เขาสั่งให้ข้าเป็นราชินี [ส่วนที่ 1] - ตอนที่ 68 - 3 ราชินีโหดร้าย
จิ่งเหิงปัวกรีดร้องด้วยเพราะมองเห็นรถม้าที่ตนเองไล่ตามมาโดยตลอดคันนั้นมาถึงแล้ว!
รถม้าสีดำเทาปรากฏจากโค้งนั้นของทางสามแยกดุจดั่งภูตพราย พุ่งตรงมายังใต้สะพานนี้ที่ซึ่งคึกคักที่สุด
จิ่งเหิงปัวไม่ทันได้คิดมากมาย เรือนร่างกะพริบวูบออกจากรถม้า พอกะพริบวูบอีกครั้ง มาถึงบนรถม้าสีดำเทาที่พุ่งมาคันนั้นแล้ว
สารถีที่อยู่บนรถม้ากำลังใช้สมาธิทั้งหมดตั้งใจแล่นไปยังเป้าหมาย ตระเตรียมจุดเพลิงใต้สะพานอวี้ไต้ที่มีผู้คนหนาแน่นที่สุด พลันรู้สึกว่าข้างกายผิดปกติ พอหันหน้าก็มองเห็นจิ่งเหิงปัว
ในใจจิ่งเหิงปัวพลันกระตุกวูบ
นางกลับมองไม่เห็นความประหลาดใจในนัยน์ตาของฝ่ายตรงข้าม!
แย่แล้ว ฝ่ายตรงข้ามเตรียมพร้อมป้องกัน!
ความคิดนี้ยังไม่ทันแล่นเสร็จ ข้างหลังพลันดัง “ฟิ้ว” เสียงหนึ่ง เป็นกระแสหมัดที่คนปลดปล่อยออกมา สายลมรุนแรง!
จิ่งเหิงปัวหายไปดังสวบแล้ว
พริบตาต่อมานางอยู่ใต้ท้องรถด้วยท่าทางกระหืดกระหอบ มองเห็นรถม้าเฉียดผ่านกายไปแล้ว ผ้าม่านบนรถสะบัดเพียงครั้ง ดวงตาเย็นชาคู่หนึ่งจ้องมองนางอย่างตักเตือน
จิ่งเหิงปัวมองดูดวงตาของคนคนนั้นอย่างมึนงง ไม่เข้าใจว่าทำไมคนเหล่านี้ตัดสินใจพลีชีพแน่วแน่ขนาดนั้นได้ ตระกูลซังมีพลังอำนาจมากขนาดนี้เชียวเหรอ? หรือแท้จริงแล้วพลกล้าตายเหล่านี้มีความลำบากใจอย่างอื่น?
รถแล่นครืนครืนไปเบื้องหน้า เร่งรุดไปข้างหน้า
นางชะงักเพียงพริบตาเดียว จากนั้นย่ำเท้าครั้งหนึ่ง เรือนร่างกะพริบวูบอีกครั้ง
ครู่ต่อมานางปรากฏกายใต้สะพาน เบื้องหน้าฝูงชน
คนบนรถม้าเตรียมพร้อมป้องกันแล้ว นางยากจะขัดขวางอย่างยิ่ง ถ้าอย่างนั้นมีแต่ต้องรีบเร่งแจ้งราษฎร
“หลีกไป! หลีกไป!” นางเผชิญหน้าฝูงชน ตะโกนเสียงดังลั่นว่า “ประเดี๋ยวจะมีอันตราย หลีกไปหลีกไป!”
