เขาสั่งให้ข้าเป็นราชินี [ส่วนที่ 1] - ตอนที่ 67 - 2 กอบกู้ตี้เกอ
เสียงร้องเรียกข้างนอกผนึกหนาแลเศร้าสลด บรรยากาศควบแน่นถึงเบื้องบน ซังต้งคล้ายมีโลหิตร้อนผ่าวแผ่ซ่านในที่สุด กัดฟันเอ่ยเสียงเข้มว่า “ยามนี้! นายน้อยใหญ่ถูกกักไว้ที่ประตูเมืองออกไปไม่ได้ ฝืนบุกฝ่าคงไม่ไหว หวังจะช่วยเหลือนายน้อยใหญ่หลบหนีออกจากตี้เกออย่างรวดเร็ว พวกเราจะต้องจำต้องก่อความวุ่นวายครั้งหนึ่งในนครตี้เกอ ให้กงอิ้นไม่มีเวลากลั่นแกล้งนายน้อยใหญ่ นายน้อยใหญ่ถึงจะมีโอกาส!”
“ท่านผู้นำออกคำสั่งเถิด! พวกเรากระทำตามท่านย่อมได้!”
“ดาบเดียวแทงทะลุนภา ตี้เกอร้องเพลงวายชนม์เพื่อข้า ฮ่าๆๆ สะใจนัก!”
จิ่งเหิงปัวกลับสูดหายใจเฮือกหนึ่ง
ใจผู้หญิงโหดเ**้ยมที่สุดจริงด้วย!
“ข้าได้ตระเตรียมเรียบร้อยแล้ว” ซังต้งเอ่ยอย่างเย็นชาว่า “พวกเจ้าย่อมรู้ว่าอาวุธปืนกับกระสุนปืนคือสิ่งต้องห้ามของตี้เกอ กงอิ้นห้ามมีไว้ในครอบครองส่วนตัวนอกจากนอกจากตำหนักอวี้จ้าวเด็ดขาด ทว่าเขาดูแลไม่ถึงรถม้า ในชั้นประกบของรถม้าทุกคันที่นี่ของพวกเราสอดหยาดน้ำมันเทียนหั่วที่กลั่นออกมาจากลุ่มน้ำเทียนหั่วจนเต็ม ภายนอกใช้โคลนเทียนหั่วทากลบสามครั้ง เพียงพบประกายไฟพลันลุกโชน เรื่องนี้ยังเป็นคำแนะนำของเทียนสี่ในยามแรก ไว้ใช้ในยามจำเป็น บัดนี้ได้นำมาประโยชน์แล้ว ยามนี้พวกเราควบแล่นรถม้าเหล่านี้แบ่งเป็นสามเส้นทาง แล่นผ่านถนนใหญ่จิ่วกง ตรอกหลิวหลี ฉังจิ่งและจัตุรัสหวงเฉิง เริ่มจุดเพลิง ณ ตรอกหลิวหลีที่ฝูงชนหนาแน่นที่สุด! สุดท้ายหยุดลงหน้าประตูตำหนักอวี้จ้าว ชนมันจนมอดไหม้ไปหมดสิ้น!”
“มอดไหม้ไปหมดสิ้น!” เสียงตอบรับดุจระลอกคลื่น
ฝ่ามือของจิ่งเหิงปัวมีเหงื่อซึมออกมา…แผนการที่เ**้ยมโหดจริง หากไม่ใช่เพราะนางโลภมากขึ้นรถม้ามา วันนี้ตี้เกอต้องประสบภัยพิบัติอย่างแน่นอน
แต่ตอนนี้นางตัวคนเดียว อยากจะกอบกู้ชะตากรรมครั้งนี้คงยากลำบากสักหน่อย รถม้าที่แล่นรวดเร็วระเบิดลุกไหม้ร้อนแรงตลอดเส้นทาง ที่ซึ่งแล่นผ่านคือที่ซึ่งเจริญรุ่งเรืองที่สุดผู้คนพลุกพล่านมากที่สุดของตี้เกอทั้งนั้น จะหยุดยั้งอย่างไร?
