พันธกานต์ปราณอัคคี - ตอนที่ 128
“อาจารย์อาเยี่ย” มั่วชิงเฉินย่อตัวอย่างรวดเร็วหนึ่งที แล้วยกเท้าเดินจากไป
เยี่ยเทียนหยวนปรากฏตัวขึ้นหน้านางอย่างรวดเร็ว หน้าบึ้งว่า “เจ้าหนีอะไร?” พูดพลางสายตากวาดผ่านแก้มที่แดงบวมของนาง
“เรียนอาจารย์อา ผู้น้อยทำตามคำสั่งอาจารย์อา ห่างท่านให้ไกลหน่อยเจ้าค่ะ” มั่วชิงเฉินเอ่ยเสียงสงบ ในใจกลับคลื่นโหมกระหน่ำ เจ้าสารเลวนี่มาทำอันใดอีก ถ้าถูกคนอื่นเห็นเข้าตนต้องถูกตบอีกหลายทีใช่หรือไม่?
ช่างเป็นชายงามล่มเมืองจริงๆ!
เยี่ยเทียนหยวนไม่รู้ความขุ่นเคืองในใจของมั่วชิงเฉิน ขมวดคิ้วว่า “เจ้าไม่พอใจใช่หรือไม่?”
ทอ-โอะ-นอ ทน มั่วชิงเฉินกำหมัดแน่นแล้วกัดฟัน “ผู้น้อยไม่กล้า อาจารย์อาเยี่ยมีบุญคุณช่วยชีวิตผู้น้อยไว้ ผู้น้อยยังไม่ทันได้ซาบซึ้งเลย ย่อมต้องทำตามคำสั่งของท่านอาจารย์เจ้าค่ะ”
ไม่รู้เพราะเหตุใด เห็นท่ากำหมัดแน่นของมั่วชิงเฉินแล้ว เยี่ยเทียนหยวนมีความรู้สึกว่านางจะกระโดดเข้ามาอัดตน จากนั้นก็รู้สึกเหลวไหล จึงเอ่ยเสียงเย็นชาว่า “เจ้าจำได้ก็ดีที่สุด เมื่อครู่มีคนมาหาเจ้าใช่หรือไม่?”
มั่วชิงเฉินรู้สึกประหลาดเล็กน้อย นางไม่หลงตัวเองขนาดคิดว่าอาจารย์อาเยี่ยหัวสูงผู้นี้จะเร่งมาช่วยตนหรอกนะ ตามนิสัยของเขาแล้ว ควรจะปล่อยให้เหล่าหญิงสาวตีกันหัวร้างข้างแตก เขาก็ไม่มองสักปราดเดียวถึงจะถูก
แม้นางจะโมโหคนผู้นี้ กลับดูออกว่า เขาไม่เหมือนผู้ชายบางคนที่ใช้กลยุทธ์แสร้งปล่อยเพื่อจับกับหญิงสาว หากแต่หลบหลีกยังหลบแทบไม่ทันจริงๆ
“เรียนอาจารย์อา เมื่อครู่มีผู้อาวุโสท่านหนึ่งมาหาผู้น้อยจริงๆ นี่ไงล่ะ หน้าของผู้น้อยก็ได้มาเพราะผู้อาวุโสท่านนั้น” มั่วชิงเฉินเอ่ยนิ่งเรียบ
นางเป็นนางเอกในนิยายน้ำเน่าประเภทนั้น ถูกตัวประกอบหญิงอำมหิตทำร้าย พระเอกวิ่งมาถาม ยังจะทำตัวเป็นแม่พระปกปิดให้นางเช่นนั้นหรือ?