เสียงตะโกนของนางถูกกลบกลืนในเสียงร้องตะโกนสับสนวุ่นวาย ราษฎรกำลังถูกคุณชายไม่ได้รับเชิญใต้สะพานฝูงนั้นขับไล่จนแยกย้ายกันไปทั่วสารทิศ จะมีคนสนใจเสียงร้องตะโกนของนางเสียงที่ไหน
จิ่งเหิงปัวกลับวางใจขึ้นมาเล็กน้อย ด้วยเพราะนางพบว่าเมื่อราษฎรถูกขับไล่ให้ลงจากสะพาน คนมากมายแยกย้ายกันไปตามสองฝั่งสะพานโดยตรง ข้างสองฝั่งสะพานนั้นมีทางเท้าแยกออกมา รถม้าไม่มีทางแล่นขึ้นไปได้ แบบนี้หากรถม้าลุกไหม้ขึ้นมา พลังทำลายล้างจะไม่ยิ่งใหญ่ตามที่คาดการณ์ไว้
แต่ขอบเขตใต้สะพานนั้นถูกคุณชายผู้บัญชาการคนนั้นครอบครอง ถ้ารถม้าพุ่งเข้ามา คนดวงซวยจะเป็นคนเหล่านี้ แม้ว่าคนเหล่านี้นับเป็นพวกกากเดนทั้งนั้น แต่ไม่ว่าจะอย่างไรก็เป็นชีวิตคน นางยังตัดสินใจฝืนใจช่วยเหลือสักหน่อย
“พวกเจ้ารีบหลีกไปด้วย!” นางโบกมือให้คุณชายผู้บัญชาการนั้นที่นำหน้าฝูงชนนั้น ร้องว่า “ประเดี๋ยวจะมี…”
เหยียลี่ว์ฉีลงจากรถอีกฝั่งหนึ่งหวังจะเข้ามา ทว่าถูกราษฎรที่กระจัดกระจายไปคนละทิศทางขัดขวางไว้
“โย่ ตรงนั้นมีแม่สาวน้อย!” คุณชายผู้บัญชาการนั้นกลับมองเห็นจิ่งเหิงปัวแล้ว อย่างไรเสียท่ามกลางฝูงชนที่แยกย้ายไปข้างนอก คนที่เดินทวนกระแสผู้เดียวจะสะดุดตาเป็นพิเศษ
“โย่ แม่สาวน้อยนั้นกำลังกวักมือให้ข้าแน่ะ!” ผู้อ่อนวัยหล่อเหลานั้นมองเห็นหน้าตาของจิ่งเหิงปัวได้ชัดเจน ทว่าไม่ได้ฟังวาจาของนางให้ชัดเจน เห็นเพียงนางกวักมืออย่างร้อนใจ จิตใจเบิกบานฉับพลัน ชี้แส้เพียงครั้ง ร้องว่า “ฉุดนางมาให้ข้า!”
องครักษ์ฝูงหนึ่งพลันผลักฝูงชนออกแล้วพุ่งเข้าไปดุจพยัคฆ์ดั่งหมาป่า ร้องว่า “แม่สาวน้อย หยุดก่อน! คุณชายของพวกเราเรียกหาเจ้ามาชมทิวทัศน์แม่น้ำอวี้ไต้ด้วย!”
เสียงผู้คนสับสนวุ่นวาย จิ่งเหิงปัวฟังคำพูดของเจ้าคนเหล่านั้นได้ไม่ชัดเจนเช่นกัน มองเห็นแค่สีหน้านั้นก็รู้ว่าไม่ใช่เรื่องดี ขณะนี้นางไม่มีกะจิตกะใจจะสนใจเช่นกัน พอหันหน้ากลับมามองเห็นรถม้าพุ่งเข้ามาแล้วพอดี เผชิญกับราษฎรที่ถูกขับไล่จนเดินเหินผิดทิศทางกลุ่มหนึ่ง คนบนแอกรถกำลังยิ้มเยาะ ยกหินเหล็กไฟดำขลับในมือขึ้น แสงเพลิงกะพริบวูบ สะท้อนหน้าตาโกรธแค้นทรมานของเขา…
“เหยียลี่ว์ฉี!” นางไม่ทันได้ห่วงอะไรทั้งนั้นอีกแล้ว ใช้แรงทั้งหมดตะโกนว่า “ขวางเขาไว้!”
เดิมทีเหยียลี่ว์ฉีจะพุ่งเข้าไปหานาง ทว่าความระแวดระวังของผู้ฝึกวรยุทธ์ก็ทำให้เขากวาดสายตามองทั่วสารทิศ ในความเลือนรางก็รู้สึกว่ารถม้าคันนั้นผิดปกติ ได้ยินจิ่งเหิงปัวร้องเรียก พลันหยุดฝีเท้าหันกายพุ่งขึ้นกลางอากาศ
พลกล้าตายบนรถม้าไปถึงใจกลางฝูงชนในที่สุด มุมปากผุดเผยรอยยิ้มเยาะเย้ยสายหนึ่ง เหวี่ยงแสงเพลิงในมือลง!
