เขาสั่งให้ข้าเป็นราชินี [ส่วนที่ 1] - ตอนที่ 65 - 4 เป็นตายร่วมเผชิญ
นางเพียงแค่ยักไหล่ยิ้มแย้ม
“ตนเองเอาชีวิตไม่รอดแล้วยังจะสาปแช่งผู้อื่นอีกหรือ?” นางจ้องดวงตาของเขาเขม็ง จูงมือของเขา กล่าวว่า “เป็นหนี้ต้องจ่ายเป็นคนร้ายก็ต้องชดใช้กรรม กงอิ้น วาจาสาปแช่งนี้ ข้ารับไว้แล้ว! ไม่เกี่ยวข้องกับเจ้า”
แววตาของกงอิ้น ค่อยๆ ทอดลงจากนิ้วมือสู่บนใบหน้าของนาง
ดวงพักตร์ที่ถูกน้ำฝนชะล้าง สีสันบริสุทธิ์สดใส เปียกชื้นยิ่งสวยงามสดใสขึ้น ขนตาแน่นขนัดพรมด้วยธารหยาดน้อยละเอียดนับมิถ้วน มองนัยน์ตาแน่วแน่มัวสลัวของนางผ่านหยดน้ำ กระเพื่อมด้วยแสงวสันต์ทั่วนภาทั่วพสุธา
ท่วงท่าสะท้านใจเช่นนี้ ไม่อาจต้านทาน
ก้นบึ้งของหัวใจคล้ายพวยพุ่งด้วยความร้อนระลอกหนึ่ง ที่ซึ่งความร้อนผันผ่าน ทะยานทะลุผ่าน ชำระล้างคำราม เส้นลมปราณคล้ายผลิหลุมเล็กออกมานับมิถ้วน ลมเหน็บหนาวที่ทะลุผ่านแทงกระดูก แลคล้ายพังทลายดังครืน หอบหิมะนับพันกองขึ้นมา เขาทนขมวดคิ้วเล็กน้อยไม่ได้ท่ามกลางการพังทลายและทะลุผ่านเช่นนี้ ทว่าอีกทั้งมุมปากอดจะกระหวัดโค้งเล็กน้อยไม่ได้
จิ่งเหิงปัวเชิดสายตามองดูเขา สีหน้าครู่หนึ่งนี้ของเขาแปลกประหลาดเช่นนี้ คล้ายทั้งเจ็บปวดคล้ายทั้งดีใจ หรือเกิดความปีติยินดีท่ามกลางความเจ็บปวด บ่มเพาะเจ็บปวดท่ามกลางความปีติยินดี คิ้วขมวดแทบชนกัน ทว่ารอยยิ้มมุมปากหลั่งรินดุจธารวสันต์
แต่นางรู้สึกว่าน่าประทับใจขนาดนี้รู้สึกเพียงครู่หนึ่งนี้ต้องมีอะไรที่เปลี่ยนแปลงไปแล้วอย่างแน่นอน นางเกลียดตนเองที่ไม่ได้พกโพลารอยด์มาด้วย จะได้บันทึกรอยยิ้มมหัศจรรย์ครู่หนึ่งนี้ให้คงอยู่ตลอดกาล
สายฝนโปรยปราย หมู่หญ้าสดใส จ้องมองซึ่งกันและกันกลางสายฝน ต่างรู้สึกว่าอีกฝ่ายนิ้วเย็นดวงใจร้อนผ่าว รัศมีโค้งมุมปากงดงามที่สุดในโลกนี้
ไม่รู้ตั้งแต่ยามใด เหล่าขุนนางต่างค่อยๆ หลีกถอยหลบลี้สู่ฝั่งหนึ่ง
ข้างหลังแว่วเสียงฝีเท้าถี่กระชั้น กงอิ้นชะงักไปชั่วครู่ ปล่อยมือของจิ่งเหิงปัวอย่างคล้ายตัดใจไม่ได้เล็กน้อย
“เจ้ากองเซ่นไหว้ซังออกจากวังแล้ว” องครักษ์ที่ส่งออกไปไล่จับซังต้งรายงาน
