เขาสั่งให้ข้าเป็นราชินี [ส่วนที่ 1] - ตอนที่ 74 - 2 ข้าจะมียูกชายให้เจ้า
จิ่งเหิงปัวไม่ทันได้ด่าเขา เร่งรีบไปล้างด้วยท่าทางร้องห่มร้องไห้ ชะโงกหน้ามองในอ่างน้ำ เวรเอ๊ย โคตรสร้างสรรค์!
เขาเขียนอักษร!
ซีกซ้ายเขียนว่า ‘ไอ้’
ซีกขวาเขียนว่า ‘ติ๊งต๊อง’
เจ้าสิไอ้ติ๊งต๊อง! นิ้วมือทุกนิ้วของเจ้าล้วนติ๊งต๊องทั้งนั้น!
จิ่งเหิงปัวถูฟองมากมายบนใบหน้าออก ใช้น้ำถึงสามอ่างล้างหน้า แล้วบ่นพึมพำอย่างเสียใจในสิ่งที่ทำลงไปว่า “รู้อย่างนี้แต่แรกคงไม่ให้เจ้าใช้หรอก ไม่ให้เจ้าใช้ยามนี้ก็ยังทัน เจ้าคงไม่รู้หรอกว่าของสิ่งนี้มันใช้อย่างไร เหอะ…เอ๊ะ? เอ๊ะๆ? เจ้าใช้ได้อย่างไร เจ้ารู้ได้อย่างไร นี่ๆๆ เจ้าทำเช่นนี้ได้อย่างไร!”
อีกด้านหนึ่ง กงอิ้นยกแก้วกระเบื้องบ้วนปากสีครามของตนเองขึ้นมา หยิบแปรงสีฟันสีฟ้าอ่อนอันนั้นขึ้นมาอย่างสงบเยือกเย็น ก่อนจะบีบยาสีฟันลงบนแปรงสีฟันอย่างไม่รีบไม่ร้อนแล้วค่อยๆ วางไว้ในปาก
จิ่งเหิงปัวมีสีหน้างงงวย มองดูภาพตรงหน้าด้วยท่าทางปากอ้าตาค้าง เกือบจะโยนอ่างล้างหน้าในมือทิ้งไปแล้ว
“เจ้ารู้ได้อย่างไร…”
กงอิ้นมองนางปราดเดียวก็ลองหยั่งเชิงแปรงดู เมื่อเห็นใบหน้าของนางยิ่งฉายแววตกตะลึงมากขึ้น เขาก็ยิ่งมั่นใจว่าสิ่งที่ตนเองกระทำนั้นถูกต้องแล้ว จึงแปรงขึ้นมาอย่างเอื่อยเฉื่อย
รู้ได้อย่างไรน่ะหรือ? สตรีโง่เขลานางนี้ คงไม่รู้ว่าบนใบหน้าของใครบางคนมีคำตอบเขียนไว้สินะ?
นางเอ่ยมาแล้วว่าแปรงฟัน ไม่ใช่ครีมไข่มุก กินไม่ได้ แน่นอนว่าเป็นสิ่งที่ใช้แปรงฟัน ใช้แปรงแปลกประหลาดนั้นรองไว้ แล้วย่อมใช้แปรงที่รองไว้แล้วมาแปรง มีสิ่งใดแตกต่างจากกิ่งหลิวทาเกลือทะเลสาบขัดฟันกัน? เพียงอุปกรณ์พิเศษขึ้นมาเล็กน้อยเท่านั้น
สำหรับท่วงท่า มองสีหน้านางก็รู้แล้วว่าถูกต้องหรือไม่
อืม ทว่ากลิ่นหอมกับความรู้สึกเช่นนี้ ดีกว่าเกลือทะเลสาบยิ่งนักโดยแท้…
จิ่งเหิงปัวมองดูมหาเทพหยิบแปรงสีฟันด้วยท่วงท่าเชื่องช้าเป็นธรรมชาติอย่างตกตะลึง…โอ๊ยๆ นางยังไม่ทันได้หยิบมาบีบโอ้อวดให้เต็มที่เลยนะ ยังคิดว่าเขาไม่เข้าใจจะค่อยๆ สอนไปทีละอย่าง เอาเปรียบด้วยวาจาสักหน่อย โอ๊ยๆ สติปัญญเช่นนี้ก็น่ารำคาญเกินไปแล้วโว้ย!
