เขาสั่งให้ข้าเป็นราชินี [ส่วนที่ 1] - ตอนที่ 70 - 1 ความรู้สึกที่แท้จริง
นางโบกไม้โบกมือ เล็บมือแวววาวกะพริบวูบวาบ เหล่าทหารมองดูนิ้วมือเรียวยาวของนาง บริสุทธิ์ขาวราวหิมะ ไม่เปรอะเปื้อนละอองธุลี ต่างรู้สึกว่าการยกอาวุธขึ้นเบื้องหน้ามือคู่หนึ่งเช่นนี้น่าอับอายยิ่งนัก ได้แต่ยืนเงียบกริบไม่ขยับเขยื้อน
เหยียลี่ว์ฉีสะท้านเล็กน้อย หันข้างมองดูเงาร่างที่ขวางไว้เบื้องหน้ากงอิ้นของนางแล้วเม้มปาก
กงอิ้นนิ่งเงียบไม่ขยับเขยื้อน สายตาทอดลงบนเส้นผมยาวบนแผ่นหลังนาง นิ้วมือที่ซ่อนอยู่ใต้แขนเสื้อขยับเขยื้อนอยู่ครู่หนึ่ง คล้ายอยากยกขึ้นสัมผัสเส้นผมของนาง แลคล้ายสะกดอารมณ์ดุเดือดในใจมิได้
ความไม่พอใจของราษฎรกลับถูกวาจาประโยคนี้กระตุ้นขึ้นมาอีกครั้ง ราษฎรกลุ่มใหญ่หลายกลุ่มพุ่งขึ้นมาข้างหน้า ขวางอยู่เบื้องหน้าจิ่งเหิงปัว
“ฝ่าบาททรงมีโทษใด? ช่วยคนมากมายขนาดนี้กลับมีโทษหรือ?”
“ผู้ใดมีคุณสมบัติตัดสินฝ่าบาท?”
“จะข้ามพระวรกายฝ่าบาท ต้องข้ามศพพวกเราไปก่อน!”
“ไอ้หลานเวร!” ตาเฒ่าผู้หนึ่งพลันเดินสั่นเทิ้มตระหง่านออกมาจากกลางฝูงชน เดินไปยังเบื้องหน้ากองทัพทหารด้วยท่าทางหายใจหอบฮืดฮาด ยื่นมือเพียงครั้งดึงหูของทหารนายหนึ่งไว้ ร้องว่า “ไอ้เจ้าหลานเวรคนนี้ ทำข้าโมโหนัก คุกเข่าลงเสีย!”
จิ่งเหิงปัวจ้องมองปากอ้าตาค้าง…ต้องกล้าหาญขนาดนี้เลยเหรอ?
“เฮ้ๆ ท่านผู้ชรา อย่าทำเกินไป…” นางยังไม่ทันได้ขัดขวาง ทหารคนนั้นคุกเข่าลงดังตุ้บเสียงหนึ่งแล้ว ร้องอย่างเคารพนบนอบเสียงหนึ่งว่า “ท่านปู่!”