ทุกคนเคร่งขรึม ซังต้งตัดสินใจเด็ดขาดเพียงพอ รู้ว่าทางนี้กระทำไม่สำเร็จจึงหลบหนีโดยพลัน เพียงแต่ใจร้ายเกินไปหน่อย ซังเชี่ยวน้องสาวของนางยังไม่รู้เป็นตายร้ายดีอยู่ในวังอยู่เลยนะ
กงอิ้นเพียงพยักหน้า ครู่หนึ่งจึงเอ่ยว่า “ไม่ต้องเรียกว่ากองเซ่นไหว้อีก”
พอวาจานี้ออกมา แทบจะทุกผู้คนต่างก้มหน้าโดยพลัน
วาจาประโยคเดียว อำนาจของตระกูลหนึ่งสิ้นสุด
สายฝนค่อยๆ จางหาย ท้องฟ้าค่อยๆ สว่างเช่นกัน จิ่งเหิงปัวมองดูแสงนภาขาวโพลนเส้นเดียวสาดส่องบนใบหน้าซีดเผือดของผู้สิ้นลมเหล่านั้น รู้สึกเพียงก้นบึ้งของหัวใจเจือจางด้วยความเหน็บหนาว ถลกแขนเสื้อขึ้นเชื่องช้า
ลมแรงฝนคลั่งคืนหนึ่งนี้ บางครั้งเป็นเพียงการเริ่มต้นล่ะมั้ง
…
เหล่าองครักษ์ของตำหนักอวี้จ้าวกำลังเก็บกวาดสนามรบ ยามนี้จิ่งเหิงปัวเพิ่งรู้สึกถึงความหนาวเย็น กอดแขนสองข้างหันหลังจะกลับไปเปลี่ยนเสื้อผ้า
ข้างหลังพลันมีผู้เอ่ยว่า “ขอฝ่าบาททรงรอก่อน”
จิ่งเหิงปัวหันหน้ากลับมา มองเห็นว่าเป็นเซวียนหยวนจิ้ง สายตาของเซวียนหยวนจิ้งท่วมท้นด้วยความโกรธแค้น แตกต่างจากแววตาหวาดกลัวระแวดระวังเล็กน้อยของผู้อื่นในยามนี้
ไม่น่าแปลกใจ พันธมิตรที่แข็งแกร่งถูกทำลายในวันเดียว เท่ากับเสียแขนไปข้างหนึ่ง เขาย่อมไม่พอใจ
“มีเรื่องใดก็รีบเอ่ยมา ข้าหนาวยิ่งนัก” ผู้อื่นไม่มีสีหน้าดี แน่นอนว่าจิ่งเหิงปัวไม่ดียิ่งกว่า
“คำสาบานของฝ่าบาทเพิ่งสมบูรณ์เพียงครึ่ง” เซวียนหยวนจิ้งเอ่ยว่า “คำพยากรณ์ฟ้าผ่าหอคอยสูงของกองเซ่นไหว้ของพระองค์ แลตรัสว่าจะสะสมสายฟ้าไว้ในกระเป๋าของพระองค์ เพื่อพิสูจน์ว่าเทพสวรรค์ได้เลือกพระองค์แล้ว ยามนี้ สายฟ้าเล่า?” เขาเอ่ยอย่างเสียดสีว่า “คงมิใช่ซุกซ่อนอยู่ในแขนฉลองพระองค์ของพระองค์กระมัง?”
“เจ้าเอ่ยถูกต้องแล้ว” จิ่งเหิงปัวยิ้มแย้มอย่างเกียจคร้าน สายตาเฉียดผ่านสีหน้าตกตะลึงของทุกคนแวบหนึ่งแล้วยิ้มแย้มหยอกล้อ กล่าวว่า “ทว่ามิใช่ยามนี้”
“ฝ่าบาท!” เซวียนหยวนจิ้งที่ถูกหลอกไปรอบหนึ่งอับอายจนโกรธแค้น
จิ่งเหิงปัวโบกมือแล้ว หันหลังเดินจากไป
“ข้าต้องอาบน้ำเปลี่ยนอาภรณ์ ยังต้องนอนพักผ่อน มิฉะนั้นเกิดริ้วร้อยใดขึ้นมาพวกเจ้าผู้ใดชดใช้ไหวหรือ? รอข้านอนเต็มอิ่มแล้ว ข้าจะนำสายฟ้าที่ข้าสะสมไว้ให้พวกเจ้าดู หากพวกเจ้าอยากดูจริง จงรอไปเถิด!”