“เรื่องราวไม่อาจรั้งรอ” ซังต้งเอ่ยอย่างเยือกเย็นว่า “ยามนี้พวกเราไปกันเถิด”
“ขอรับ” เสียงขานรับที่เจือด้วยกลิ่นไอแห่งความตายเด็ดเดี่ยวแน่วแน่
“ก่อนจะจากไป มอบของขวัญชิ้นหนึ่งให้ตี้เกอเสียก่อน” มุมปากของซังต้งผุดเผยรอยยิ้มน่าครั่นคร้ามผืนหนึ่ง เอ่ยว่า “เสบียงอาหารที่หมู่นี้ตี้เกอซื้อหามาจากแคว้นซีหล่งเพิ่งมาถึงแล้ว พอดีเลย กลางยุ้งฉางแห่งนี้นี่แล…”
คราวนี้จิ่งเหิงปัวถึงเข้าใจว่าที่นี่คือยุ้งฉาง มิน่าละรู้สึกว่าใหญ่โตกว้างขวาง ซังต้งคิดได้ว่าควรชุมนุมคนและรถในยุ้งฉางที่ว่างอยู่ เป็นวิธีการที่อัศจรรย์โดยแท้
จากนั้นนางได้ยินเสียงซู่ซู่ รู้สึกว่าแย่แน่ พอแอบมองดู บนพื้นมีสายชนวนเพิ่มมาเส้นหนึ่งไม่รู้ตั้งแต่เมื่อไร สายชนวนถูกถูกจุดแล้ว กำลังเปล่งประกายเพลิงดังซู่ซู่มุ่งตามร่องทางหนึ่งซึ่งขุดไว้ตรงล่างกำแพงสู่ห้องข้างเคียง
ไม่ต้องถาม ห้องข้างเคียงต้องเป็นยุ้งฉางที่มีเสบียงอาหารอยู่เต็มแน่นอน ซังต้งกระทำการโหดเ**้ยมอำมหิต อีกสักครู่ตี้เกอต้องวุ่นวายครั้งใหญ่ จะมีคนนับไม่ถ้วนบาดเจ็บล้มตาย ในขณะเดียวกันยุ้งฉางก็ถูกเผาไหม้ เรียกได้ว่าผีซ้ำด้ำพลอย ยังไม่ต้องกล่าวถึงว่าตี้เกอกำลังจะตกอยู่ในความตื่นตระหนกหวาดกลัวครั้งใหญ่ อาจจะก่อให้เกิดเหตุการณ์หรือการเปลี่ยนแปลงสถานการณ์ทางการเมืองได้ แค่กล่าวถึงว่าหลังจากราษฎรได้รับบาดเจ็บยังขาดแคลนเสบียง อีกไม่นานจะมีคนมากมายล้มตาย!
“เรียบร้อยแล้ว” ซังต้งปรบมือ เอ่ยว่า “ต่างคนต่างขึ้นรถเถิด”
ทุกคนทยอยรับปาก ต่างคนต่างปีนขึ้นรถของตนเอง ก่อนจะขึ้นรถคนมากมายตามหาสหายเก่า ตบไหล่ไม่เอ่ยวาจา กระทำการอำลาครั้งสุดท้าย ยามขึ้นรถท่วงท่าเด็ดเดี่ยว ไม่หันหลังกลับ
ไม่มีผู้เอ่ยวาจาแลไม่มีผู้หลั่งน้ำตา ยามความตายกลายเป็นการกระทำส่วนรวม ความหวาดกลัวและความกดดันแต่เดิมทีของความตายจะกลับกลายเป็นความสงบเงียบ สิ่งที่หลงเหลืออยู่มีเพียงเส้นทางสายนั้น พอหลับตา เดินไปถึงปลายทาง ยามลืมตาอีกครั้งอาจจะเป็นชีวิตใหม่
“รถของข้าคล้ายจะใหม่ไปหน่อย” ซังต้งคล้ายยังเลือกรถอยู่ เอ่ยสืบต่อว่า “ข้าหวังว่าจะไปถึงตำหนักอวี้จ้าวได้ ชนทะลุเป็นรูหนึ่งบนท้องกงอิ้นกับคนเลวทรามนั้น ฉะนั้นหากรถไม่ค่อยสะดุดตาเกินไปน่าจะดีกว่า”
จิ่งเหิงปัวใจหายแวบอีกครั้ง
ซวยแล้ว!
