เขาสั่งให้ข้าเป็นราชินี [ส่วนที่ 1] - ตอนที่ 67 - 3 กอบกู้ตี้เกอ
“โว้ยๆๆๆ ทำไมพวกเขาไม่หยุด!” จิ่งเหิงปัวบ้าคลั่ง
“ได้ยินว่าคนสำคัญหลงทาง ยามเย็นนี้จะห้ามออกนอกบ้านยามวิกาลล่วงหน้า รีบเร่งกลับไป มิเช่นนั้นเจอการตรวจสอบจะเป็นเรื่องยุ่งยาก…” ไกลโพ้นมีเสียงคนแว่วมา
“หา? คนสำคัญบ้าบออะไรหลงทางแล้วต้องให้ห้ามออกนอกบ้านยามวิกาลล่วงหน้าทั้งเมือง?”จิ่งเหิงปัวด่าโพล่งอย่างวุ่นวายใจว่า “ขอให้เขาประจำเดือนมาทุกวันเลย!”
หลังจากด่าเสร็จแล้ว ถึงรู้สึกว่าเหมือนจะมีอะไรผิดปกติ?
…
“ไม่หยุด ไม่หยุดสักคัน…” ผ่านไปสามคันติดต่อกันยังไม่หยุด จิ่งเหิงปัวมองดูท้องฟ้า ตระเตรียมใช้ไพ่ตาย
กำลังทหารอีกกองหนึ่งผ่านมาแล้ว ทหารม้าข้างหน้าพุ่งมาอย่างรวดเร็ว
“ยิ้มหยาดเยิ้มไม่เอา งั้นเอาก้อนหินไปเถอะ!” จิ่งเหิงปัวแกว่งมือครั้งหนึ่ง หินก้อนหนึ่งลอยขึ้นจากพื้น เขวี้ยงไปทางขาม้าของทหารม้าที่อยู่ข้างหน้าที่สุด
“อมิตพุทธ สีกา กระทำเช่นนี้ไม่ถูกต้อง” เสียงหนึ่งดังขึ้นข้างหูนางกะทันหัน เอ่ยอย่างนุ่มนวลเงียบสงบซ้ำยังเจื้อยแจ้วว่า “เจ้าจะใช้ก้อนหินเขวี้ยงขาม้าหรือ? มุมนี้ของเจ้าในยามนี้ พอลองเทียบแล้วเขวี้ยงโดนขาม้าได้ เอียงไปสามเฟินจะเขวี้ยงโดนขาที่สอง เอียงอีกสามเฟินจะเขวี้ยงโดนขาที่สาม เอ่ยอีกอย่างหนึ่งคือไม่ว่าเจ้าจะเขวี้ยงอย่างไร ขาของม้าตัวนี้จะถูกเจ้าเขวี้ยงจนหัก เจ้าไม่รู้สึกว่าโหดร้ายเกินไปหรือ…”
“เอ่ยจุกจิกอีกพี่จะเขวี้ยงขาที่สามของเจ้าให้หัก!” จิ่งเหิงปัวไม่มองด้วยซ้ำ ผลักปากที่เอ่ยเจื้อยแจ้วนั้นออกไปในฝ่ามือเดียว มือแกว่งครั้งหนึ่ง
ก้อนหินลอยออกไปกำลังจะเขวี้ยงโดนขาม้า
เจ้าคนข้างกายพลันถอนหายใจ กวักมือเพียงครั้ง
จิ่งเหิงปัวเบิกตาโพลงมองดูก้อนหินพลันเลี้ยวโค้งเก้าสิบองศาขณะห่างจากขาม้าศูนย์จุดศูนย์หนึ่งเซนติเมตรแล้วลอยสู่ข้างพงหญ้าริมทาง
นางหันหน้ามาจ้องมองเจ้าคนข้างกายคนนั้น
นึกว่าเป็นพระ แท้จริงแล้วไม่ใช่พระ
เบื้องหน้าคือผู้อ่อนวัยหน้าตาหล่อเหลาเกลี้ยงเกลาสะอาดสะอ้านคนหนึ่ง ท่าทางใสซื่อ รอยยิ้มไร้เดียงสา มองครั้งแรกรู้สึกคล้ายอีชีเล็กน้อย พอมองอีกครั้งไม่ได้หล่อเหลาเท่าอีชีแต่แลดูถูกชะตากว่าอีชี โดยเฉพาะดวงตาบริสุทธิ์สองข้างบนใบหน้ามีแสงครั่นครื้น ดูท่าทางอ่อนโยนและบริสุทธิ์ศักดิ์สิทธิ์