จิ่งเหิงปัวนิ่งเงียบ “…”
“เจ้ายังมีหน้ามาเรียกข้าว่าท่านปู่? เจ้าเกือบจะไม่มีท่านปู่แล้ว!” ตาเฒ่าใช้ไม้เท้าเคาะหัวเข่าของหลานชายอย่างรุนแรง ส่งเสียงดังเพียะๆ พลั่กๆ ร้องว่า “ตลาดกลางคืนคืนนี้ พวกเราครอบครัวใหญ่ยังอยู่กันพร้อมหน้า หากไม่ใช่เพราะองค์ราชินี ยามนี้คงสิ้นชีพกันไปหมดแล้ว! ไอ้หลานเวร! เจ้าเลอะเลือนเป็นเช่นไรไปแล้ว? บ้านพวกเราส่งเจ้าไปเป็นทหารเพื่อให้เจ้าปกป้องบ้านปกป้องแคว้น ให้เจ้าปกป้องตี้เกอ แลปกป้องเหล่าราษฎรเช่นเดียวกับบ้านเรา ผู้ใดอนุญาตให้เจ้าไปเป็นลูกสมุนของพวกขุนนางเหล่านั้น ให้เจ้าไปเป็นมีดในมือของคนร่ำรวย? ผู้ใดสอนให้เจ้าหันมีดใส่ราษฎรและสตรี? กระทำเรื่องกลับผิดเป็นถูกไม่แยกแยะผิดชอบชั่วดีเช่นนี้? หากเจ้าไม่เข้าใจเรื่องราวเช่นนี้ต่อไป ไม่สู้ฉวยโอกาสถอดเครื่องแบบทหาร ตาเฒ่าเช่นข้าจะพาเจ้ากลับบ้านไปทำนาเสียเดี๋ยวนี้!”
“ท่านปู่!” ทหารคนนั้นมีสีหน้าลำบากยากเข็ญ หลบลี้ไม้เท้ามั่วซั่วจากท่านผู้ชราที่ยิ่งแก่ยิ่งรุนแรงของบ้านเขาสุดชีวิต ตาเฒ่าเอ่ยเสียงดังพลางหอบหืดฮาดว่า “ไม่ต้องมาเรียกข้า! ไอ้โง่! ไอ้โง่ฝูงหนึ่ง! เหล่าทหารเช่นพวกเจ้าเหล่านี้หลงลืมว่าตี้เกอยังมีญาติสนิทมิตรสหายของพวกเจ้าหรือ? หากมิใช่เพราะฝ่าบาท พวกเจ้ารู้หรือไม่ว่าพวกเจ้าเองจะสูญเสียญาติพี่น้องมิตรสหายมากมาย? นี่คือผู้มีพระคุณ! ผู้มีพระคุณ! พวกเจ้าเป็นทหารมานานหลายปี เรียนรู้เพียงใช้ความแค้นทดแทนบุญคุณหรือ!”
เหล่าทหารหน้าแดงไปถึงหู ก้มหน้าโดยพร้อมเพรียงด้วยไร้หนทางโต้แย้ง เลือดอันเร่าร้อนและเพลิงโทสะที่ถูกเฉิงกูมั่วยั่วยุขึ้นมาในยามแรกเริ่ม ยามนี้ต่างถูกวาจาด่าทอของราษฎรสาดซัดจนมอดดับ คนมากมายก้มหน้าเศร้าซึม เริ่มรู้สึกว่าการโต้เถียงครั้งหนึ่งนี้ไร้เหตุผลแลพิลึกพิลั่น
เหล่าราษฎรกลับโมโหโกรธาขึ้นมาจริง คนมากมายยิ่งขึ้นพุ่งเข้ามา จิ่งเหิงปัวเพ่งมองทหารที่เริ่มถอยหลัง มองดูราษฎรที่มีอารมณ์เดือดดาลเป็นอย่างยิ่ง ถอนหายใจยืดยาวเฮือกหนึ่ง
วิกฤตกาลครั้งนี้ได้ผ่านพ้นไปแล้ว
“เหล่าผู้เฒ่าผู้แก่ ขอบใจ ขอบใจนะ” จิ่งเหิงปัวยิ้มแย้มโบกมือต่อเนื่อง ร้องว่า “รีบกลับบ้านล้างหน้าเปลี่ยนอาภรณ์เถิด ยังมีผู้ได้รับบาดเจ็บ ราชครู โปรดจัดหาคนจากสำนักแพทย์มาตรวจรักษาด้วย”