“ฝ่าบาท พระองค์ทรงคิดจะเบี้ยวสัญญาหรือ!” เซวียนหยวนจิ้งเปล่งเสียงเย็นชาดุดัน
“คืนนี้เจ้าไม่ได้ดูค่อยเอ่ยว่าข้าเบี้ยวสัญญายังไม่สาย” จิ่งเหิงปัวไม่หันหน้ามาด้วยซ้ำ รีบก้าวข้ามประตูข้างแล้ว เซวียนหยวนจิ้งไม่อาจเดินตามไป สีหน้าเขียวคล้ำ หันหน้ากดดันกงอิ้นว่า “ทหารสองฝ่ายสู้รบกัน ไม่สังหารเชลยศึก นี่เป็นกฎเกณฑ์แห่งต้าฮวงของเรา ข้าอยากรู้ว่าเหตุใดราชครูถึงหลอกลวงผู้บริสุทธิ์ ออกคำสั่งยิงธนูสังหารองครักษ์กองเซ่นไหว้ที่ถอดใจต่อต้านแล้วเหล่านั้น!”
กงอิ้นไม่ได้มองเขาแม้แต่ปราดเดียวด้วยซ้ำ ยืนมือกวักเพียงครั้ง บอกใบ้อวี่ชุนพาเหมิงหู่ที่ได้รับบาดเจ็บเข้ามาในตำหนัก
คราวนี้ทุกคนจึงสังเกตว่าเหมิงหู่เปรอะโลหิตไปครึ่งร่าง ไหล่ด้านหน้ามีเพียงบาดแผลถลอกเป็นชั้น ไหล่ด้านหลังแทบจะเป็นหลุมโลหิตหลุมหนึ่ง นี่คือบาดแผลที่เกิดจาก “อาวุธวิเศษ” น่าหวาดกลัวเช่นนี้ ทุกคนมองดูกองหนึ่งนั้นที่กระจัดกระจายอยู่บนพื้นด้วยสีหน้าซีดเผือด ยิ่งคิดไม่ออกว่าราชินีใช้พลังเคลื่อนย้ายทำลายอาวุธสังหารที่ร้ายกาจสมคำเล่าลือนี้อย่างไร
หรือว่ามีสิ่งที่เรียกว่าพลังปฎิหาริย์อยู่จริง?
“เคลื่อนพลทหารองครักษ์เกินจำนวนโดยไม่ได้รับอนุญาต ถืออาวุธบุกรุกวังหลวง วางแผนลอบสังหารราชินีต่อหน้าเหล่าขุนนาง ทำร้ายเหมิงหู่ซึ่งเป็นผู้นำราชองครักษ์จนบาดเจ็บสาหัส” กงอิ้นเอ่ยอย่างเฉื่อยเนือยว่า “ทุกข้อที่เอ่ยมา แทบจะนับได้ว่าเป็นโทษสถานหนักเช่นประหารเก้าชั่วโคตร หากขุนนางที่ปรึกษายังยืนกรานจะเห็นต่าง คงนับเป็นผู้อยู่ภายในเก้าชั่วโคตรได้พอดี”
เซวียนหยวนจิ้งมีสีหน้าซีดเผือด เอ่ยคัดค้านว่า “ข้าไม่ได้มีความเกี่ยวข้องใดกับพวกเขา จะเอ่ยว่าเป็นญาติเก้าชั่วโคตรได้อย่างไร!”