มองเห็นสีหน้าของนางดูหดหู่ เขาก็เพียงยกมุมปากขึ้นเบาบาง ยื่นมือออกไปคว้าแก้วกระเบื้องบ้วนปากสีขาวของนาง หยิบแปรงน้อยที่ประดิษฐ์เลียนแบบแปรงสีฟันของนาง บีบยาสีฟันลงเล็กน้อยแล้วยื่นไปยังเบื้องหน้านาง
จิ่งเหิงปัวหายงอนง่ายมาตั้งแต่ไหนแต่ไร นางพลันยิ้มจนตาหยีด้วยเพราะท่าทางเอาใจใส่ของเขาเช่นนี้ แล้วกล่าวว่า “ยาสีฟันนี้มีเพียงหลอดเดียว ภายหลังเจ้าเก็บไว้ใช้เองนะ” ไปพลาง แปรงฟันอย่างมีความสุขไปพลาง
กงอิ้นก้มหน้ามองดูแปรงสีฟันในมือของตนเอง ด้ามสีฟ้าอ่อน หัวแปรงสีขาวทรงคลื่นที่ตัดแต่งอย่างเป็นระเบียบเรียบร้อย วัสดุผิวด้ามดั่งหยก ของสิ่งน้อยสิ่งหนึ่งที่อัศจรรย์ยิ่งนัก
สิ่งของทั้งหมดในถุงนี้อัศจรรย์ยิ่งนัก ยิ่งไปกว่านั้นก็มีเพียงชุดเดียว ไม่ต้องเอ่ยย่อมรู้ว่าเป็นสิ่งของที่มีเพียงหนึ่งเดียวในต้าฮวง นางเอาไว้ข้างกายเนิ่นนานขนาดนี้ ยังไม่อาจหักใจใช้เอง ยามใช้หมดแล้วคงจะไม่มีแล้ว
แม้เห็นว่าเป็นเช่นนี้ นางก็ยังคงเลือกเก็บสิ่งของเพียงหนึ่งเดียวนี้ไว้ให้เขา
ด้ามแปรงสีฟันกุมไว้ในฝ่ามือจนอบอุ่น ดวงใจคล้ายร้อนผ่าวขึ้นมาเช่นกัน ปราณร้อนผ่าวพวยพุ่งขวางตรงหน้าอก เขารู้สึกถึงรสชาติหวานคาวถึงช่วงลำคอ
เขากลืนลงไปอย่างเงียบเชียบแล้วกวักมือ บอกใบ้ให้องครักษ์ที่หลบหลีกอยู่ห่างไกลอีกทางส่งผ้าลายปักมาให้ ห่อยาสีฟันแปรงสีฟันให้ดีทีละชั้นแล้วเก็บไว้ในถุงเช่นเดิม
จิ่งเหิงปัวแปรงฟันเสร็จแล้วก็พ่นน้ำกลางอากาศดังพรวด พอหันกลับมามองเห็นการกระทำของเขาก็ร้องอย่างตื่นตกใจว่า “เก็บเอาไว้ทำไมน่ะ ไม่คิดจะใช้แล้วหรือ? ของสิ่งนี้ดียิ่งนัก สะดวกสบายอย่างยิ่งใช่หรือไม่เล่า” นางยิ้มตาหยีแล้วประชิดเข้ามา กระทบกับไหล่ของเขา กล่าวเสียงเล็กเสียงน้อยว่า “นี่คือสิ่งที่เอาไว้ใช้ก่อนจุมพิตกัน เอาไว้ทำให้ลมหายใจสดชื่นอย่างไร…มาสิ พวกเรามาดมกลิ่นระยะประชิดกันสักหน่อยว่าหอมหรือไม่”
กล่าวจบแล้วก็โอบลำคอของเขา คิดจะ ‘ดมสักหน่อยว่าหอมหรือไม่’
