุนางกับกงอิ้นจนเกิดรูโปร่งแสง
เชิงเทียนมอดไปหมดแล้ว ในตำหนักเหลือเพียงแสงจางตามธรรมชาติของศิลาขาว นางรู้สึกเลือนรางว่ากระบี่นั้นคล้ายจะผิดปกติเล็กน้อย แต่ก็มองไม่ออก
นางยังคงไว้ซึ่งท่วงท่ากอดเอวกงอิ้นอย่างแน่นหนา หลงลืมคลายออกด้วยความตึงเครียด แน่นอนว่าคนผู้นั้นที่ถูกกอดไว้ไม่ได้เตือนสตินางให้ปล่อยออกเช่นกัน ถึงขนาดมือข้างหนึ่งกุมไว้อย่างตั้งใจทว่ามิได้ตั้งใจบนหลังมือของนาง
ในใจของจิ่งเหิงปัวกำลังคำนวณชั่วยาม กงอิ้นเอ่ยว่ายามเที่ยงคืนเขาจะฟื้นคืนสู่ปกติ แต่ตอนนี้ห่างจากเที่ยงคืนอย่างน้อยที่สุดยังเหลืออีกหนึ่งชั่วยามกว่า นางจะรับมือกับมือสังหารมารร้ายเกรียงไกรเป็นพิเศษคนนี้ถึงหนึ่งชั่วยามได้เหรอ?
นางมองดูข้างนอกอย่างร้อนรนเล็กน้อย ทำไมพวกเหมิงหู่ยังไม่คิดวิธีเข้ามาอีก?
“พวกเขาเข้ามาไม่ได้” มือสังหารพลันปริปาก รอบกายเขากำจายควันจางสีดำ น้ำเสียงยากจับต้องดุจควันเช่นกันเอ่ยว่า “ข้าได้ฟันเส้นทองคำส่งสัญญาณของพวกเจ้าขาดเสียแล้ว” เขาหัวเราะคล้ายเสียดสีเล็กน้อย เอ่ยสืบต่อว่า “แน่นอนว่าเรื่องนี้คงต้องขอบคุณท่านราชครูฝ่ายขวาที่ระมัดระวังยิ่งนัก ประตูเปิดจากภายในได้ ทว่าไม่อาจใช้กำลังเข้ามาจากภายนอก ฉะนั้น อย่ามุ่งหวังให้องครักษ์มาช่วยเลย”
แววตาของจิ่งเหิงปัววูบไหว ในใจด่าทอมหาเทพว่าระมัดระวังเกินไปจนทำร้ายตนเอง รู้สึกทันทีว่าฝ่ามือคันยิบ รู้สึกโดยละเอียดว่า…คล้ายกงอิ้นกำลังเขียนอักษร?
โอ๊ยแม่งเอ้ย เขียนอักษร
นางรู้จักเจ้าอักษรนี้ทั้งหมด แต่ใช้คอมพิวเตอร์นานเกินไป เคยชินแต่อักษรคอมพิวเตอร์ ถ้าตนเองเขียนขึ้นมาจะยกปากกาลืมอักษร ยิ่งไม่ต้องกล่าวถึงการพิจารณาอักษรที่ผู้อื่นเขียนบนฝ่ามือ
นางรู้สึกเพียงคันยิบอยากหัวเราะ เจ้าสารเลวคนนี้เขียนอักษรอะไร? เขียนอักษรบนฝ่ามือบอกเป็นนัยให้เด็กอัจฉริยะเช่นพี่นี้เหรอ? สูงส่งยิ่งใหญ่ขนาดนี้เหมาะสมจริงเหรอ?
โอ๊ยแม่งเอ้ยอักษรอะไรกันแน่?