เขาสั่งให้ข้าเป็นราชินี [ส่วนที่ 1] - ตอนที่ 88 - 4 ความลับราชินี
ผ่านไปครู่ใหญ่ เสียงถอนหายใจยืดยาวของทุกคนก็แทบจะหลอมรวมจนกลายเป็นกระแสคลื่นคำราม
“ยังเข้าใจไม่ชัดเจนแจ่มแจ้งอีกหรือ?” เสียงแผ่วเบาของจิ้งอวิ๋นดังสะท้อนภายในตำหนักว่า “ซังต้งหรือผู้อื่นกระหายจะได้รับอำนาจสูงส่งยิ่งขึ้น ทว่ายามนั้นข้ากำลังปรึกษาหารือกับราชครูเกี่ยวกับการแก้ไขกฎแห่งต้าฮวง อนุญาตให้จักรพรรดิบุรุษเพศสืบทอดราชบัลลังก์ได้ หากพระราชบัญญัตินี้ดำเนินการจริง นับแต่นั้นย่อมไม่มีเรื่องใดให้พวกซังต้งกระทำอีกแล้ว นางจะพึงพอใจได้อย่างไร ด้วยเหตุนี้นางจึงสร้างสถานการณ์ใส่ร้ายข้า ปลุกระดมให้เผ่าหวงจินก่อกบฏสร้างเหตุการณ์ตี้เกอขึ้น จากนั้นแก้ไขการเสี่ยงทายราชินีกลับชาติมาเกิด จัดการให้จิ่งเหิงปัวมาแทนที่ข้า ทว่าเรื่องที่นางนึกไม่ถึงก็คือจิ่งเหิงปัวไม่ยอมอยู่ในโอวาทเช่นกัน พอเป็นราชินีแล้วก่อการขลาดเขลา ซังต้งรู้สึกว่าจิ่งเหิงปัวค่อยๆ อยู่นอกเหนือการควบคุม เป็นไปได้ยิ่งนักว่าตัวนางเองจะคว้าน้ำเหลว ระหว่างทั้งสองคนปรากฏความขัดแย้งอย่างรุนแรงด้วยเพราะผลประโยชน์ไม่สอดคล้อง ส่วนยามนี้จิ่งเหิงปัวอาศัยความงามฉกฉวยความโปรดปรานจากกงอิ้น พอมีกงอิ้นคอยสนับสนุน นางจึงฉวยโอกาสลงมือกับซังต้ง ซ้ำยังอาศัยเรื่องนี้ให้ได้รับการสนับสนุนจากราษฎร…ราชินีรักราษฎรอะไร เทพธิดาตกสวรรค์อะไร นอกจากหอคอยสูงของกองเซ่นไหว้แล้ว สถานที่แห่งใดมอบสิ่งที่เรียกว่าความมหัศจรรย์มากมายเช่นนี้ให้นางได้? ราชินีลิขิตสวรรค์อะไรกัน! แท้จริงแล้วก็เป็นคนชั่วกลุ่มหนึ่งซึ่งสมคบคิดกันสร้างแผนร้ายจ้องหาโอกาสช่วงชิงตำแหน่งสูงส่ง!”
จิ่งเหิงปัวค่อยๆ เงยหน้าขึ้น มองจิ้งอวิ๋นแวบหนึ่ง
การอนุมานนี้ก็ทั้งรอบคอบทั้งไร้ซึ่งข้อบกพร่องอย่างยิ่ง!
กล่าวกันว่านักการเมืองวาจาคมคาย บิดเบือนข้อเท็จจริง พออนุมานเช่นนี้ย่อมไร้ซึ่งข้อบกพร่อง!
แต่นางรู้สึกว่าเพียงแค่จิ้งอวิ๋นคนเดียวนั้น ก็ไม่สามารถอนุมานผลลัพธ์นี้ออกมาได้!
เงามืดสายนั้นล่องลอยตรงขอบฟ้าอย่างไร้รูปร่างอีกครั้ง เกล็ดหิมะคำรามดั่งเขาแสยะยิ้มเยาะเย้ย
“ในเมื่อรู้ละเอียดลึกซึ้งเช่นนี้ เหตุใดซังต้งไม่สังหารเจ้าเพื่อปิดปาก?”