“ฝ่าบาท ได้เห็นพระองค์ บาดแผลบนกายพวกเราย่อมไม่เจ็บปวดแล้ว” ในฝูงชนไม่รู้ผู้ใดตอบรับด้วยเสียงสูงประโยคหนึ่ง เหล่าราษฎรหัวเราะฮาเสียงหนึ่ง
จิ่งเหิงปัวหัวเราะเช่นกัน นางเข้าใจว่าวาจานี้ไม่ใช่การแทะโลม ทว่าเป็นความใกล้ชิดและความอบอุ่นอีกแบบหนึ่ง บางทีนับแต่วันนี้ไป เหล่าราษฎรตี้เกอจะแปรเปลี่ยนจากยอมรับนางซึ่งเป็นราชินีองค์นี้กลายเป็นยอมรับตัวตนนางคนนี้
นางอมยิ้มชำเลืองมองกงอิ้นแวบหนึ่ง เดิมนึกว่าเขาได้ยินวาจานี้แล้วจะทำหน้าเครียด ไม่นึกว่าจะมองเห็นมุมปากเขากระหวัดเล็กน้อย รัศมีโค้งนุ่มนวล คล้ายมีความสุขหลายส่วนเช่นกัน
รอยยิ้มนี้ทำให้ในใจนางยิ่งดีใจปลาบปลื้มมากขึ้น หลงระเริงเล็กน้อยไปชั่วขณะ เดินขึ้นไปก้าวหนึ่งประคองผู้เฒ่าที่ตีหลานชายด่ากองทหารสงบสถานการณ์คนนั้นไว้ ยิ้มแย้มพลางกล่าวว่า “ไม่ต้องตีแล้ว จะโทษหลานชายของท่านมิได้ เขาคิดได้แล้วมิใช่เรื่องดีหรือ? มา ท่านพักสักหน่อย”
ตาเฒ่าหัวเราะเหอะๆ ตบหลังมือของนางอย่างเงียบเชียบ มือแก่หง่อมเอ็นเขียวพาดซ้อนและมืออ่อนวัยอ่อนนุ่มขาวราวหิมะคลุมประสานอยู่ด้วยกันอย่างแผ่วเบา
รอบด้านพลันไร้สรรพเสียง ผู้คนถอยออกโดยอัตโนมัติ แววตานับร้อยนับพันคู่จดจ้องบนมือคู่นี้ ใจผู้คนมากเพียงใดรู้สึกสะเทือนอารมณ์ แม้ยังครุ่นคิดไม่ทันเข้าใจว่าสิ่งนี้เป็นตัวแทนสิ่งใด ทว่าใจเกิดความอบอุ่นและความดีใจ
บรรยากาศอบอุ่นก่อเป็นสถานการณ์นวลนุ่มดุจสายธาร กงอิ้นมีท่าทางนุ่มนวลผ่อนคลายแล้ว เหยียลี่ว์ฉีที่อยู่ห่างไกลยืนมั่นคงแล้วเช่นกัน ไม่ได้เล่นเล่ห์เหลี่ยมอีก ซ่อนมือไว้ในแขนเสื้อ มองดูจิ่งเหิงปัวด้วยแววตาซับซ้อน
ทว่ามีเสียงลมสายหนึ่ง ทะลุผ่านฝูงชน พุ่งไปทางจิ่งเหิงปัวโดยพลัน!
“ฟิ้ว!”
กงอิ้นพลันเงยหน้า มองเห็นเฉิงกูมั่วที่สูญเสียที่พึ่งสุดท้ายจึงลงมืออย่างบ้าคลั่งภายใต้ความผิดหวังความโกรธแค้น
พริบตาหนึ่งนั้นที่แววตาเชิดขึัน เขามองเห็นจิ่งเหิงปัวที่มีสีหน้าตกตะลึงลำบากใจในขณะเดียวกัน
อาวุธลับพุ่งมาสู่นาง นางหายตัวแวบออกไปได้ ทว่าพอนางหายตัวไป อาวุธลับจะเปลี่ยนเป็นพุ่งไปสู่ผู้ชรา!