ดังคาดการณ์ ระหว่างพริบตาต่อมา ซังต้งหันกายอย่างอย่างเป็นธรรมชาติ มองไปทางรถม้าที่เก่าผุพังไม่สะดุดตาข้างหลังคันนี้ เอ่ยว่า “เช่นนั้นคันนี้แล้วกัน”
พอถึงตอนนี้จิ่งเหิงปัวกลับไม่ตึงเครียดแล้ว กัดฟันกุมกริชไว้แน่น
ยามนี้ทุกคนต่างขึ้นสู่รถม้าแล้ว แยกย้ายกันไปพลีชีพตามเส้นทางที่ตระเตรียมไว้แล้วล่วงหน้า ในเมื่อเป็นการตระเตรียมไปสิ้นชีพคงไม่เอ่ยถึงปกป้องอะไรหรือไม่แล้ว องครักษ์ของซังต้งบางคนแทรกเข้าไปในรถม้าคันอื่น บางคนนั่งอยู่บนแอกรถของรถม้าคันนี้ ทุกคนต่างเก็บรักษาเปลวเพลิงของตนไว้ด้วยกัน เหน็บไว้ข้างแอกรถตรงพนักท้าวแขนอย่างระมัดระวัง
จิ่งเหิงปัวร้อนใจดั่งไฟแผดเผา นางนึกไม่ถึงว่าคนเหล่านี้จะลงมือกันเร็วขนาดนี้เด็ดเดี่ยวแน่วแน่ขนาดนี้ นางเพียงคนเดียวจะหยุดยั้งรถม้าแห่งความตายหลายเส้นทางนี้ได้อย่างไร?
พอคิดว่ารถม้าเหล่านี้แล่นสู่ฝูงชน ระเบิดไปตลอดทาง เลือดเนื้อเหินว่อน ทะเลเพลิงทั่วท้องฟ้า เสียงกรีดร้องพุ่งขึ้นไปถึงปลายเมฆ…นางก็อดจะสั่นเทิ้มไม่ได้…ภัยพิบัติครั้งใหญ่แห่งตี้เกอครั้งนี้จะกลายเป็นเคราะห์กรรมที่นางก่อขึ้น!
ม่านสะบัดเพียงครั้ง ซังต้งขึ้นรถมา
จิ่งเหิงปัวใช้มีดแทงออกไป!
“กรี๊ด” เสียงกรีดร้องเสียงหนึ่งดังขึ้น เสียงของซังต้งเปี่ยมด้วยความสิ้นหวังและความตกตะลึง นึกอย่างไรก็นึกไม่ถึงว่าจะถูกแทงเข้ากลางหน้าอกในยามนี้! ยังไม่ทันรอให้นางได้มองเห็นชัดเจนว่ามือสังหารคือผู้ใด จิ่งเหิงปัวได้เหยียบใบหน้าของนางวิ่งหนีออกไปแล้ว
ร่างนางเพิ่งออกจากรถ คว่ำมือแทงครั้งหนึ่ง แยกถุงที่มีหินเหล็กไฟอยู่เต็มที่ผูกไว้บนแอกรถออกมา ถุงร่วงลงพื้น นางพุ่งขึ้นไปเบื้องหน้า ข้างหลังมีผู้ตวาดว่า “หยุดนะ!” จากนั้นดังพลั่กเสียงหนึ่ง กระแสหมัดหนักหน่วงสายหนึ่งร่วงลงตรงหลังของนาง