เสียงวาจาของจิ่งเหิงปัวเฉื่อยเนือยเช่นกัน ทว่าตรงประเด็นเช่นเดียวกับจิ้งอวิ๋น
“ด้วยเพราะข้ายังกุมความลับในตำหนักบรรทมของราชินีแห่งนี้” จิ้งอวิ๋นตอบอย่างรวดเร็วยิ่งนัก เห็นได้ชัดว่าเตรียมตัวมาก่อนล่วงหน้า หางตาเหลือบมองมา เต็มไปด้วยความลำพองใจและการเยาะเย้ย เอ่ยว่า “ซังต้งเปลี่ยนใบหน้าของข้าและทำให้ความทรงจำของข้าสับสนวุ่นวายเพื่อความลับในตำหนักบรรทม ทว่าภายในจิตสำนึกของข้ายังหลงเหลือความระมัดระวังอยู่ ไม่ยอมคายความลับออกมาตั้งแต่แรก เพราะอย่างนั้น พวกเจ้าจึงวางแผนให้ข้าบ้านแตกสาแหรกขาดอีกครั้ง จากนั้นให้จิ่งเหิงปัวมาช่วยข้า มุ่งหวังให้ข้าซาบซึ้งบุญคุณกลับสู่ดินแดนเก่า แล้วข้าจะบอกความลับออกมาทั้งเจตนาหรือไม่เจตนา…พวกเจ้าดีดลูกคิดรางแก้วได้ราบรื่นสมปรารถนายิ่งนัก อันที่จริงสมปรารถนาแล้วด้วย ก่อนหน้านี้ไม่นานข้าได้รับแรงกระตุ้นมากเกินไปจนเปิดเผยวิธีเปิดประตูลับในตำหนักบรรทมโดยไม่ตั้งใจในที่สุด ถูกสายสืบของเจ้าเห็นเข้าพอดี…” จิ้งอวิ๋นหัวเราะคิกๆ เอ่ยสืบต่อไปว่า “น่าเสียดาย พวกเจ้าไม่ได้นำวิธีไปทั้งหมด เมื่อครู่หวังเปิดประตู มิใช่เปิดไม่ออกแล้วหรือ?”
นางหันไปหาเหล่าขุนนาง ยิ้มแย้มอย่างอ่อนโยนครั้งหนึ่ง แล้วเอ่ยว่า “ข้าขอเตือนทุกท่านสักหน่อย ใต้ฝ่าเท้าของพวกเจ้าล้วนเป็นความว่างเปล่า หากเมื่อครู่ประตูลับเปิดออกจริง ยามนี้พวกเจ้าน่าจะอยู่ในคุกมืดใต้ดินแล้ว พอถึงยามนั้น ไม่ต้องเอ่ยว่าพวกเจ้าบังคับราชินีปลิดชีพตนเองเลย เกรงว่าหากพวกเจ้าอยากปลิดชีพตนเองยังต้องดูว่าราชินีเห็นด้วยหรือไม่”
“แน่นอน” นางเอ่ยอย่างแช่มช้าว่า “หากเข้าใกล้เครื่องเรือนในตำหนัก เช่นนั้นยังคงปลอดภัย เฉกเช่นตำแหน่งที่ราชินีไม่ยอมห่างแม้แต่ก้าวเดียวในยามนี้”
เหล่าขุนนางพากันเบนสายตาเดือดดาลมาจ้องมองจิ่งเหิงปัวเขม็ง
“เป็นคนชั่วช้าลวงโลกโดยแท้!”
“มิน่าเล่ากลิ่นอายปีศาจทั่วร่าง แท้จริงแล้วนางคืออสรพิษโฉมงามผู้ทำลายล้างโลกมนุษย์!”
“แผนการเลวร้ายมากมายเช่นนี้ หากยอมให้เจ้าได้กระทำตามใจ เจ้าคงจะล้มล้างต้าฮวงของเรา!”