ต้องการเพียงแสงเพลิงสายหนึ่ง รถม้าย่อมจะลุกไหม้โดยพลัน จากนั้นควบคุมใจกลางข้างในอัตโนมัติ จะกลายเป็นอาวุธสังหารตามใจไร้กฎเกณฑ์!
“พลั่ก” เงาคนสายหนึ่งพลันพุ่งเข้ามาปานกระสุนปืนใหญ่ ชนพลกล้าตายที่จุดไฟล้มลงดังพลั่กเสียงหนึ่ง งอเท้าครั้งหนึ่งเกี่ยวแอกรถไว้ หันกายดังฟิ้วเสียงหนึ่งปานกังหันลม มือคว้าเพียงครั้งคว้ากระบอกเชื้อไฟน้อยที่จุดไฟแล้วซึ่งใกล้จะร่วงลงบนตัวรถไว้
คนผู้นั้นพุ่งขึ้นมาจากใต้ท้องรถดังฟิ้ว สีหน้าเขียวคล้ำ คนผู้นั้นคือเหยียลี่ว์ฉี เขายังไม่ทันได้ยืนให้มั่นคงก็สะบัดแขนเสื้อครั้งหนึ่งในทันใด ตบพลกล้าตายสองคนที่วิ่งหนีออกมากลับไปดังเพียะๆ สองเสียง
เขาได้กลิ่นพิเศษของโคลนน้ำมันนั้นแล้ว เข้าใจในฉับพลันว่าจะเกิดเรื่องใดขึ้น แววตาเยือกเย็นเสียยิ่งกว่าน้ำแข็ง สองฝ่ามือนี้ลงมือเจือด้วยโทสะ ตบจนสองคนนั้นเลือดออกจมูกลุกขึ้นมาไม่ไหว
เงาคนกะพริบวูบ เหยียลี่ว์ฉีพุ่งเข้าไปในห้องโดยสารแล้วหิ้วสองคนนั้นขึ้น หนึ่งในนั้นยื่นมือไปข้างหลังด้วยอาการสั่นเทิ้ม เหยียลี่ว์ฉีผุดเผยสายตาเย็นชา ฝ่ามือหักเพียงครั้งดังกร๊อบเสียงหนึ่ง คนผู้นั้นกรีดร้องเสียงดังลั่น สายตามองดูข้อมือห้อยลงมาผิดรูปร่าง กระบอกเชื้อไฟที่แอบซุกซ่อนไว้กระบอกหนึ่งร่วงหล่นอย่างเงียบเชียบ
ปลายเท้าของเหยียลี่ว์ฉียกขึ้นครั้งหนึ่งรับกระบอกเชื้อไฟไว้บนหลังเท้า ใช้เท้าเตะลอยไปไกลโพ้น หันกลับมาสะบัดสองฝ่ามืออย่างไม่เกรงใจเลยแม้แต่น้อยอีกครั้ง ตบจนสองคนสลบไสลไปโดยไม่ได้แค่นเสียงด้วยซ้ำ
เหยียลี่ว์ฉีสืบค้นภายในรถอีกครั้ง หลังจากแน่ใจว่าไม่มีวัตถุจุดไฟใดแลไม่มีผู้ใดแอบก่อเรื่องได้อีก ถึงหิ้วเชลยไม่กี่คนลงจากรถ
เขายังไม่ทันได้ยืนให้มั่นคงก็ได้ยินเสียงกรีดร้อง จากนั้นเขาเงยหน้า สายตาเยือกเย็น
…
จิ่งเหิงปัวมองเห็นเหยียลี่ว์ฉีลงมือขวางเพลิงนั้นไว้ทันเวลา ถอนหายใจเฮือกหนึ่งในทันที รู้สึกเพียงว่าทั่วร่างผ่อนคลาย
ไม่เป็นไรแล้ว ไม่เป็นไรแล้ว
นี่คือรถคันที่สาม อีกสองเส้นทางข้างหน้าจนถึงตอนนี้ยังไม่มา คงจะถูกขวางไว้อย่างราบรื่นเช่นกัน มหันตภัยของราษฎรตี้เกอถูกกอบกู้แล้วในที่สุด
นอกเหนือจากความโล่งใจยังมีความเสียใจเล็กน้อย…เฮ้อ คราวนี้พี่ได้เป็นวีรบุรุษไร้นามครั้งหนึ่ง เสี่ยงเป็นเสี่ยงตายเพื่อราษฎรตี้เกอ สุดท้ายแล้วไม่มีใครรู้สักคน
แต่ก็เป็นแค่ความคิดเท่านั้น ถ้าใช้ชีวิตของราษฎรตี้เกอมาพิสูจน์การสร้างคุณูปการยิ่งใหญ่ของนางจริง นางคงไม่มีความสุข
มองดูเหล่าราษฎรค่อยๆ ฟื้นคืนความสงบเงียบในขณะนี้ นางรู้สึกพึงพอใจอย่างยิ่ง…ดูสิ พี่เป็นคนแย่งชิงความสงบสุขครั้งนี้มา!