ฝ่ามือของกงอิ้นยกขึ้นเพียงครั้งขวางริมฝีปากแดงฉ่ำดุจผกาของนางไว้ แลดูท่าทางปวดศีรษะเล็กน้อย…สตรีบ้ากามชอบแสดงความรักเช่นนี้ หากมั่นใจในความรักขึ้นมา คงร่ำร้องจูบเอยกอดเอยนอนเอยไม่เว้นทิวาราตรี…แม้ว่าเช่นนี้จะดียิ่งนัก ทว่ามิใช่ควรรอให้ถึงยามค่ำคืนก่อนหรือ…
จิ่งเหิงปัวถูไถฝ่ามือเขาด้วยท่าทางยิ้มแย้มปรีดา ก่อนถอยกลับไปอย่างว่านอนสอนง่าย นางน่ะไม่ใช่ผู้หญิงโรคจิตที่ชอบทำตัวลามกตอนกลางวันซะหน่อย แค่ชอบแทะโลมเขาเท่านั้น ชอบเห็นท่าทางที่พยายามควบคุมตนเองซ้ำยังฝืนควบคุมนั้นของเขา อีกทั้งชอบติ่งหูที่แดงซ่านขึ้นมาหลายครั้งหลายครานั้น พาให้เจริญอาหารอย่างยิ่งโดยแท้…
“สองสิ่งนี้คือสิ่งใด” เพื่อหลีกเลี่ยงการลวนลามของสตรีบ้ากาม กงอิ้นที่แต่ไหนแต่ไรมาไม่ชอบยุ่งเรื่องของคนอื่นให้มากมายก็รีบเร่งคว้าขวดใบน้อยสีน้ำเงินและสีขาวอีกสองใบขึ้นมา
จิ่งเหิงปัวชำเลืองมองแวบหนึ่ง นั่นคือยาสระผมกับครีมอาบน้ำขวดทดลอง
“สิ่งที่เอาไว้อาบน้ำสระผมอย่างไร…” จิ่งเหิงปัวทำท่าทางถูสบู่ครั้งหนึ่งอย่างเกียจคร้าน
สายตาของกงอิ้นไล่ตามทรวดทรงองเอวของนางครั้งหนึ่งอย่างเป็นธรรมชาติยิ่งนัก มองดูปลายศอกของนางถูผ่านเรือนร่างอ่อนช้อยอย่างนุ่มนวล…เขาก็รีบเบนสายตาออกโดยพลัน
“…ใช้ดีกว่าสบู่เจ่าโต้ว[1]เหล่านั้นเยอะเลย โอ๊ย ไม่ได้ใช้ของเหล่านี้มานานแล้ว แม้แต่หนังศีรษะข้ายังคิดถึงมันเลย…” พอจิ่งเหิงปัวเบนสายตามองเห็นสีหน้าของบางคนแล้วก็ชะงักงัน “เอ๊ะ เหตุใดเจ้าถึงหน้าแดงขึ้นมาเล่า อยู่ดีๆ เจ้าก็หน้าแดงอะไรของเจ้ากัน”
สายตาของกงอิ้นเร่งรีบกะพริบออกไปอย่างรวดเร็ว ก่อนหยิบขึ้นมามั่วซั่วขวดหนึ่ง แล้วเอ่ยว่า “ลองดู”
จิ่งเหิงปัวกะพริบตาปริบๆ มองดูเขา…มหาเทพเจ้ารู้หรือไม่ว่าตอนนี้เจ้ากำลังพูดอะไรออกมา?
มหาเทพคงจะไม่ค่อยรู้เรื่องหรอก เมื่อครู่สมาธิหยุดลงตรงที่ซึ่งไม่ควรหยุดลงแล้ว…
ยิ่งเก้อเขินก็ยิ่งอยากหลุดพ้นจากความเก้อเขิน เขาหยิบขวดนั้นขึ้นมาอย่างจริงจังเสียเลย เอ่ยว่า “เหตุใดจึงลองไม่ได้?”