กงอิ้นลงมือโดยพลัน
แสงโซ่ขาวเงินกะพริบวูบ จิ่งเหิงปัวและผู้ชราถูกม้วนส่งออกไปนอกฝูงชนไกลโพ้นแล้ว จิ่งเหิงปัวส่งผู้ชราลงกลางอากาศโดยสำนึก ผู้ชราลงพื้นอย่างมั่นคงดังเพียะเสียงหนึ่ง นางเองด้วยเพราะใช้แรงกลางอากาศจึงลอยออกไปอีกสักหน่อย ร่วงไปทางปากตรอก
ลึกเข้าไปในทางตรอก มีรถม้าคันหนึ่งตะบึงเข้ามาพอดี
ทว่ายามนี้ไม่มีผู้ใดสังเกต
จิ่งเหิงปัวร่วงลงบนพื้นดังพลั่กเสียงหนึ่ง ยังดีที่กงอิ้นใช้แรงพอเหมาะ ล้มลงแล้วไม่นับว่าเจ็บปวด เพียงแต่นางวิงเวียนตาพร่าอยู่ชั่วขณะ หมอบอยู่บนพื้นหอบหายใจหลายเฮือก
นางก็ไม่ได้รีบร้อนลุกขึ้นมา จะวิ่งไปข้างหน้าให้เฉิงกูมั่วมองเห็นแล้วโมโหอีกรอบเหรอ? ไม่สู้แอบหายไปเลยยังจะดีกว่า ถึงอย่างไรก็จัดการรถม้าไปหมดแล้ว
พอคิดแบบนี้ขึ้นมา นางรู้สึกทันทีว่ามีอะไรผิดปกติ
รถม้า…
จัดการรถม้าหมดแแล้วจริงเหรอ?
รถม้าสามเส้นทางที่ออกไปก่อน ทุกเส้นทางมีสามคัน พระปลอมสกัดให้จอดจนหมดไปเส้นทางหนึ่ง ตนเองสกัดรถสามคันของอีกเส้นทางหนึ่งให้จอดจนหมดหลังจากไปถึงตรอกหลิวหลี จากนั้นทหารม้าชุดเหลืองสกัดให้จอดแต่เล็ดลอดมาหนึ่งคัน ก่อให้เกิดภัยพิบัติตรอกหลิวหลี อืม สามเส้นทาง ครบแล้ว
แต่ทำไมยังรู้สึกผิดปกติ?
ไกลออกไปได้ยินเสียงของกงอิ้นรำไร ระคนด้วยเสียงรถกุกกักผืนหนึ่งว่า “จับไว้!”
คงจะจัดการเฉิงกูมั่วแล้ว นี่เป็นโอกาสที่ดีที่สุด กงอิ้นคงไม่ปล่อยไปเป็นธรรมดา
เดี๋ยวนะ เสียงรถกุกกัก?
จิ่งเหิงปัวหันหน้ากลับมาทันที จากนั้นนางก็มองเห็นรถม้าสีดำเทาคันหนึ่ง! กำลังแล่นมาจากส่วนลึกของทางตรอก! ความเร็วว่องไวจนพาผู้คนตื่นตะลึง เพียงหันหน้าครั้งเดียว กีบเท้าหน้าของม้าพันธุ์ดีได้เฉียดผ่านข้างกายนางแล้ว!
ชั่วพริบตาหนึ่งดุจแสงฟ้าแลบฟาดผ่าน!
นางเข้าใจแล้วว่าปัญหาอยู่ที่ไหน!
คันนั้นของซังต้ง!
นางรีบเร่งลุกขึ้น ถ้าไม่ลุกขึ้นหายตัวไม่ได้ แต่สายไปเสียแล้ว รถม้ากำลังเฉียดผ่านร่างนาง บนแอกรถมีมือคู่หนึ่งยื่นลงมาบีบครั้งหนึ่งคว้าบริเวณหัวไหล่ของนางไว้ เสียงดังพลั่กเสียงหนึ่ง ลากนางเข้าไปในรถม้า!