ความสามารถไม่ถึงถูกเขาทำร้าย นางก็ได้แต่เอาคืนในวันข้างหน้า ทว่าบัดนี้สร้างความอึดอัดให้นางได้นางก็ยินดีที่จะทำ
ได้ยินมั่วชิงเฉินพูดเช่นนี้ เยี่ยเทียนหยวนเดินหน้ามาหนึ่งก้าว
พอเข้าใกล้ ความรู้สึกเช่นนั้นก็มาอีกแล้ว มั่วชิงเฉินแทบอยากจะตบหน้าตนแรงๆ อีกสักที เหตุใดจึงไม่เอาไหนเพียงนี้ นางถอยหลังอย่างทุลักทุเลไปหนึ่งก้าว ว่า “ท่านอาจารย์อาเยี่ย หากไม่มีเรื่องอื่นแล้ว ผู้น้อยขอตัวก่อนแล้ว”
พูดจบก็ไม่สนใจฐานะแล้ว หันหลังแล้วหนีไป
เยี่ยเทียนหยวนมองดูแผ่นหลังที่หนีอย่างหัวซุกหัวซุนของมั่วชิงเฉิน เม้มริมฝีปากบางแน่น แล้วบินไปทางเขารั่วสุ่ย
มั่วชิงเฉินวิ่งภายในอึดใจเดียวไปถึงหน้าลานบ้านตนถึงหยุดลงมา พยุงประตูใหญ่ลายชิงมู่ แล้วยิ้มเยาะตนเอง
มีใครเคยประสบบ้าง ความรู้สึกที่ในใจรังเกียจจวนจะตายแท้ๆ ทว่าร่างกายกลับอยากเข้าใกล้อย่างบังคับตนเองไม่ได้?
เมื่อเข้าไปในลานบ้าน กลับพบยันต์ส่งสารแผ่นหนึ่งไม่รู้โผล่ออกมาจากมุมไหน ตกลงสู่มือนาง
“ศิษย์น้องชิงเฉิน ข้าได้ยินมาว่าหรวนหลิงซิ่วจะไปหาเรื่องเจ้า หญิงผู้นั้นนิสัยเอาแต่ใจ หากเจ้าถูกนางพบเข้า จำไว้ว่าอย่าใช้ไม้แข็งปะทะแข็ง อดทนความโกรธเพียงชั่ววูบถึงเป็นวิธีที่ยั่งยืน ข้าได้บอกเรื่องนี้แก่ศิษย์พี่เยี่ยที่นางใส่ใจที่สุดแล้ว อาจสามารถช่วยเจ้าแก้ปัญหาได้ จากมั่วหลีลั่ว”
มั่วชิงเฉินอ่านสารบนยันต์ส่งสารจบ ยันต์แผ่นนั้นก็ระเบิดแตกออก กลายเป็นควันเขียวกระจายไปในอากาศ
มั่วชิงเฉินยิ้ม ไม่ว่าจะเป็นอาจารย์อาเยี่ยหรือว่าหรวนหลิงซิ่ว ไปตายเสียให้หมดเถอะ
สิบวันที่นางอยู่ในแดนลี้ลับ ต้องตื่นตัวคอยระมัดระวังเต็มที่ตลอด ศึกระหว่างความเป็นความตายยิ่งผ่านมาหลายครั้ง บวกกับสภาพจิตใจที่สูงขึ้นบนเรือบิน และคลื่นลมต่างๆ หลังจากนั้น บัดนี้สิ่งที่ต้องการที่สุด ก็คือสงบใจลงมาบำเพ็ญเพียร
เข้าไปในห้องที่ไม่ได้กลับมาหลายวัน มั่วชิงเฉินเสกคาถาปัดกวาดฝุ่นผง แล้วนั่งลงหน้าโต๊ะเครื่องแป้ง พิจารณาตนที่บวมเป็นหัวหมูในกระจกแก้วทีหนึ่ง
จากนั้น นางรื้อยามังกรเหลืองออกมา ใช้ปลายนิ้วแตะแล้วทาลงบนแก้ม รู้สึกเย็นขึ้นมาทันที ความรู้สึกปวดแสบปวดร้อนทุเลาลงมาก
“วั่งชวน ข้ากลับมาแล้ว อย่างไรก็เจ้าดีที่สุด มักอยู่เป็นเพื่อนข้าอย่างสงบ ดื่มสุราเป็นเพื่อนข้าดีหรือไม่?” มั่วชิงเฉินเรียกหุ่นเชิดวั่งชวนออกมา ในมือถือขวดน้ำเต้าสุราใบหนึ่ง
วั่งชวนย่อมไม่ขยับเขยื้อนเป็นธรรมดา มั่วชิงเฉินก็ไม่ใส่ใจ ดื่มสุราจากขวดน้ำเต้าทีละอึกๆ ขึ้นมา