“ได้สิ” จิ่งเหิงปัวตามไม่ทันนิดหน่อย ตอบอย่างงงงวย
“ขวดนี้ใช้สระผมหรือใช้อาบน้ำ”
“สระผม”
“เจ้าคันศีรษะหรือไม่”
“คัน” จิ่งเหิงปัวรู้สึกแค่ว่าถูกเขามองจนทั่วร่างคันไปหมดแล้ว
ประหลาดจัง ประหลาดจังเลย
กงอิ้นพลันยืนขึ้น กวักมือเรียกองครักษ์มาสั่งไม่กี่ประโยค จากนั้นกฌมีคนประกอบเพิงเรียบง่ายขึ้นมา มีคนยกน้ำร้อนมาให้ ยังมีคนลากเก้าอี้เอนนอนมาด้วย
“มาสระผม” อาภรณ์ของเขาขาวดั่งหิมะ ยืนเลิศล้ำอยู่หน้าชั้นวางอ่างที่มีไอร้อนลอยล่อง ร้องเรียกนางดั่งช่างโกนผมคนหนึ่ง สีหน้าสุขุมเป็นธรรมชาติ
“อื้ม” จิ่งเหิงปัวรับปากแล้วถึงนึกได้ว่าต้องคัดค้านว่า “ไม่เอา ข้าชอบสระผมยามอาบน้ำ สระเช่นนี้จะทำให้คอข้าเปียกน้ำไปหมด”
“เจ้ากำลังดูถูกความสามารถในการลงมือของข้าหรือ” มหาเทพเอ่ย
หา? หมายความว่าอะไรนะ จิ่งเหิงปัวยังไม่ทันได้รู้สึกตัวขึ้นมา นางก็ถูกเขาลากไปแล้ว โน้มร่างนางลงบนเก้าอี้เอนนอน แล้วเอ่ยว่า “นอนลง”
“อื้ม” จิ่งเหิงปัวนอนลง มองดูเขาไล่องครักษ์ไปแล้วลงมือด้วยตนเอง ขยับชั้นวางอ่างน้ำร้อนมาข้างหลังเก้าอี้เอนนอน นางค่อยๆ เบิกตากว้าง
“กงอิ้น…” นางกล่าวเสียงเบาอย่างไม่อยากเชื่อว่า “เจ้า…เจ้าจะสระผมให้ข้าหรือ?”
“มีบางคนก็ช่างโง่เขลานัก แค่สระผมยังทำให้คอเปียกน้ำได้” เขายื่นมือวัดอุณหภูมิน้ำ ไม่มองนางแม้แต่น้อย แล้วเอ่ยว่า “ข้าอยากเห็นว่าพอมีคนช่วย นางจะยังคงโง่เขลาขนาดนั้นหรือไม่”
จิ่งเหิงปัวไม่กล่าวอะไรแล้ว ยิ้มตาหยีนอนตะแคงมองดูกงอิ้นวัดอุณหภูมิน้ำ นี่เป็นครั้งแรกที่นางพบเจอกงอิ้นปากร้ายไม่ตอบโต้ กงอิ้นไม่ได้ไล่โจมตีตนเองต่อไปเช่นเคย ก้มหน้าตั้งใจวัดอุณหภูมิ ไอร้อนสีขาวล่อยลองเวียนวนขึ้นมากลบกลืนสายตาของเขา มองเห็นเพียงขนตาที่แผ่ยาวลงมาพรมด้วยไอน้ำประหนึ่งเพชรเม็ดน้อย
ไอร้อนอบอุ่นและนุ่มนวล สายตาสุกสกาวของจิ่งเหิงปัวในไอร้อนแพรวพราวดุจสายธารเช่นกัน นางโค้งมุมปากขึ้นเล็กน้อย ความปีติยินดีในใจผลิบานประหนึ่งบุปผา ทว่าไม่ยอมส่งเสียงรบกวนในยามนี้ นางกลัวว่าพอส่งเสียง พอแสดงออก เจ้าคนที่แท้จริงแล้วซุ่มเงียบขวยอายไปถึงกระดูกคนนั้นจะโยนผ้าเช็ดหน้าทิ้งแล้ววิ่งหนีไป
หากสูญเสียโอกาสที่มหาเทพสระผมให้ด้วยตัวเอง นางคงจะอาเจียนจนตายทั้งเป็นแน่นอน
ต้องสงบเยือกเย็น สงบเยือกเย็นเข้าไว้
นางหันกายครั้งหนึ่งบนเก้าอี้เอนนอน ไม่มองเขาเขาจะได้ไม่ขวยเขิน กล่าวพลางยิ้มแย้มว่า “ช่วยข้าแก้มัดผมหน่อยสิ คันยุบยิบจังเลย”