ไม่ใช่พระทำไมต้องเอ่ยว่าอมิตพุทธให้มากมาย? จิ่งเหิงปัวอยากจะดึงหูโปร่งแสงของเขามาตวาดสักรอบจังเลย
แต่จากนั้นสายตาของนางทอดลงบนก้อนหินที่ใช้เป็นอาวุธก้อนนั้น ก้อนหินยังคงล่องลอยอยู่ พระปลอมกวักนิ้วมือคล้ายจูงมือของคนรัก วางก้อนหินลงบนพื้นอย่างระมัดระวัง จวบจนวางได้มั่นคงสงบนิ่งแล้วถึงหันหน้าถามจิ่งเหิงปัวอย่างสนิทสนมว่า “อมิตพุทธ ขอถามไถ่สิ่งใดเรียกว่าขาที่สามของอาตมา อาตมาไม่มีเป็นแน่…”
“ไต้ซือ!” จิ่งเหิงปัวคว้ามือของเขาไว้ในครั้งเดียว กล่าวว่า “ท่านห่วงใยโลกหล้าใช่หรือไม่? ท่านโปรดสรรพชีวิตให้พ้นทุกข์ใช่หรือไม่? ท่านจะกระทำเรื่องราวทุกสิ่งที่สามารถทำได้อย่างกระตือรือร้นเบื้องหน้าภยันตรายใช่หรือไม่?”
พระปลอมคล้ายถูกนางทำให้ตกใจ พยักหน้าอย่างเหม่อลอยแล้วหลุบตาลง เอ่ยอย่างขวยอายว่า “สีกาเจ้าแตะต้องผิวกายของอาตมาแล้ว…”
จิ่งเหิงปัวรู้สึกว่าประโยคนี้คล้ายมีความละมุนละไมเล็กน้อย? การใช้คำของพระปลอมเหมาะเจาะทีเดียว แต่ตอนนี้ไม่ทันได้พะว้าพะวังมากมายขนาดนั้นแล้ว จูงมือของเขาประชิดอ้อมอกของตนเองในครั้งเดียว กล่าวว่า “ท่านต่างหากที่แตะต้องผิวกายข้า! ท่านยังจับหน้าอกข้าอีก! ท่านมันพระลามก! หากท่านไม่ทำตามที่ข้าเอ่ย ข้าจะไปฟ้องศาล ให้ชื่อเสียงท่านพังทลาย ตายแล้วไร้ที่ฝังร่าง!”
พระปลอมคล้ายตกอกตกใจ ก้มหน้าอย่างขวยอายยิ่งขึ้น กระซิบกระซาบว่า “ทำเช่นนี้ดีหรือไม่สีกา อาตมาไม่กล้าลวนลามเจ้า ต้องการสิ่งใดจงสั่งการมาเถิด…”
เขาขวยอายอย่างบริสุทธิ์ ทว่าไม่ชักมือกลับไปตั้งแต่เริ่มต้นจนจบ นิ้วมือยังลองขยับเขยื้อนอย่างเงียบเชียบ
“ก็ดี” จิ่งเหิงปัวผลักมือของเขาออกไปในทันที กล่าวว่า “ท่านไปไล่ตามรถม้าสามคันตามเส้นทางตรงกลางนี้ ต่างเป็นรถม้าเก่า สีดำเทา มีกลิ่นแปลกประหลาด พอไล่ตามทันแล้วทำลายหินเหล็กไฟในถุงบนแอกรถให้สิ้นก่อน จำไว้ว่าทำลายให้สิ้น จากนั้นจะให้ดีจงทำลายรถม้าด้วย ส่วนคนบนรถม้าจับเป็นได้ก็จับเป็น จับเป็นไม่ได้ก็ช่างเถิด จำไว้ว่าอย่าเสียเวลากับรถม้าคันหนึ่งมากเกินไป จะต้องขวางรถม้าทั้งสามคันไว้ให้ได้! อย่าได้ลืมเชียวนะ! เรื่องนี้เกี่ยวพันกับชีวิตของราษฎรทั่วทั้งตี้เกอ!”