เสียงสาปแช่งมืดฟ้ามัวดิน เหล่าขุนนางเลือกเชื่อจิ้งอวิ๋นแล้ว อย่างไรเสียความลับในตำหนักบรรทมของราชินีย่อมไม่ใช่เรื่องที่คนธรรมดาเอ่ยออกมาได้เลยเป็นแน่ ยิ่งกว่านั้นไม่ว่าจิ่งเหิงปัวมีส่วนร่วมแผนร้ายลึกล้ำเช่นนี้หรือไม่ นางก็เป็นเป้าหมายที่พวกเขาจำเป็นต้องสังหารอยู่แล้ว เพียงแต่ยามนี้มีเหตุผลที่แลดูทรงเกียรติมากยิ่งขึ้น
จิ่งเหิงปัวเพียงมองไปทางกงอิ้น
นางรู้ว่าคนอื่นอาจจะเชื่อ แต่นางเพียงอยากรู้ว่ากงอิ้นจะเชื่อหรือไม่
เขายืนอยู่ตรงระเบียงทางเดิน ไม่ได้ก้าวขึ้นมาแม้แต่ก้าวเดียวตั้งแต่แรก ขนสัตว์บนเสื้อคลุมขาวราวหิมะพัดพลิ้วกลางสายลม ดวงพักตร์ดูคล้ายแข็งทื่อดุจรูปสลักมากยิ่งขึ้น
แววตาที่เขามองตนเอง รวมทั้งมองจิ้งอวิ๋นลึกล้ำเช่นนั้น ทำให้คราวนี้นางไม่มีทางรู้อารมณ์แท้จริงของเขาได้
“กงอิ้น!” จิ้งอวิ๋นพลันตวาดว่า “เจ้าน่าจะรู้ว่าสิ่งที่ข้าเอ่ยเป็นความจริง! เจ้ารู้แจ่มแจ้งว่านางคิดไม่ซื่อ! เหตุใดนางจึงยอมทุ่มเทใกล้ชิดเจ้า ใช้ความงามล่อลวงเจ้า? นั่นด้วยเพราะนางรู้ว่าเจ้า…”
“พอแล้ว!”
เสียงวาจาเย็นยะเยือกของกงอิ้น สะบั้นเสียงร้องตะโกนของจิ้งอวิ๋นดุจมีดคมกริบ
เขาไม่สนใจจิ้งอวิ๋นอีก สายตาบริสุทธิ์แวววาวมองมาทางจิ่งเหิงปัว เอ่ยว่า “เหิงปัว”
นางไม่ขานรับ ค่อยๆ อุ้มศพของชุ่ยเจี่ยขึ้น เงยหน้ามองเขา
แววตาของสองคนมองกันและกันผ่านตำหนักกว้างใหญ่ไพศาล ผ่านสายลมเหน็บหนาวหิมะคำรามในค่ำคืนนี้
“เป็นความจริงหรือไม่”
จิ่งเหิงปัวเชิดคางขึ้นเล็กน้อย
ชั่วพริบตาหนึ่งนี้เจ็บปวดใจจนยากจะอธิบาย นางได้แต่พยายามเชิดหน้าขึ้น ไม่ให้ของเหลวบางอย่างพลันพรั่งพรูออกมาจากนัยน์ตา
พอเอ่ยถามเท่ากับเกิดความสงสัย
การไปมาหาสู่กันเกือบหนึ่งปีนี้ ความยากลำบากยามเดินทางร่วมกัน ความเข้าใจกัน พึ่งพากันยามความเป็นความตาย ความรักความห่วงใยใกล้ชิดสนิทสนม ก็มิอาจต้านทานวาจาเพียงไม่กี่ประโยคของราชินีที่โผล่ออกมากะทันหันคนหนึ่งไว้ได้
เล่ากันว่าผู้ที่อยู่เบื้องบนก็เกิดมาเป็นเช่นนี้อยู่แล้วใช่หรือไม่ ทั้งสายตาเฉียบคมของเหยี่ยว ความดุร้ายของพยัคฆ์ ความหยิ่งยโสของมังกรและความช่างสงสัยของจิ้งจอก?