กงอิ้นชำเลืองมองเขาปราดเเดียว พ่นออกมาอย่างไม่ทุกข์ร้อนสองคำว่า “โคตรสหาย”
เสร็จแล้วเขาไม่สนใจเซวียนหยวนจิ้งอีก สะบัดแขนเสื้อเดินจากไป ทุกคนถูกอำนาจบาตรใหญ่กับไอสังหารที่แฝงอยู่ในสองคำนี้พาให้สั่นเทิ้ม เคร่งขรึมไม่กล้าเอ่ยวาจา เซวียนหยวนจิ้งมีสีหน้าซีดเผือด ยังคงทำเข้มแข็งพึมพำว่า “โคตรสหายกระไร…ในเก้าชั่วโคตรมีโคตรสหายที่ใดกัน…” ทว่าไม่กล้าเอ่ยเสียงดังแล้ว
อวี่ชุนประคองเหมิงหู่ให้หมอหลวงที่รีบตามมา เดินเข้ามา มือที่เปื้อนคราบโลหิตท่วมท้นตบไหล่ของเขา ยิ้มแย้มเอ่ยเสียดสีเสียงดังว่า “ไม่มีโคตรสหาย แลยังมีโคตรวงศ์ตระกูลนะ ขุนนางที่ปรึกษามีคุณธรรมสูงส่ง กล้าทำกล้ารับ ปกป้องผู้ทรยศที่ไม่ได้เกี่ยวข้องกันเลยแม้แต่น้อยเหล่านี้ขนาดนี้ สนิทชิดเชื้อเสียยิ่งกว่าโคตรวงศ์ตระกูลโดยแท้ ฝืนนับเข้าไปด้วยคงจะได้”
เซวียนหยวนจิ้งมีสีหน้าเขียวคล้ำร่นถอยก้าวหนึ่ง สะบัดมือของเขาออกอย่างรุนแรง เอ่ยอย่างโกรธเคืองว่า “หลีกไป! อย่านำมือสกปรกของเจ้ามาแตะข้า! องครักษ์ต่ำต้อยผู้หนึ่งยังกล้าถากถางผู้ชรา!”
อวี่ชุนแค่นเสียงยิ้มเยาะ มองด้วยหางตาเขาปราดหนึ่ง ฉวยโอกาสนำมือเปื้อนโลหิตเช็ดบนกำแพงรอบข้าง เอ่ยว่า “คงสกปรก!” ไม่ได้หันหน้ากลับมามองด้วยซ้ำเดินก้าวใหญ่ไปแล้ว
เหลือไว้เพียงเซวียนหยวนจิ้งที่มีสีหน้าชราทั้งเขียวทั้งขาว หน้าอกหอบขึ้นลง
ทุกคนที่เหลือเก็บตัวสงบเงียบ ต่างออกห่างจากเขาเล็กน้อยอย่างเงียบเชียบ หางตาของเซวียนหยวนจิ้งมองกวาดรอบด้าน ในใจพลันพวยพุ่งด้วยความรู้สึกเศร้ารันทด ตระกูลซังกับตระกูลเซวียนหยวนกลายเป็นพันธมิตร แต่ก่อนคนเหล่านี้ประจบสอพลอมากหลาย บัดนี้มองเห็นตระกูลซังพลาดท่า คนเหล่านี้ก็รีบเร่งขีดเส้นเขตแดน พอสิ้นอำนาจ คนเหล่านี้ก็หลงลืมกันรวดเร็วเกินไปแล้ว
พลันมีผู้ก้าวเดินเชื่องช้า หัวเราะเสียงแผ่วข้างหูเขา เอ่ยว่า “เหตุใดผู้ชราจิ้งต้องหดหู่เช่นนี้? แม้ตระกูลซังล่มสลาย ทว่าไม่เคยมิใช่โอกาสของข้ากับท่านนะ”
เซวียนหยวนจิ้งหันหน้า มองเห็นมุมปากเจือรอยยิ้มแย้มของเฟยหลัว
หัวคิ้วของเซวียนหยวนจิ้งขมวดเพียงน้อย เขาไม่มีความประทับใจที่ดีต่อเสนาหญิงแคว้นเซียงท่านนี้เพียงใดนัก บุคคลที่มีอำนาจที่แท้จริงของหกแคว้นแปดชนเผ่า เอ่ยจนที่สุดแล้วไม่ใช่พวกเดียวกันกับขุนนางใหญ่ในราชสำนักโดยสิ้นเชิง ทุกปีพวกเขาจะหมุนเวียนรับสนองโองการไปรายงานการปฏิบัติหน้าที่ที่ตี้เกอ ฉวยโอกาสช่วงนี้สร้างความสัมพันธ์อันดีต่อขุนนางสำคัญในราชสำนักและเข้าร่วมเสนอคำแนะนำระดับหนึ่งต่อการเมืองในราชสำนัก ทว่าเอ่ยจนที่สุดแล้ว เวลาส่วนใหญ่ของพวกเขายังคงพัฒนาอำนาจของแคว้นใต้อาณัฐตนและชนเผ่าตน คนเหล่านี้ต่างมีความทะเยอทะยานมากล้น ที่ซึ่งแววตากวาดไปถึงคือตำแหน่งสูงสุดที่แท้จริงของต้าฮวงเช่นเดียวกัน เอ่ยให้ชัดเจน ทุกผู้คนต่างเป็นคู่แข่ง มอบความเชื่อถือซึ่งกันและกันได้อยากยิ่ง
ยิ่งกว่านั้นหมู่นี้เขาได้ยินมาว่าภายในแคว้นเซียงแย่งชิงอำนาจกันดุเดือดยิ่งนักเช่นกัน เสนาหญิงที่แต่ก่อนกุมอำนาจสำคัญมาโดยตลอดท่านนี้มารายงานการปฏิบัติหน้าที่ที่ตี้เกอในยามนี้ ไม่แน่ว่าตำแหน่งในแคว้นคงอันตรายอย่างยิ่งแล้ว คราวนี้คงคิดจะฉวยโอกาสยามชุลมุน ถอยหลังกลับไปตั้งหลักที่ตี้เกอ จะได้จัดการจากภายนอกสู่ภายใน แล้วค่อยสู้รบกับแคว้นเซียง?