จิ่งเหิงปัวรู้สึกเพียงแผ่นหลังดุจถูกหินก้อนมหึมากระแทกใส่ อวัยวะภายในร่างกายคล้ายย้ายตำแหน่งได้ในพริบตา อ้าปากร้องอึ่กเสียงหนึ่งกระอักเลือดออกมาอึกหนึ่ง เรือนร่างกลับไม่รั้งรอเลยแม้แต่น้อย คว้าถุงหินเหล็กไฟที่ใกล้จะร่วงพื้นไว้ในครั้งเดียว กะพริบวูบปรากฏไกลสามจั้ง
ร่างยังไม่ทันยืนตรง มือสะบัดเพียงครั้ง กระถางแตกใบหนึ่งบนพื้นลอยขึ้น กระแทกบนสายชนวนที่ใกล้จะลุกไหม้ถึงห้องข้างเคียงนั้นอย่างรุนแรง
ประกายเพลิงกะพริบหลายครั้งแต่ไม่ได้ดับลงทันที สายชนวนค่อนข้างหนา จิ่งเหิงปัวไม่มองด้วยซ้ำ สองมือกวัดแกว่งต่อเนื่องอย่างรวดเร็ว กระถางกระแทกบนสายชนวนดังเพล้งๆๆ ต่อเนื่องไม่หยุดหย่อน ประกายเพลิงกะพริบต่อเนื่องหลายครั้ง สุดท้ายแล้วจึงมอดลง
ข้างหลังแว่วเสียงตวาดโกรธเกลียดเคียดแค้นดังก้องว่า “ราชินี! คือราชินี! สังหารนาง! สังหารนาง!”
เสียงครืดๆ เสียงดังขึ้นรวดเร็ว ท่าทางดุจเปี่ยมพลังมหาศาล รถม้าชนเข้ามาทางหลังกายนาง
พอจิ่งเหิงปัวหันหน้ากลับไปก็มองเห็นซังต้งที่บนหน้าอกเปรอะโลหิตพิงอยู่บนบนแอกรถ จ้องนางเขม็งอย่างเอาเป็นเอาตาย นัยน์ตาโกรธแค้น มือสองข้างที่ยื่นออกมาเปรอะเปื้อนโลหิตทั่ว อัปลักษณ์ดุจปีศาจหญิงที่หลบหนีออกมาจากนรก
ในขณะนี้จิ่งเหิงปัวยังหัวเราะฮิฮิครั้งหนึ่งได้
“ยายเฒ่า สภาพยามนี้ของเจ้าขี้เหร่ยิ่งนัก” ก่อนพริบตาหนึ่งที่รถม้าจะชนเข้ากับนาง เรือนร่างนางกะพริบวูบ สูญสลายหายไป
เหลือเพียงเสียงท้ายประโยคหนึ่ง สลายไปในอากาศ
“…นึกถึงยามเจ้านำใบหน้าอัปลักษณ์นี้ลงนรก ข้าล่ะดีใจจริงๆ ฮ่าๆๆ”
…
ซังต้งเบิกตากว้าง มองเบื้องหน้าที่ว่างเปล่าในพริบตา ล้มลงบนแอกรถอย่างไร้เรี่ยวแรง
เหล่าองครักษ์เบิกตากว้าง พึมพำว่า “ปีศาจ…ปีศาจ…”
“ไม่ต้องห่วงยุ้งฉางแล้ว…ไป…ไป…” ซังต้งฝืนค้ำยันเรือนร่างขึ้น ฝ่ามือคว้าแอกรถไว้ รอยฝ่ามือเปื้อนโลหิตชุ่มโชกรอยหนึ่ง เอ่ยว่า “ข้าจะไปตำหนักอวี้จ้าว ไปเผาพวกเขาโดยพลัน! ข้าจะให้นางรับรู้ว่าเรื่องนี้คือเคราะห์กรรมของนาง…เคราะห์กรรมของนาง!”