ไม่รู้ดื่มไปเท่าไร ก็ได้ยินมั่วชิงเฉินพึมพำว่า “วั่งชวน เสียดายที่เจ้าพูดไม่ได้ บอกข้าไม่ได้ว่าตกลงนี่มันเรื่องอะไรกันแน่”
พูดถึงตรงนี้ก็พูดไม่ออก นึกถึงตาเฒ่าน่ารักที่อารมณ์ร้อนพลุ่งพล่าน กลับเฉพาะเจาะจงอดทนสอนตนด้วยตนเองตั้งแต่ความรู้ทั่วไปของโลกบำเพ็ญเพียรจนถึงข่าวลับต่างๆ น้ำตาที่ไม่เห็นเสียนานของมั่วชิงเฉินก็เอ่อขึ้นมา
“ท่านปู่ หากท่านยังมีชีวิตอยู่ ต้องบอกชิงเฉินได้แน่ใช่ไหมเจ้าคะ ว่าเรื่องทั้งหมดนี่มันเรื่องอะไรกันแน่? เหตุใดชิงเฉินพบชายผู้นั้นแล้ว ก็จะถูกดึงดูดอย่างหักห้ามใจไม่ได้? หรือว่า หญิงอื่นก็เป็นเช่นนี้ ถึงต่างเกาะแกะเขาอย่างบ้าคลั่ง?” มั่วชิงเฉินพึมพำไปเรื่อยเปื่อย
“ไม่ถูก ไม่ถูก ชิงเฉินดูออก ดูเหมือนเขาก็มีความรู้สึกเช่นเดียวกันต่อข้า นี่เพราะอะไร หรือว่าเพราะเขาเป็นร่างหยางบริสุทธิ์ ทว่า ทว่าชิงเฉินไม่ใช่ร่างหยินบริสุทธิ์นี่นา…” มั่วชิงเฉินกอบขวดน้ำเต้าสุราไว้ พูดบ่นไปเรื่อย
ผ่านไปพักใหญ่ นางขดตัวอยู่บนเตียง ค่อยๆ หลับลึกแล้ว
ผ่านการปล่อยตัวปล่อยใจหนึ่งวัน มั่วชิงเฉินที่ไม่ชอบยึดติดกับอะไรที่ไม่ได้คำตอบก็ทิ้งเรื่องนี้ไว้ข้างหลัง แล้วเข้าสู่การบำเพ็ญเพียรอย่างตั้งใจเต็มที่
พริบตาเดียวผ่านไปสามเดือนกว่า มั่วชิงเฉินลืมตาขึ้นค่อยๆ ถอนหายใจออก เป็นจริงดังคาด ตนยังคงชอบวันเวลาที่บำเพ็ญเพียรด้วยใจสงบเช่นนี้ ทว่าประโยชน์ของการต่อสู้จริงก็มากมายจริงๆ นี่อย่างไรล่ะเวลายังไม่ถึงหนึ่งปี ไม่คิดว่านางจะขึ้นถึงขั้นสิบแล้ว
แม้จะบอกว่าโอสถของตนเพียงพอเสมอมา ทว่าอาศัยพรสวรรค์ของตน ความเร็วในการบำเพ็ญเพียรเช่นนี้กลับแยกจากการทดสอบของหุบเขาโยวเล่อและการทะลวงสภาพจิตใจโดยบังเอิญบนเรือบินไม่ออก
ยืนอยู่กลางลานบ้าน มั่วชิงเฉินหายากที่จะมีเวลาว่างพิจารณาต้นทับทิมที่เพิ่งแตกหน่อสีเขียวที่อยู่ข้างกำแพง นกกระเต็นสองสามตัวเกาะอยู่บนกิ่งไม้ร้องจิ๊บๆ จู่ๆ ก็มีอารมณ์ขึ้นมา รื้อเก้าอี้โยกตัวหนึ่งจากถุงเก็บวัตถุวางไว้ใต้ต้นไม้ ทั้งตัวขดอยู่ในเก้าอี้โยก หรี่ตาครึ่งหนึ่งแล้วดื่มสุราทีละอึกๆ
น้ำเต้านี้ช่างเป็นสมบัติล้ำค่าจริงๆ ไม่เพียงแต่มีสุราเลิศรสไม่ขาดสาย ยังสามารถเร่งสมุนไพรทิพย์ให้สุกงอม ไม่แน่ในอนาคต อาจจะสามารถค้นพบวิธีใช้มหัศจรรย์อย่างอื่นก็ไม่แน่…
มั่วชิงเฉินอมยิ้มที่มุมปาก ปลายนิ้วไล้ผ่านขวดน้ำเต้าน้อยที่ทำเป็นจี้ห้อยคอ
กลับจู่ๆ ได้ยินเสียงหนึ่งว่า “แว้ดๆ เจ้าคิดจะหมกข้าให้ตายหรือไง ยังไม่ปล่อยข้าออกไปอีก!”