เดินก้าวหนึ่งระแวดระวังสามครั้ง นัยน์ตาพร่ามัวแม้เพียงลมพัดผ่านใบหญ้า
ปวดร้าวใจเช่นนี้ ปวดร้าวใจเพียงนี้ ลมหายใจคล้ายพวยพุ่งย้อนทวนตรงปลายจมูก นางฝืนใจสะกดกลั้นเสียงสะอื้น บอกตนเองเช่นเคยว่าอย่าโกรธแค้น
อย่าโกรธแค้น
เป็นคนเงียบสงบ อย่าใช้อารมณ์กระทำเรื่องราวไม่ว่าเวลาไหน
นี่คือสิ่งที่เขาสอนนาง
“ไม่จริง” นางตอบ
เขานิ่งเงียบ นัยน์ตาหลุบลงเล็กน้อย มองไม่ออกว่าเชื่อหรือไม่
“คัดค้านนาง” เขาเอ่ย
จิ่งเหิงปัวครุ่นคิดอยู่ชั่วครู่แล้วส่ายหน้า
วาจาทั้งก่อนและหลังของจิ้งอวิ๋นสัมพันธ์กันจนไร้ซึ่งข้อบกพร่องและไร้จุดอ่อนให้โจมตี แม้ว่าในวาจานั้นยังมีความน่าสงสัยมากมายหลายอย่าง แต่หากไม่ใช่คนที่มีส่วนร่วมอย่างแท้จริงคงมองไม่ออกด้วยซ้ำ เช่นซังต้งกับจิ้งอวิ๋นมีความสัมพันธ์อะไรกันแน่ จิ้งอวิ๋นถูกซังต้งทำร้ายหรือสมคบคิดกับซังต้งมาโดยตลอด ความจริงเหล่านี้ถูกควบคุมอยู่ในมือของบุคคลที่อยู่ในเหตุการณ์ นางมีเพียงข้อสงสัยแต่ไม่มีหลักฐาน สิ่งที่นางนำมาคัดค้านได้มีเพียงประสบการณ์เหล่านั้นที่มีร่วมกับเขาตลอดทาง แต่นั่นเป็นสิ่งที่ทุกคนมองออกอยู่แล้ว หากตอนนี้กระทำซ้ำอีกครั้ง เพียงทำให้คนรู้สึกว่านางไร้วาจาโต้ตอบ ดิ้นรนใกล้สิ้นใจ
เมื่อผู้อื่นกล่าวหาเจ้า เจ้าเอ่ยเพียงว่าไม่ใช่ข้า ข้าไม่ได้ทำ มันก็ว่างเปล่าไม่มีความใดเช่นนี้เอง
ความยอดเยี่ยมของสถานการณ์นี้อยู่ที่ทุกสิ่งตั้งอยู่บนการสมมติเกี่ยวกับผู้วายชนม์และเรื่องราวในอดีต ซังต้งตายแล้ว ตระกูลซังเกลียดนางเข้ากระดูกดํา จะไม่มีใครออกมายืนยันความบริสุทธิ์ให้นาง
พอมีข้อสันนิษฐานความผิดอยู่ก่อนแล้ว ไม่ว่าก็ใครก็ยากจะยืนยันตนเอง
การดำรงอยู่ของจิ้งอวิ๋นนับเป็นหลักฐานที่แข็งแรงที่สุดและเป็นความกดดันที่มากที่สุดต่อนางอยู่แล้ว ราชินีองค์ก่อนยังไม่สวรรคต ราชินีองค์ปัจจุบันย่อมไม่มีมีอำนาจบารมีใดๆ อีก
นางไร้คำกล่าวตอบโต้โดยแท้
“กงอิ้น” นางค่อยๆ ยกมือขึ้นทาบลงบนหัวใจของตนเอง กล่าวว่า “เจ้าเคยเอ่ยไว้ สถานการณ์ที่จัดวางไว้อย่างดีแล้วย่อมไม่หลงเหลือข้อบกพร่องให้เจ้าเปิดเผยได้ สิ่งที่ข้าแสดงให้เจ้าเห็นได้มีเพียงหัวใจของข้า ผ่านมานานขนาดนี้ เนิ่นนานเพียงนี้ ข้าจริงใจหรือเสแสร้งกับเจ้า ตั้งใจใกล้ชิดหรือชิดใกล้โดยไม่เจตนา เลื่อมใสศรัทธาสนับสนุนกันหรือตั้งใจลอบทำร้าย หวังช่วงชิงอำนาจหรือเพียงหวังครอบครองหัวใจของเจ้า…บอกข้ามาสิว่าเจ้ารู้”
“เขารู้หรือ?” เสียงแหลมคมของจิ้งอวิ๋นดังอยู่ข้างหลังนางว่า “เขาไม่รู้!”