เขาคล้ายชะงักไปชั่วครู่ จากนั้นก็ยื่นมือคู่หนึ่งเข้ามา ปลดผ้าคาดผมที่นางมัดผมไว้อย่างแผ่วเบา
นางไม่ชอบเกล้ามวยผม ในการประชุมราชการจะเกล้าเป็นมวยผมเรียบง่ายทรงหนึ่ง ปกติเมื่อไม่มีคนอื่นส่วนมากจะสยายผม เมื่อต้องปฏิบัติการแบบตอนนี้จะมัดผมไว้
ลักษณะเส้นผมดีโดยกำเนิด ถึงขนาดนิ้วมือเพียงลูบแผ่วเบาครั้งหนึ่ง ผ้าลายปักคาดผมสีแดงเข้มนั้นค่อยๆ ลื่นลงมา
ผมยาวหยิกเล็กน้อยกลุ่มหนึ่งสยายบนฝ่ามือเขาประหนึ่งมวลเมฆ
ผมยาวไม่ใช่สีดำบริสุทธิ์ จิ่งเหิงปัวเคยย้อมผมสีทอง แต่เป็นการลงมือย้อมด้วยตนเอง ผลลัพธ์ไม่สมความปรารถนา ภายหลังได้ใช้น้ำยาล้างสีผมล้างออก ตอนนี้สีผมค่อยๆ กลับคืนมา ด้วยเหตุนี้สีผมที่แสดงออกมาจึงพิเศษอย่างยิ่ง คล้ายสีน้ำตาลแดงนิดหน่อย โชคดีที่พื้นฐานดีโดยกำเนิด ความมันวาวไม่ลดลง เส้นผมทุกเส้นต่างเปล่งประกายเล็กน้อยภายใต้แสงอาทิตย์
นิ้วมือของกงอิ้นอดจะงอขึ้นแผ่วเบาไม่ได้ รู้สึกเพียงว่าสิ่งที่กุมไว้คือเมฆก้อนหนึ่งหรือความฝันครั้งหนึ่ง เมฆคือเมฆที่ลอยล่องอยู่บนท้องฟ้า ปล่อยตนชวนฝันและอิสระ ความฝันคือความฝันที่ปลอบโยนอยู่ในใจ อบอุ่นซ่อนเร้นและใกล้ชิด กลิ่นหอมเจือจางดั่งคล้ายดอกไม้ที่พลันผลิบานดอกหนึ่งพุ่งเข้าสู่ปลายจมูกโดยมิต้องเชื้อเชิญ กลิ่นหอมนี้แตกต่างจากกลิ่นกายนาง อ่อนจางกว่าซ้ำยังเจือด้วยกลิ่นดอกไม้ธรรมชาติ เมื่อถูกกลิ่นหอมเช่นนี้พัดผ่านคงจะทำให้คนรู้สึกว่าใจของตนเองอ่อนนุ่มประหนึ่งเส้นผมบนฝ่ามือในพริบตาเดียว
เขาไม่ได้เคลื่อนไหวอยู่เนิ่นนาน นางกลับรู้สึกว่าการที่เส้นผมขยับเล็กน้อยทำให้คันขึ้นมานิดหน่อยจริงๆ แล้ว อดจะยิ้มแย้มเร่งเร้าไม่ได้ กล่าวว่า “นี่ น้ำเย็นหมดแล้ว”
ไม่รู้เพราะอะไร ในเสียงนี้กลับเจือด้วยเสียงนาสิก ทั้งแปรเปลี่ยน ทั้งวนเวียน หางเสียงวกวนไปเจ็ดแปดรอบ
นางมีเส้นเสียงที่ฟังดูเกียจคร้านเจือด้วยความแหบแห้งเล็กน้อยโดยกำเนิด แบบที่แม้ไม่อ่อนโยนยังฟังดูมีเสน่ห์ แต่ในใจเย่อหยิ่งโดยกำเนิด แต่ไหนแต่ไรมารังเกียจน้ำเสียงมารยาสาไถย ทว่าถึงตอนนี้นางเพิ่งเข้าใจ ดวงใจที่มีความรักย่อมหวั่นไหว ไม่ต้องแสร้งดัดจริตก็ไพเราะเพราะพริ้ง ทำนองเสียงทุกช่วงต่างถูกดวงใจที่มีความสุขอำพรางไว้หล่อหลอม พอเปล่งเสียงย่อมเป็นการออดอ้อนที่เป็นธรรมชาติที่สุด
[1] สบู่เจ่าโต้ว ถั่ว “เจ่าโต้ว” หรือ “ถั่วถูไคล” เป็นสบู่ในสมัยโบราณ