“โอ้ๆ” พระปลอมพยักหน้าอย่างต่อเนื่อง สายตามองดูมือที่ถูกผลักออกมาของตนเองอย่างอาลัยอาวรณ์
“ฝากด้วยล่ะ!” จิ่งเหิงปัวยังไม่ค่อยวางใจเจ้าคนที่ดูคล้ายจะไว้ใจได้มากแต่รู้สึกว่าไม่เข้าท่าคนนี้มากเท่าไร จำต้องเพิ่มรางวัลพิเศษเข้าไปอีกว่า “หากท่านทำเรื่องนี้ได้ดี ข้าจะรับปากท่านข้อหนึ่ง!”
“ได้!” ดวงตาของพระปลอมสว่างวูบ คราวนี้รับปากอย่างสบายใจ
เขาหันกายจากไป แขนเสื้อใหญ่ลอยล่อง พริบตาเดียวเฉียดออกไปหลายจั้ง จิ่งเหิงปัววางใจขึ้นมาหน่อยแล้ว พ่นลมหายใจยาวเฮือกหนึ่ง เจ้าคนนี้ดูท่าทางไม่เข้าท่าแต่ว่าฝีมือน่ะจริงแท้แน่นอน ให้ไล่ตามรถม้าสามคันนั้น มีความหวัง!
พระปลอมเหินออกไปหลายจั้ง เกาศีรษะ หันหน้ากลับมามองดูทางจิ่งเหิงปัว หรี่ตาขึ้นพลางขยับนิ้วมือไปมา
เฮ้อ ลื่นนัก นุ่มนัก อวบอิ่มนัก…
“ศิษย์พี่ใหญ่เอ่ยว่านางน่าสนุกนัก ข้าเห็นชัดว่าใหญ่นัก อา ใหญ่จริงยิ่งนัก…”
ครู่หนึ่งนี้บนใบหน้าบริสุทธิ์ศักดิ์สิทธิ์ของพระปลอมผุดเผยรอยยิ้มอัปลักษณ์ที่บริสุทธิ์ศักดิ์สิทธิ์…
…
“ไม่ใช่พระแสร้งจิตใจสะอาดผ่องใสทำอะไร ถุ้ย!” จิ่งเหิงปัวมองพระเดินจากไปแล้วถึงถุ้ยเสียงหนึ่ง มองเห็นมีกองคาราวานม้าวิ่งห้อมาอีกครั้ง แกว่งมือครั้งหนึ่ง ก้อนหินเมื่อครู่นั้นลอยขึ้นอีกครั้ง
“ไป!”
ก้อนหินสะเทือนเลือนลั่น เขวี้ยงไปทางร่างม้าของทหารม้าที่อยู่ข้างหน้าสุด
“ฮี่…” เสียงคำรามยืดยาวเสียงหนึ่ง ม้าพันธุ์ดีเชิดร่างขึ้นเท่าคนยืน กีบเท้าใหญ่เท่าถ้วยเชิดขึ้นกลางอากาศ ทหารม้าสวมชุดสีเหลืองคล่องแคล่วบนหลังม้าเหินกายงดงามครั้งหนึ่ง ทะยานขึ้นพลิกกายลง มือคว้าหินก้อนนั้นไว้ในครั้งเดียว ลูบปลอบโยนม้าสุดรักไปพลาง หันหน้าตวาดไปพลางว่า “ผู้ใดจู่โจมมั่วซั่ว!”