นางพลันถอยหลังก้าวหนึ่ง ก้าวขึ้นบนเตียงของจิ่งเหิงปัวแล้วรื้อฟูกนอนออก หยิบม้วนผ้าไหมสีเหลืองผืนหนึ่งออกมาจากใต้ฟูกนอนนั้น โยนมันลงบนพื้น
เสนาพิธีการชราก้มหน้ามองปราดเดียว ร้องอุทานโดยพลันว่า “แผนภาพพระราชวังบนม้วนผ้าไหมของจักรพรรดินีผู้สถาปนาแคว้น!”
พอเสียงนี้เปล่งออกมา ทุกคนฮือฮาเสียงหนึ่ง
แผนภาพพระราชวังบนม้วนผ้าไหมคือหนึ่งในขุมทรัพย์ที่ลึกลับที่สุดของราชวงศ์ต้าฮวง ทว่ามิใช่ตำราวรยุทธ์ล้ำค่าใดและไม่ใช่แผนที่ขุมทรัพย์ใด ยิ่งไม่ใช่ตำราจัดวางกำลังป้องกันพระราชวัง ทว่าเป็นหนังสือพยากรณ์ในตำนานเล่มหนึ่งที่พยากรณ์สถานการณ์แคว้นนับร้อยปีในอนาคตของต้าฮวงทั้งอดีตและอนาคต
เล่ากันว่าสมัยจักรพรรดินีผู้สถาปนาแคว้น ศาสตร์อัศจรรย์เจริญรุ่งเรืองยิ่งนัก ต้าฮวงปรากฏบุคคลที่มีความสามารถเลิศล้ำเปี่ยมพลังอำนาจมากมายหลายคน หลังจากจักรพรรดินีสืบราชสันตติวงศ์ ไม่รู้ว่าด้วยเพราะการเข่นฆ่ามากเกินไปหรือไม่ นครหลวงไม่สงบสุข ภูตผีปีศาจกลาดเกลื่อน จักรพรรดินีรวบรวมอาจารย์ผู้เลื่องชื่อทำพิธีพยากรณ์บนหอดาราศาสตร์ในพระราชวังเป็นเวลาเจ็ดวันเจ็ดคืน หลังจากเจ็ดวันเจ็ดคืนนั้น ไม่มีผู้ใดรู้ว่าสิ่งที่เรียกว่าภูตผีปีศาจหายสาบสูญไปหรือไม่ ทว่าแผนภาพพระราชวังบนม้วนผ้าไหมถือกำเนิดขึ้นในยามนี้เอง เอ่ยกันว่าในคืนนั้นที่จักรพรรดินีมองเห็นม้วนผ้าไหมได้ทรงกระอักโลหิต ต่อมาจึงกำหนดระบอบราชินีกลับชาติมาเกิดขึ้น แล้วปิดผนึกแผนภาพพระราชวังบนม้วนผ้าไหมเป็นความลับ นับแต่นั้นไม่มีผู้ใดได้เห็นมันอีกเลย
ต่อมาจึงมีชนรุ่นหลังหลายคนของอาจารย์ในยามนั้นเผยแพร่วาจาบางอย่างออกมา เช่น แผนภาพพระราชวังบนม้วนผ้าไหมเปิดเผยความลับสวรรค์จนสิ้น เอ่ยถึงสถานการณ์การเปลี่ยนแปลงราชวงศ์ทุกสิ่ง ส่องสะท้อนแม้แต่เรื่องราวสำคัญของทุกราชวงศ์ ภายหลังเหล่าอาจารย์ที่ผสานพลังพยากรณ์ม้วนผ้าไหมออกมาต่างสิ้นใจก่อนวัยอันควรด้วยเพราะเหตุนี้ ส่วนจักรพรรดินีทรงมีพระราชดำริเช่นกันว่าสำหรับผู้ปกครองราชวงศ์แล้ว การเปิดเผยความลับสวรรค์จนสิ้นก่อนเวลาอันควรไม่มีประโยชน์ใดทั้งสิ้น นับแต่นั้นจึงผนึกม้วนผ้าไหมไว้ ไม่อนุญาตผู้สืบทอดภายหลังได้ครอบครองตลอดกาล