มั่วชิงเฉินชะงัก ถึงนึกได้ว่าเป็นเสียงของอีกาไฟตัวนั้น วันนั้นเนื่องจากมันได้รับบาดเจ็บถูกตนเก็บไว้ในถุงอสูรวิญญาณ ยามที่กำลังจะออกจากหุบเขาคิดๆ แล้ว ยังคงไม่ได้ปล่อยมันไว้ เพราะอย่างไรเสียในแดนลี้ลับมีปีศาจอสูรมากมาย มันที่สลบไสลไม่ฟื้นไม่แน่ก็อาจกลายเป็นอาหารกลางวันในท้องของพวกมัน
อย่างไรเสียก็อยู่ด้วยกันมาระยะเวลาหนึ่ง ต่อให้จะแยกจากกันก็ต้องรอมันตื่นก่อนค่อยว่ากัน ใครจะรู้ว่ามันจะนอนตั้งหลายวันเพียงนี้ จนตนเกือบจะลืมว่ามีเจ้านี่อยู่เสียแล้ว
มั่วชิงเฉินพิจารณาจิต อีกาไฟก็กระโดดออกมาจากถุงอสูรวิญญาณ กระพือปีกอยู่กลางอากาศมองไปรอบด้าน แล้วทำตาเหลือกพูดอย่างดูแคลนว่า “ที่นี่ที่ไหนน่ะ โล้นเลี่ยนเตียนเชียว น่าเกลียดจริงๆ!”
“นี่คือที่พำนักของข้า” มั่วชิงเฉินกระตุกมุมปากว่า นางว่าแล้ว เมื่อเจ้านี่ออกมาก ชีวิตเงียบสงบของตนก็หายไปไม่ย้อนกลับแล้ว
อีกาไฟฟังแล้วแว้ดๆสองที หัวเราะเยาะว่า “เจ้าอาศัยอยู่ในสถานที่อัปลักษณ์เช่นนี้หรือเนี่ย จุ๊ๆ…ไม่ถูกนี่นา เหตุใดข้าถึงอยู่ที่นี่ได้!” ขึ้นเสียงสูงทันที
มั่วชิงเฉินขมับเต้นตุ้บๆ กัดฟันว่า “เจ้าอย่าหนวกหูเช่นนี้จะได้หรือไม่ วันนั้นเจ้าได้รับบาดเจ็บข้าจึงติดมือพาเจ้าออกจากหุบเขาโยวเล่อ…”
“ติดมือ?” ยังไม่รอมั่วชิงเฉินพูดจบ อีกาไฟก็โมโหกรีดร้องขึ้นมา
มั่วชิงเฉินไม่สนใจมัน พูดต่อว่า “หากคิดจะกลับไปก็ไม่ใช่เป็นไปไม่ได้ รอสิบปีให้หลังแดนลี้ลับหุบเขาโยวเล่อเปิดออกอีกครั้ง เจ้าก็…”
“สิบปี!!” อีกาไฟร้องเสียงยิ่งดังขึ้นอีก
ในที่สุดมั่วชิงเฉินก็หน้าบึ้งลง “หุบปาก เอาเป็นว่าบัดนี้ก็เป็นเช่นนี้แหละ เจ้าไม่เต็มใจก็ช่วยไม่ได้”
แต่ไหนแต่ไรมานางไม่ใช่คนอดกลั้นฝืนทน เวลาสู้คนอื่นไม่ได้ต้องอดทนชั่วคราวเป็นเรื่องที่ช่วยไม่ได้ แต่ถ้าสู้ได้ยังต้องทน นั่นก็คือทรมานตนเอง
อีกาไฟชะงักอยู่กลางอากาศ ปีกลืมกระพือ ยามที่ร่างทั้งร่างร่วงลงมาถึงกระพือขึ้นมาอย่างสุดชีวิตอีก บินขึ้นไปเกาะบนต้นทับทิม แล้วร้องแว้ดๆ สองทีอย่างน้อยใจ
ไม่รู้ใช่คิดไปเองหรือไม่ ไม่คิดว่ามั่วชิงเฉินจะฟังออกถึงความเศร้าโศกในเสียงร้องนี้ แต่กลับนั่งกลับลงไปบนเก้าอี้โยกอย่างไม่มีความเห็นใจแม้แต่น้อย หรี่ตาเริ่มดื่มสุราขึ้นมา
“เอื้อก” เสียงประหลาดเสียงหนึ่งลอยมา
มั่วชิงเฉินมือกระตุกทีหนึ่ง จิบสุราต่ออีกอึก
“เอื้อก” เสียงลอยมาอีกแล้ว
ในที่สุดมั่วชิงเฉินก็เหล่อีกาไฟปราดหนึ่ง
อีกาไฟส่งเสียงทางจิตอย่างขุ่นเคือง “เจ้าดื่มอะไรน่ะ?”