พอผ่อนคลายแล้ว นางก็รู้สึกเจ็บปวดไปทั่วทั้งร่าง ครึ่งวันนี้ตึงเครียดเกินไปแล้ว นางบีบนวดแขน เพิ่งคิดจะเดินออกไป หัวไหล่เกร็งแน่นกะทันหันด้วยถูกนิ้วมือปานคีมเหล็กคว้าไว้อย่างรุนแรง นางหันกายกลับมาในทันที
ฝ่ายตรงข้ามใช้แรงมากเหลือเกิน นางรู้สึกว่ากระดูกหัวไหล่ต่างคล้ายจะแตกเป็นเสี่ยงๆ แล้ว ร้องโอ๊ยเสียงหนึ่งแล้วเงยหน้า มองเห็นใบหน้าที่คล้ายภูตผีปีศาจทั้งเปี่ยมด้วยความหยาบโลนหลายใบหน้า
“แม่สาวน้อย” คนที่นำหน้าคนหนึ่งพ่นกลิ่นเหม็นเต็มปากบนใบหน้านาง เอ่ยว่า “คุณชายจวนเราถูกใจเจ้าแล้ว ตามพวกเราไปอย่างว่าง่าย ชมดอกไม้มองพระจันทร์กับคุณชายจวนเรา เจ้าได้ประโยชน์แน่”
“ไปกับน้องสาวแกสิ” จิ่งเหิงปัวหันหน้าครั้งหนึ่งข้ามผ่านน้ำเสียงของเขา กล่าวอย่างรังเกียจว่า “ผู้ใดหน้าไหนมาจากที่ใดเนี่ย? หลีกไป!”
“ข้าว่าแม่นาง” ผู้อ่อนวัยสวมหมวกทองคำคนหนึ่งแหวกผ่านฝูงชน โบกพัดพับเชื่องช้าท่ามกลางอากาศเย็นสบาย เดินเตร่เข้ามาอย่างคิดเองเออเองว่าท่วงท่าทรงภูมิปัญญา เอ่ยว่า “เหตุใดต้องไร้เหตุผลขนาดนี้เล่า? ตัวข้าทะนุถนอมนวลนางมาแต่ไหนแต่ไร คงมิอาจแข็งใจใช้กำลังกับเจ้า พวกเรามาวิจารณ์ทิวทัศน์ของแม่น้ำอวี้ไต้แห่งนี้ เชยชมประกายเพลิงโชติช่วงในตรอกหลิวหลีด้วยกัน มิใช่เรื่องน่าอัศจรรย์หรือ?”