นางดีดลูกคิดรางแก้วมา ทว่ายามนี้เซวียนหยวนจิ้งไม่มีความคิดที่จะทำดีโดยไม่หวังผลตอบแทน!
“ตระกูลซังพ่ายแพ้แล้ว จะมีโอกาสอีกได้อย่างไร?” ด้วยเหตุนี้เขาไม่มีสีหน้าดีกระไรเช่นกัน เอ่ยอย่างหนักแน่นว่า “อีกทั้งต่อให้มีโอกาสดี คงไม่มีความเกี่ยวข้องกระไรกับเสนาหญิงกระมัง?”
เฟยหลัวคล้ายไม่ได้สนใจท่าทางหัวเสียของเขาด้วยซ้ำ ยังคงยิ้มแย้มอย่างนุ่มนวลสุขุม
“ผู้ชราจิ้งจะเอ่ยเช่นนี้มิได้” นางยิ้มแย้มเอ่ยว่า “ตระกูลซังเป็นขุนนางหลายยุคสมัยมาหลายร้อยปี กระทำการมาหลายสิบรุ่น จะล่มสลายในวันเดียวได้อย่างไร? แม้จะพ่ายแพ้หรือเพลี่ยงพล้ำแต่พลังอำนาจยังคงอยู่ ต่อให้วันนี้ผู้ยอดเยี่ยมในวังสูญสิ้น ทว่าเครือข่ายพี่น้องของตระกูลซังที่กระจายอยู่ในต้าฮวงมีเพียงหลายพันเสียที่ใด? พี่น้ององครักษ์ที่อยู่ในเครือข่ายรวมกันแล้วมีเพียงหลายหมื่นเสียที่ใด? สุดท้ายแล้วพลังเหล่านี้จะตกอยู่ในมือของผู้ใด? ว่ากันว่าเติมบุปฝาบนแพรพรรณไม่สู้ส่งถ่านกลางหิมะ บัดนี้ซังต้งกำลังตกอยู่ในยามที่มีปัญหาทั้งภายในและภายนอก หากผู้ชราจิ้งยื่นมือช่วยเหลือในยามนี้ สิ่งที่จะได้รับในภายภาคหน้าจะเป็นตระกูลซังเพียงตระกูลเดียวหรือ?”