มั่วชิงเฉินก็ไม่อยากรังแกมันเกินไป จึงยกมือส่ายไปมาว่า “สุราทิพย์ เจ้าจะลองชิมดูหรือไม่?”
เพื่อไม่ให้ความลับของขวดน้ำเต้ารั่วไหล มั่วชิงเฉินก็เรียกสุราเลิศรสที่นางดื่มเป็นประจำว่าสุราทิพย์เช่นกัน อย่างไรเสียชนิดของสุราทิพย์มีมากมาย ใครจะตามสืบสาวต้นสายปลายเหตุได้ล่ะ
“เอื้อก” อีกาไฟจ้องขวดน้ำเต้าในมือมั่วชิงเฉิน แล้วกลืนน้ำลายอีก “ข้าก็จะดื่ม!”
แสงสีเขียวสายหนึ่งลอยมา อีกาไฟยื่นปีกออกรับไว้ ค่อยๆ กอบขึ้นมา เอาปากฝังเข้าไปข้างในเริ่มดื่มขึ้นมา
เห็นท่าทางฝังหัวดื่มสุราของมัน มั่วชิงเฉินหัวเราะคิกคัก
“แว้ดๆ ต่อไปเจ้าให้ข้าดื่มสุรานี่ทุกวัน ข้าก็ไม่ไปแล้ว แว้ดๆ” อีกาไฟหมุนรอบอย่างตื่นเต้น
“ข้าไม่ได้ขอร้องให้เจ้าอยู่เสียหน่อย หากเจ้าเต็มใจ ก็สามารถยกเลิกพันธสัญญาได้ตลอดเวลา” มั่วชิงเฉินหยอกเล่นว่า
อีกาไฟโมโหจนตาเหลือก แต่ก็อาลัยอาวรณ์รสชาติของสุราทิพย์อีก จึงบิดตัวว่า “เช่นนั้นต่อไปข้าช่วยเจ้าตีกับคนอื่น เจ้าให้ข้าดื่มสุรา!”
มั่วชิงเฉินหัวเราะฟู่หนึ่งที นึกไม่ถึงจริงๆ ว่าอีกาตัวหนึ่งก็รู้จักขายแรงงาน
“แว้ดๆ ตกลงได้หรือไม่ได้ มนุษย์อย่างพวกเจ้า ช่างจุกจิกจู้จี้” อีกาไฟร้อง
มั่วชิงเฉินยกคางขึ้น “ได้สิ อ้าว โอกาสการแสดงฝีมือของเจ้ามาแล้ว!”
หน้าประตูมีความเคลื่อนไหว อีกาไฟบินสวบเข้าไป อ้าปากพ่นลูกไฟออกมาลูกหนึ่ง
“เอ๊ะ นี่มันตัวอะไร?” ทันใดนั้นมีเสียงกรีดร้องของหญิงสาวลอยมา
จากนั้นก็เห็นหญิงสาวสองคนหนีเข้ามาอย่างทุลักทุเล เสื้อบนตัวของทั้งสองคนถูกเผาจนขาดวิ่น คนหนึ่งในนั้นผมยังถูกเผาจนไหม้ ส่งกลิ่นเหม็นไหม้ไม่น่าดม
มั่วชิงเฉินเอนหลังอยู่บนเก้าอี้โยกมองดูโดยไม่ออกเสียง มุมปากกระดก
อีกาไฟมีตบะเกือบเท่าระดับหลอมลมปราณโดยสมบูรณ์ พวกนางสองคนจะรับมือได้อย่างไรไหว
“แว้ดๆ!” อีกาไฟบินไปถึงหน้ามั่วชิงเฉิน ร้องอย่างเอาหน้า
สองสาวแม้ฟังภาษาอีกาไฟไม่ออก แต่กลับเห็นความสัมพันธ์ของมันและมั่วชิงเฉินอย่างชัดเจน คนหนึ่งในนั้นโมโหว่า “มั่วชิงเฉิน ไม่คิดว่าเจ้าจะใช้เดรัจฉานมาโจมตีเรา ไม่กลัวข้าไปบอกอาจารย์อาผู้ดูแลหรืออย่างไร?”