“ข้า!” เสียงของจิ่งเหิงปัวก้องกังวานหนักแน่นกว่าเขา
คนคนนั้นลงพื้น ท่วงท่าล่องลอย พอยืนมั่นคงสันหลังตรงแน่ว ท่าทางห้าวหาญปานบุรุษนั้น จิ่งเหิงปัวมองดูแล้วอดจะกู่ร้องด้วยความยินดีเสียงหนึ่งในใจไม่ได้
ยามเขาหันหน้ามาสีหน้าเปี่ยมด้วยความโกรธเคือง พอมองเห็นใบหน้าของจิ่งเหิงปัวจนชัดเจน อดจะชะงักไม่ได้
จิ่งเหิงปัวยังกำลังใคร่ครวญว่าวิธีกล่าวแบบไหนถึงทำให้เจ้าคนนี้ช่วยเหลือโดยไม่พูดไม่จาแม้แต่คำเดียว ไม่คิดว่าคนคนนั้นจะเอ่ยปากก่อนว่า “แม่นาง ที่แท้เป็นเจ้านี่เอง!”
“อ๊ะ เจ้ารู้จักข้าหรือ?” จิ่งเหิงปัวรู้สึกประหลาดใจ
บุรุษยิ้มแย้ม เอ่ยว่า “หลายวันก่อนแม่นางสวมกระโปรงหลากสีมหัศจรรย์ชุดหนึ่ง เคยปรากฏกายที่ถนนใหญ่จิ่วกงใช่หรือไม่?”
คราวนี้จิ่งเหิงปัวประหลาดใจขึ้นมาจริงแล้ว กล่าวว่า “เรื่องนี้เจ้าจำได้ด้วยหรือ?”
เรื่องที่เขาเอ่ยคือครั้งที่นางสวมกระโปรงยาวโบฮีเมียเดินแฟชั่นโชว์ที่ถนนใหญ่จิ่วกงครั้งนั้นล่ะมั้ง? แต่ครั้งนั้นนางสวมหมวกปีกกว้างด้วย คนคนนี้จำนางได้ได้อย่างไร?
“วันนั้นแม่นางแต่งกายโดดเด่นยิ่งนัก ท่วงท่างามเลิศล้ำ ทำให้คนใฝ่หา เห็นแล้วยากลืมเลือน” บุรุษยิ้มแย้มด้วยความจริงใจ เอ่ยสืบต่อว่า “วันนี้พอได้พบจึงจำได้ ยังหวังให้แม่นางโกรธเคืองผู้ต่ำต้อยโทษฐานล่วงเกิน”
จิ่งเหิงปัวประทับใจคนคนนี้มาก
นางหน้าตาดีมาแต่ไหนแต่ไร เคยชินกับแววตาตะลึงพรึงเพริดของคนอื่น แต่ก่อนแววตาเหล่านั้น ในความตื่นตะลึงมักจะเจือด้วยกลิ่นอายความหยาบโลนหลายส่วน อย่างน้อยที่สุดยังเปี่ยมด้วยความรู้สึกอยากครอบครอง หลบๆ ซ่อนๆ กล้ามองแต่ไม่กล้ารับ แต่คนเบื้องหน้าคนนี้มองตรงมาที่นางแล้วชื่นชมอย่างจริงใจ ไม่ได้ปิดบังความชื่นชมของเขาเลยแม้แต่น้อย สายตาโอบอ้อมอารีและบริสุทธิ์
ประกอบกับลักษณะหน้าตาที่แม้ไม่นับว่าหล่อเหลาที่สุด แต่ท่าทางสง่าผ่าเผยมีกลิ่นอายของผู้ชายอย่างมากของเขา ย่อมทำให้คนเกิดความรู้สึกดีในใจได้ง่ายอย่างยิ่ง
“ขอบใจ” นางแย้มยิ้มพริ้มพราย กล่าวว่า “เช่นนั้นเจ้าช่วยเหลือข้าสักเรื่องได้หรือไม่?”