…
ที่นี่คือยุ้งฉางหลวงที่ตั้งอยู่ทางเหนือของเมือง มีทางแยกทั้งหมดสามสายทางมุ่งสู่ใจกลางนครได้ เมื่อเรือนร่างของจิ่งเหิงปัวกะพริบวูบปรากฏบนพื้นถนน ในขณะเดียวกันมองเห็นรถม้าที่ทะยานออกไปบนถนนสามสาย ถนนทุกสายมีรถม้าอย่างน้อยที่สุดสามคันขึ้นไป
“ซวยแล้ว” จิ่งเหิงปัวเกือบจะดึงผมยาวสุดที่รักจนขาด ร้องว่า “เส้นทางเยอะขนาดนี้ จะไล่ตามไปอย่างไร?”
บนถนนมีคนอยู่ ทั้งพ่อค้าคนเดินถนน ต่างคนต่างกระทำธุระของตนเอง ไม่มีใครสนใจมองรถม้าที่แล่นไปอย่างรวดเร็ว บริเวณนี้มียุ้งฉาง วันไหนบ้างที่บนถนนไม่มีขบวนรถหลายคันแล่นผ่าน?
จิ่งเหิงปัวครุ่นคิดอยู่ชั่วครู่ โก่งคอร้องตะโกนว่า “มีคนปล้นยุ้งฉางแล้ว!”
ไม่มีใครสนใจ
จิ่งเหิงปัวกลัดกลุ้ม ปล้นยุ้งฉางยังไม่มีใครสนใจ? ไม่ได้บอกว่าเสบียงอาหารเป็นชีวิตจิตใจของราษฎรเหรอ?
ผู้เฒ่าคนหนึ่งเดินโซซัดโซเซผ่านมา มองนางที่หน้าตามอมแมมอย่างสงสารปราดหนึ่ง ส่ายหน้าถอนใจ เอ่ยว่า “หน้าตาก็สะสวย เสียดายว่าสมองเลอะเลือน”
“เฮ้ตาแก่เจ้าเอ่ยให้ชัดเจนสิ” จิ่งเหิงปัวดึงเขาไว้ กล่าวว่า “เหตุใดเอ่ยว่าปล้นยุ้งฉางถึงสมองเลอะเลือน? มีคนปล้นยุ้งฉางจริงนะ!”
“มองให้ดีสิ สามแห่งทางนี้เป็นยุ้งฉางเปล่าทั้งนั้น ยุ้งฉางของจริงที่มีเสบียงเต็มอยู่ทางนั้น” ผู้เฒ่าชี้ไปยังเบื้องหน้า สิ่งปลูกสร้างที่สูงใหญ่มีรั้วไม้ทอดยาวตรงนั้น มองเห็นโกดังข้าวสูงตระหง่านได้รำไร
“หากมีคนปล้นยุ้งฉางจริง คงไม่ใช่ตะโกนอยู่ตรงนี้ อีกทั้งทางนั้นมีทหารทัพใหญ่เฝ้าดูแล ควรโวยวายออกมานานแล้ว จะยังปลอดภัยไร้กังวลขนาดนี้ได้หรือ?” ผู้เฒ่าถลึงตาใส่นางปราดหนึ่ง ถลกแขนเสื้อเดินจากไปแล้ว
จิ่งเหิงปัวมองไปยังตำแหน่งนั้น ยุ้งฉางที่ซังต้งชุมนุมลูกน้องคือยุ้งฉางร้างจริง ห่างจากยุ้งฉางใหม่ช่วงหนึ่ง แต่พอมองให้ละเอียด มีส่วนหนึ่งอยู่ใกล้กันค่อนข้างมาก ฉะนั้นซังต้งให้คนขุดร่องลับใต้ยุ้งฉางเก่าแล้วฝังวัตถุไวไฟ จากนั้นใช้สายชนวนทะลุผ่านร่องลับไปเผายุ้งฉางทางนั้น
ทำแบบนี้ต้องมีเงื่อนไขแรก นั่นคือยุ้งฉางใหม่ทางนั้นมีสายลับ!