จิ่งเหิงปัวเข้าสู่รถม้าด้วยสภาพหน้ามืดวิงเวียน มือผอมบางดุจกรงเล็บนกคู่หนึ่งพลันบีบคอหอยของนางไว้
เสียงหัวเราะของซังต้งไร้ซึ่งความสง่างามยามก่อนอีกแล้ว หวีดแหลมดุจนกฮูกราตรี เปี่ยมด้วยความรื่นรมย์ที่ได้พบศัตรูโดยบังเอิญและได้แก้แค้นครั้งใหญ่
“อ่ะฮ่าๆๆ นึกไม่ถึงว่าจะได้พบเจอฝ่าบาทด้วย เช่นนั้น โปรดเสด็จตามพวกเรามุ่งสู่เส้นทางแห่งความตายด้วยกันเถิด!”
…
ท่ามกลางฝูงชนกงอิ้นกำลังบัญชาให้คนจับเฉิงกูมั่วไว้
จิ่งเหิงปัวถูกส่งออกนอกเขตอันตราย เรื่องสำคัญที่ต้องกระทำคือจัดการบุคคลอันตรายเช่นเฉิงกูมั่วนี้ ภายหลังนางถึงจะปลอดภัยไร้กังวล
คราวนี้ทหารคั่งหลงยอมรับการจัดการเฉิงกูมั่วอย่างสงบเงียบยิ่งนัก กงอิ้นเองไม่อยากให้คั่งหลงเจ็บปวดใจมากเกินไป เพียงประกาศให้เฉิงกูมั่วหยุดปฏิบัติหน้าที่รอตรวจสอบ เลือกรองขุนพลอีกคนปฏิบัติหน้าที่แทนตำแหน่งผู้บัญชาการ
ยามเลือกคนสายตาเขาเฉียดผ่านบนใบหน้าขุนพลแถวหนึ่ง พลันพบข้อผิดพลาดข้อหนึ่งของตนเอง…ขุนพลทั้งหมดในที่นี้คือคนไว้ใจของเขาและเป็นคนไว้ใจของเฉิงกูมั่วเช่นกัน ยามนี้เขากลับหาคู่อริของเฉิงกูมั่วมารับภาระหน้าที่ของเขาชั่วคราวไม่ได้เลยสักคน
เรื่องนี้คงด้วยเพราะผู้บัญชาการเฉิงอยู่ในค่ายทหารมานาน ตำแหน่งเปี่ยมบารมีรากฐานมั่นคง แลด้วยเพราะเขาเชื่อมั่นในความจงรักภักดีของเฉิงกูมั่วมาโดยตลอด จึงไม่ได้ดำเนินการเตรียมป้องกันเขาเพื่อความมั่นคงของกองทัพ ไม่ได้จัดวางกำลังสร้างอุบายโดยเฉพาะ ตั้งใจก่อสร้างทหารคั่งหลงที่สามัคคีอย่างยิ่งดุจเหล็กแผ่นเดียวกัน
ยามไม่มีการกระทบกระทั่งใด การเลือกกระทำเช่นนี้ถูกต้องยิ่งนัก ทว่าบัดนี้ความเชื่อถือก่อเกิดอันตราย ข้อเสียของการจัดการเช่นนี้จึงปรากฏออกมา
กงอิ้นจัดการให้ทหารกระจายฝูงชน นำผู้ที่ได้รับบาดเจ็บหาหมอช่วยรักษาไปพลาง จมดิ่งสู่ความคิด ครุ่นคิดว่าจะแก้ไขอันตรายแฝงเร้นของทหารคั่งหลงอย่างไรไปพลาง พลันรู้สึกว่าผิดปกติเล็กน้อย
เหตุใดจิ่งเหิงปัวยังไม่มาอีก?
เขาหันหน้าโดยพลัน