ซ้ำยังมีคนเอ่ยว่าม้วนผ้าไหมมีเวลาจำกัด มันสิ้นสุดลงในยุคสมัยใดสมัยหนึ่ง วาจาประโยคสุดท้ายมีความนัยคลุมเครือ คล้ายส่อแววถึงการล่มสลายของต้าฮวง…
แม้ตำนานเอ่ยไว้สับสนวุ่นวาย แม้สำหรับขุนนางในราชสำนักและราษฎรธรรมดาแล้วของสิ่งนี้ไร้ซึ่งความเย้ายวนใจ ทว่าสำหรับผู้ปกครองแต่ละยุคสมัยแล้ว ความสำคัญม้วนผ้าไหมมีมากกว่าที่คิดไว้ หากสามารถคาดเดาเหตุการณ์เรื่องราวสำคัญเกี่ยวกับการเมืองในราชสำนักบางอย่างล่วงหน้าได้ ย่อมเกิดผลกระทบที่ยากจะคาดเดาต่อการตัดสินใจและอนาคต
ทว่าเฉกเช่นตามตำนานเอ่ยไว้ ไม่มีผู้ใดหาม้วนผ้าไหมเจอ ต่อให้หาเจอแล้วก็หยิบมาไม่ได้ เอ่ยกันว่าประตูที่มีม้วนผ้าไหมอยู่ถูกปิดตายแล้ว คนนับหมื่นคนใช้ชั่วชีวิตก็เปิดไม่ออก
บางคนเคยเอ่ยหยอกล้อว่าผู้ที่สามารถเปิดประตูหยิบม้วนผ้าไหมมาได้ คงจะเป็นผู้จบสิ้นต้าฮวงในตำนานผู้นั้นแล้ว…
ขณะนี้ ยามนี้ ม้วนผ้าไหมร่วงอยู่บนพื้นอย่างเงียบเชียบ ขุนนางเก่าแก่บางคนที่อ่านบันทึกประวัติศาสตร์จนช่ำชองจำได้จากรอยประทับพระราชลัญจกรเก่าแก่เรียบง่ายและสีสันประหลาดบนม้วนผ้าไหมแล้ว นี่คือสิ่งของสมัยจักรพรรดินีผู้สถาปนาแคว้นโดยแท้ รอยประทับพระราชลัญจกรรวมทั้งหมึกประทับของสมัยนั้นมีเพียงหนึ่งเดียวไม่มีสอง ยุคหลังไม่มีทางประดิษฐ์เลียนแบบ ทุกชิ้นล้วนเป็นของล้ำค่าหายากในปัจจุบัน
“เจ้ารู้ว่าข้าหยิบของสิ่งนี้มาไม่ได้” จิ้งอวิ๋นจ้องมองกงอิ้น มุมปากผุดเผยรอยยิ้มแปลกประหลาด เอ่ยสืบต่อว่า “เจ้าคงรู้ว่าม้วนผ้าไหมนี้คือสิ่งของที่เป็นไปได้อย่างยิ่งว่าจะเป็นภัยต่อเจ้า” นางชี้ไปยังจิ่งเหิงปัว เสียงพลันแข็งกร้าวเอ่ยว่า “หากเจ้าบอกว่าเจ้ารักเขา หากเจ้าเอ่ยความจริง เหตุใดเจ้าหยิบสิ่งของสำคัญขนาดนี้มาแล้วไม่บอกเขา! เจ้าไม่รู้หรือว่าของสิ่งนี้เกี่ยวข้องกับความเป็นความตายของเขา?”