ขนคิ้วของเซวียนหยวนจิ้งขยับเพียงครั้ง วาจาของเฟยหลัวนับว่าตรงกับแผนการส่วนหนึ่งในใจเขาเช่นกัน เพียงแต่ยังตัดสินใจไม่ได้เล็กน้อย
แววตาของเขาข้ามผ่านจิ้งถิง มองไปยังพระราชอุทยานของราชินีที่อยู่ฝั่งตรงข้าม ชุ่ยเจี่ย ยงเสวี่ยและจิ้งอวิ๋นตื่นนอนกันแล้ว กำลังยุ่งงานอยู่ข้างนอก แววตาของเขาทอดไปทิศทางนั้นชั่วครู่แล้วเบนกลับมา
“แน่นอนว่าบัดนี้ตระกูลซังได้รับบาดแผลฉกรรจ์ ขั้นต่อไปกงอิ้นต้องไม่ปล่อยโอกาสตัดรากถอนโคนอย่างแน่นอน การสนับสนุนตระกูลซังในยามนี้ เกรงว่าตระกูลเซวียนหยวนเพียงตระกูลเดียวไม่แน่ว่าจะแบกรับไหว” สายตาสุกสกาวของเฟยหลัววูบไหว เอ่ยว่า “สตรีน้อยเลื่อมใสในตระกููลขุนนางอาวุโสมาเนิ่นนานแล้ว เสียดายว่าไม่ได้มีโอกาสเดินร่วมทางกับทุกท่านมาโดยตลอด สตรีน้อยเองนับว่ามีความสามารถเล็กน้อย ไม่แน่ว่าไม่ได้ให้ความช่วยเหลือใดแด่สองท่าน ผู้ชราจิ้ง มิเคยได้ยินหรือว่ามีสหายเพิ่มมาผู้หนึ่งย่อมดีกว่ามีศัตรูเพิ่มมาผู้หนึ่ง? หรือเอ่ยได้ว่าศัตรูของศัตรูย่อมเป็นสหาย?”
เซวียนหยวนจิ้งนิ่งเงียบ มองดูสายฝนค่อยๆ เลือนหาย สายรุ้งสีขาวเลือนรางสายหนึ่งตรงขอบฟ้ามองไม่เห็นสีสัน
สถานการณ์ในราชสำนักและอนาคตของต้าฮวง ด้วยเพราะการปรากฏกายของราชินีองค์ใหม่องค์นี้ ผุดเผยสภาพการณ์ประหลาดนอกเหนือความคาดหมายบางส่วนประหนึ่งสายรุ้งนี้เช่นกัน
“เจ้าดูสิ สายรุ้งตรงขอบฟ้านี้” เขาพลันเอ่ยว่า “ในตำราเอ่ยไว้ว่าสายรุ้งสีขาวบังอาทิตย์ โลหิตท่วมบันไดหยก บัดนี้จะไม่ตอบรับได้อย่างไร?”
“ใช่แล้ว” เฟยหลัวกับเขายืนอยู่เคียงข้างกัน เงยหน้ามองสายรุ้งนั้นแผ่ขยายตรงขอบฟ้านิ่งเงียบ เอ่ยว่า “ได้มองเห็นชัดเจนแล้วนะ มิฉะนั้นบังดวงอาทิตย์คราวหน้า โลหิตท่วมบันไดจวนท่านจวนข้า คงไม่ใช่เรื่องดีแต่อย่างไร”
“หลันปี้ถิงในจวนผู้ชรา อยู่ที่สูง ข้างหวาหลาน คือหนึ่งในสิ่งปลูกสร้างที่สูงสุดในตี้เกอ เป็นสถานที่ดีที่จะชมทิวทัศน์” เซวียนหยวนจิ้งคล้ายกำลังสนทนาไร้สาระ
“ได้ยินชื่อเสียงมานาน เสียดายว่ายังไม่ได้ได้รู้จัก” เฟยหลัวมีสีหน้าเลื่อมใส
“คราวนี้ผู้ชราเสียมารยาท มีโอกาสขอเชิญเสนาหญิงเยี่ยมชม” เซวียนหยวนจิ้งยิ้มแย้มจริงใจ เอ่ยว่า “บางครั้ง ชมสายรุ้งสีขาวบนหลันปี้ถิง อาจมีทัศนียภาพอีกแบบหนึ่ง”
“ในความปรารถนา ไม่มากกว่าการผูกสัมพันธ์”
หลังจากบทสนทนาสั้นกระชับ สองคนไม่เอ่ยวาจามากความอีก ต่างคนต่างหันกายให้กัน
เหล่าขุนนางใหญ่ที่อยู่ข้างหนึ่ง ถึงขนาดไร้ผู้พบว่าเพียงครู่หนึ่งที่ไม่น่าสนใจนี้ พันธมิตรกลุ่มหนึ่งซึ่งเพียงพอจะส่งผลกระทบต่อสถานการณ์ทางการเมืองในอนาคตของต้าฮวง ได้ก่อเป็นรูปร่างอย่างเงียบเชียบแล้ว