“หรือกับน้องสาวแกสิ” จิ่งเหิงปัวชำเลืองมองเขาแวบหนึ่งอย่างเกียจคร้าน กล่าวว่า “หน้าตาเหมือนกระถางดอกไม้ สีหน้าโคตรเสื่อม แมลงวันมองแล้วยังล้มหัวทิ่ม”
ด้วยหางตาเชิดขึ้นโดยกำเนิดของนาง กลอกตาขาวยังคล้ายชม้ายชายตา คุณชายผู้บัญชาการคนนั้นถูกนางยั่วเย้าจนคันยุบยิบในใจ แลไม่ได้สนใจฟังว่านางเอ่ยอะไร ยิ้มแย้มปรีดาใช้พัดพับไปเชยคางนาง เอ่ยว่า “แม่นาง ข้าเอ่ยว่าเจ้าไร้เหตุผลเจ้าย่อมไร้เหตุผล หากเจ้าไม่ได้อยากเรียกร้องความสนใจจากตัวข้า เมื่อครู่เหตุใดต้องทั้งกระโดดทั้งร้องเรียกทั้งกวักมืออยู่ทางนั้นเล่า?”
“นั่นข้าช่วยชีวิตน้อยๆ ของเจ้า ช่วยชีวิตน้อยๆ ของพวกเจ้า! ดูรถม้าสีดำคันนั้น หากชนเข้ามาจริงพวกเจ้าจบเห่กันหมดแล้ว!” จิ่งเหิงปัวรู้สึกหดหู่ว่าคนหลงตัวเองมีอยู่ทุกหนทุกแห่งเลย ทำไมไม่เรียนรู้จากนางกันบ้างเล่า? นางถ่อมตนขนาดนี้แล้ว
ชายรูปร่างสูงใหญ่กำยำล่ำสันฝูงหนึ่งชะงักงันแล้วหัวเราะครืนเสียงลั่น เอ่ยว่า “ช่วยพวกเรา? ฮ่าๆ ช่วยพวกเราหรือ?”
“รถม้านั้นจะเป็นอย่างไรไปได้เล่า?” มีคนชำเลืองตามองดูรถม้าที่จอดสนิท เอ่ยว่า “ข้าน่ะถีบให้คว่ำไปคันแล้วคันเล่าได้ในเท้าเดียว!”
“เฮ้อ อย่าหัวเราะเยาะโฉมสะคราญเลย นางก็เอ่ยได้ถูกต้อง อยู่กับข้าเท่ากับช่วยเหลือชีวิตน้อยๆ ชีวิตหนึ่งของข้าเช่นกันนะ” คุณชายผู้บัญชาการนึกว่านางล้อเล่นชัดแจ้ง ใบหน้าที่แลดูซีดเผือดด้วยเพราะร่ำรสสุรามากเกินไปผุดเผยรอยยิ้มคลุมเครือผืนหนึ่ง เอนโน้มเรือนร่าง เอ่ยสืบต่อว่า “ช่วยโรคคะนึงถึงของข้านั่นอะไร…”
พัดพับของเขาค่อยๆ ไถลลงมามตามคางของจิ่งเหิงปัว ยิ้มชั่วร้ายพลางสะกิดคอเสื้อของจิ่งเหิงปัว กลิ่นเหล้าเข้มข้นหอบหนึ่งปะทะใบหน้า จิ่งเหิงปัวเงยหน้าร้องกะทันหันว่า “ว้าว! งามนัก!”
“สิ่งใด?” คุณชายผู้บัญชาการคนนั้นชะงัก เงยหน้าโดยสำนึก
“เพียะ” หินก้อนหนึ่งกระแทกบนหน้าผากเขาอย่างรุนแรง รอยปูดกลมนูนเขียวช้ำรอยหนึ่งผุดขึ้นมาในพริบตา
“อ๊าก!” คุณชายผู้บัญชาการกรีดร้องเสียงหนึ่ง กุมหน้าผากไว้โซเซล้มลง ร่างยังไม่ทันถึงพื้นก็โก่งคอเปล่งเสียงว่า “กล้าทำร้ายข้า! สังหารนาง! สังหารนาง!”
จิ่งเหิงปัวชะงัก…ขนาดนั้นเลย? ใช้อำนาจบาตรใหญ่เกินไปแล้วมั้ง?
ชายรูปร่างสูงใหญ่ข้างหลังที่จับบ่าของนางไว้โดยตลอดผลักนางไปข้างหน้าอย่างรุนแรง จากนั้นพลันคว้ามีด ยกขึ้นสูงแล้วสะบั้นลงมาอย่างรุนแรง!