แต่ตอนนี้จิ่งเหิงปัวก็ไม่ทันได้สืบหาว่ายุ้งฉางนั้นมีอะไรซ่อนอยู่แล้ว รถม้าแล่นออกจากทัศนวิสัยแล้ว ขับรถสักสิบห้านาทีกว่าคงจะไปถึงใจกลางตี้เกอได้ ตอนนั้นก็คือโศกนาฏกรรมเลือดเนื้อเหินว่อน นางไม่มีเวลาแล้ว
จิ่งเหิงปัวครุ่นคิดอยู่ชั่วครู่ เงยหน้ามองดู ทางนี้ห่างจากประตูเป่ยเหยี่ยไม่ไกล ประตูเป่ยเหยี่ยใกล้กับเขาเป่ยเหยี่ย คุณชายลูกท่านหลานเธอลูกหลานคนรวยจำนวนมากออกไปล่าสัตว์จากประตูนี้ ตอนนี้น่าจะเป็นเวลาที่กลับมาพอดี คนเหล่านี้มีวรยุทธนิดหน่อย มียานพาหนะ เป็นตัวเลือกที่ดีที่สุดในการกอบกู้ภัยพิบัติครั้งนี้
โชคดีที่ได้การสั่งสอนของกงอิ้น ให้ราชินีที่มีโอกาสออกจากวังน้อยมากแบบนางนี้ รู้ภูมิประเทศทัศนียภาพของตี้เกอแจ่มแจ้งดุจนิ้วบนฝ่ามือ
นางเช็ดใบหน้าครั้งหนึ่ง ตอนที่ยกมือสะเทือนถึงผืนอก หน้าอกพลันเจ็บปวดคอหอยพลันหวานชื่น นางแอบกลืนของเหลวบางชนิดลงไป พึมพำเสียงหนึ่ง “เสียเปรียบแฮะ” เยื้องกรายยักย้ายไปถึงริมทาง ทำท่วงท่าอักษรเอสที่เชื้อเชิญเพริศพริ้ง
โฉมงามเพริศพริ้งขนาดนี้ ท่วงท่ายั่วยวนขนาดนี้ คงจะทำให้พวกโง่เง่าบ้ากามกลุ่มนั้นหยุดฝีเท้าได้ล่ะมั้ง?
สายัณห์เริ่มสาดแสงนวล นกกาหวนร้องยามเย็น บริเวณประตูเป่ยเหยี่ยค่อยๆ มีคนหลั่งไหลมากขึ้น ผู้ออกล่าสัตว์กลับมาแล้ว
รถม้ากลุ่มหนึ่งปรากฏขึ้นบนเส้นขอบฟ้า แล่นมาอย่างรวดเร็ว
จิ่งเหิงปัวดีอกดีใจ ยกมือเชื่องช้า ร้องว่า “ไฮ…”
ฝุ่นธุลีผืนใหญ่ผืนหนึ่งพุ่งเข้าปะทะใบหน้า พ่น “ไฮ” ของท่วงท่าเปี่ยมล้นมนตร์เสน่ห์นั้นกับความงดงามกระชากวิญญาณนั้นของนางกลับมา ม้าตัวใหญ่แข็งแรงเหล่านั้นผ่านข้างกายนางประหนึ่งสายลมแล้ว แววตาของทหารม้าตรงแน่วตลอดทาง ไม่ได้มองนางสักปราดเดียวด้วยซ้ำ
“ไอ้เวรเอ้ย มีตาบ้างหรือเปล่าเนี่ย!” จิ่งเหิงปัวถุยดินในปากทิ้งอย่างโกรธเคือง ขยับเยื้อนท่วงท่าอีกครั้ง รอคอยความช่วยเหลือระลอกต่อไป
รถม้ากลุ่มใหญ่กลุ่มหนึ่งแล่นผ่านมาอีกครั้ง
รถม้ากลุ่มใหญ่กลุ่มหนึ่งแล่นผ่านไปอีกครั้ง
รถม้ากลุ่มใหญ่กลุ่มหนึ่งแล่นผ่านมาอีกครั้ง
รถม้ากลุ่มใหญ่กลุ่มหนึ่งแล่นผ่านไปอีกครั้ง