“เชิญเอ่ย”
“ไปไล่ตามรถม้าหลายคันนั้นแทนข้า” จิ่งเหิงปัวชี้ไปยังเส้นทางทางขวาสายหนึ่ง นำคำขอร้องที่กล่าวกับพระปลอมบอกเขารอบหนึ่ง จบแล้วยังเสริมน้ำเสียงกำชับประโยคหนึ่งว่า “เรื่องนี้เป็นเรื่องใหญ่เกี่ยวพันความเป็นความตาย ยามนี้ข้าไม่มีเวลาว่างอธิบาย สรุปคือรบกวนด้วย!”
“ได้” บุรุษพยักหน้าอย่างเด็ดเดี่ยวยิ่งนัก ไม่ถามสักประโยคเดียวด้วยซ้ำ พลันหันกายขึ้นม้า
“จริงสิ!” เดิมทีจิ่งเหิงปัวยังลังเลว่าจะขอให้เขาช่วยแจ้งข่าวดีไหม เห็นเขาตรงไปตรงมาขนาดนี้จึงเพิ่มไปอีกประโยคหนึ่งเสียเลยว่า “ยังขอให้เจ้าส่งลูกน้องสักคนไปยังตำหนักอวี้จ้าวขอพบราชครูฝ่ายขวา เอ่ยว่าต้าปัวไปช่วยดับไฟไหม้แล้ว ระวังรถม้าสีดำในเส้นทางจิ่วกง ตรอกหลิวหลีและฉังจิ่งสามสายนี้!”
“ได้” บุรุษยังคงไม่ได้ถามมากมาย โบกมือเพียงครั้งเรียกลูกน้องคนหนึ่ง โยนป้ายหนึ่งอันให้เขาแล้วเอ่ยว่า “เจ้าไปทำ!” จากนั้นยกมือคำนับจิ่งเหิงปัว ร้องเรียกเสียงหนึ่งว่า “ไป!” นำพาเหล่าผู้ใต้บัญชาควบอาชาทอดยาวดุจมังกรจากไป
จิ่งเหิงปัวมองออกว่าใต้สะโพกเขาคือม้าพันธุ์ดี ถอนหายใจเสียงหนึ่ง หากโชคดีคงจะทันเวลา
นางลูบใบหน้า นึกถึงเรื่องหนึ่งขึ้นมากะทันหัน การไปตำหนักอวี้จ้าวขอพบกงอิ้นคงไม่ใช่เรื่องที่คนธรรมดาทำได้ กงอิ้นก็คงไม่อาจให้เข้าพบได้ทุกคน ทำไมคนคนนี้ไม่มีสีหน้ายุ่งยากแม้แต่เศษเสี้ยวด้วยซ้ำ พลันรับปากไว้แล้ว?
เห็นเขาแต่งกายเรียบง่ายธรรมดา มองไม่ออกจริงๆ ว่าเป็นคุณชายลูกท่านหลานเธอมีฐานะอะไร
ตอนนี้ยังเหลืออีกเส้นทางหนึ่ง นางหันหน้ามองดูทางประตูเมือง แสงสายัณห์ห้อมล้อม ประตูเมืองน่าจะปิดแล้ว คนเดินถนนบนถนนกำลังน้อยลง คงจะไม่มีใครผ่านมาอีกแล้ว
ดูท่าทาง ตนเองจำต้องเข้าสู่สนามรบแล้ว
ขณะนี้จิ่งเหิงปัวเพิ่งรู้สึกเจ็บปวดหน้าอก กุมหน้าอกไว้ไอสองครั้ง พึมพำว่า “ไอ้เวรเอ้ย การเป็นราชินีเช่นข้านี้จะลำบากเกินไปแล้ว ควรจะมอบเครื่องราชอิสริยาภรณ์…”
แสงนภามืดมนลงเชื่องช้า ครู่หนึ่งนั้นที่แสงเงาเมฆเรืองรองสูญสลาย เงาร่างนางหายวับดังสวบ
รอยโลหิตหลายหยดปรากฏบนพื้น