พันธกานต์ปราณอัคคี - ตอนที่ 134
“ศิษย์? นี่หมายความเช่นไร?” นักพรตหานจางขมวดคิ้วว่า เขาไม่รู้ว่าตั้งแต่เมื่อไร ศิษย์ฆราวาสตัวเล็กๆ คนหนึ่งก็ถูกผู้บำเพ็ญเพียรระดับก่อแก่นปราณเรียกว่าศิษย์ได้แล้ว
ผู้บำเพ็ญเพียรแซ่เฉียนคารวะอีกครั้งว่า “เรียนอาจารย์ลุง เขาชิงมู่ของเรามีผู้บำเพ็ญเพียรหญิงคนหนึ่งชื่อมั่วชิงเฉิน ก่อนหน้านี้บอกว่าได้รับการเชื้อเชิญจากสหายมาเป็นแขกที่เขาต้วนจิน นางก็คือศิษย์ของท่านผู้เฒ่าเหอกวงขอรับ”
“เหลวไหลสิ้นดี นางใส่ชุดศิษย์ฆราวาสชัดๆ!” นักพรตหานจางมองนักพรตรั่วซีที่ยิ้มดุจดอกไม้ กำลังพิจารณาพวกเขาสองคนอย่างสนุกปราดหนึ่ง พูดด้วยอารมณ์โกรธว่า
เรื่องประหลาดมีทุกปี ปีนี้มากเป็นพิเศษ เหตุใดเจ้าพวกที่ปกติแทบจะไม่ตายก็ไม่ไปมาหาสู่กันพวกนั้น เร็วๆ นี้วิ่งมาบอกว่าคนที่เขาจับมาเป็นศิษย์ของพวกเขาทีละคนๆ
หากเขาจับศิษย์ติดมือมาอีกคน แม้แต่ท่านไท่ซ่างเหล่าจู่แห่งเขาโฮ่วเต๋อก็จะวิ่งมาบ้างแล้วใช่หรือไม่?
เห็นท่าทางโกรธเกรี้ยวของนักพรตหานจาง ผู้บำเพ็ญเพียรแซ่เฉียนกลับเอ่ยอย่างไม่แสดงอารมณ์ว่า “เรียนอาจารย์ลุง ศิษย์ไม่กล้าโป้ปดเด็ดขาด มั่วชิงเฉินถูกท่านผู้เฒ่ารับเป็นศิษย์บันทึกชื่อไว้นานแล้ว เพียงแต่ท่านผู้เฒ่าเหยากวงหวังให้นางสร้างพื้นฐานให้ดีฝึกฝนให้มาก นี่ถึงไม่ได้ประกาศต่อภายนอก รอเพียงให้นางกลายเป็นผู้บำเพ็ญเพียรระดับสร้างรากฐาน ก็จะรับเป็นศิษย์อย่างเป็นทางการ ท่านดูสิ นี่คือป้ายคำสั่งของท่านผู้เฒ่าเหอกวงขอรับ”
เห็นป้ายคำสั่งเล็กๆ อันนั้น ไม่เพียงแต่นักพรตหานจาง แม้แต่นักพรตรั่วซีก็สีหน้าเปลี่ยนไปเล็กน้อย หรือว่า นางหนูน้อยนั่นจะเป็นศิษย์ของนักพรตเหอกวงจริงๆ?
ทั่วทั้งพรรคเหยากวงมีใครไม่รู้บ้าง อัจฉริยะผู้ได้รับพรจากสวรรค์มากที่สุดก็คือนักพรตเหอกวง เขาก็เป็นคนเจียมเนื้อเจียมตัวไม่ยึดติดจนขึ้นชื่อ หากไม่เพราะเรื่องในวันวาน ผู้บำเพ็ญเพียรระดับก่อกำเนิดท่านที่หกนอกจากเขาก็ไม่มีใครอีกแล้ว
ต่อให้ในยามนี้ ผู้บำเพ็ญเพียรระดับก่อแก่นปราณทั่วไปก็ไม่อยากมีเรื่องบาดหมางกับเขา แม้ตบะของเขาไม่เพิ่มขึ้นเสียที ทว่ากลับไม่ใช่เพราะพรสวรรค์ไม่พอ แต่เพราะมีปมในใจ หากมีวันหนึ่งปมในใจแก้ออก อนาคตยากจะคาดคะเนได้
“ท่านอาจารย์ลุง ท่านว่า…” ผู้บำเพ็ญเพียรแซ่เฉียนเอ่ยอย่างไม่รีบร้อน
นักพรตหานจางรู้สึกเพียงอัดอั้นตันใจ เอ่ยเสียงอึดอัดว่า “ใครไม่รู้ว่าศิษย์น้องเหอกวงเย็นชาปลีกวิเวก ไปมาหาสู่กับคนอื่นน้อยยิ่งนัก ถึงบัดนี้ยิ่งไม่เคยมีศิษย์แม้แต่คนเดียว ข้าไม่เชื่อว่าอยู่ดีๆ เขาจะรับนางหนูน้อยคนหนึ่งเป็นศิษย์ หรือว่านางหนูนั่นก็มีพรสวรรค์ยอดเยี่ยม ฮึ หากเป็นเช่นนี้ นางก็ไม่ใช่ศิษย์ฆราวาสแล้ว”
ทันใดนั้นนักพรตรั่วซีที่อยู่ข้างๆหัวเราะว่า “ศิษย์น้องหานจางพูดเช่นนี้ก็ผิดแล้ว ดูสิ ศิษย์คนสุดท้องของข้านี่ก่อนหน้านี้วันหนึ่งยังมีฐานะเป็นศิษย์ฆราวาสเลย ใครจะพูดได้อีกล่ะว่าร่างหยินบริสุทธิ์นั้นด้อยพรสวรรค์ด้วยล่ะ? หึๆ รุ่นหลังที่รับศิษย์พวกนั้น ไม่แน่อาจจะตาส่อน จึงดูพลาดไปทั้งอย่างนั้นก็ได้”
“ท่าน!” นักพรตหานจางรู้สึกเพียงอารมณ์พลุ่งพล่านขึ้นมา พลังวิญญาณในกายปั่นป่วนในทันใด เกือบจะธาตุไฟเข้าแทรก
“ศิษย์น้องหานจาง เจ้าก็อารมณ์ร้อนเช่นนี้แหละ ข้าว่าเจ้าปล่อยนางหนูนั่นออกมาเถอะน่ะ ให้ข้าได้ดูหน่อย คนที่ถูกตาต้องใจศิษย์น้องเหอกวง ท่าทางเป็นเช่นไรกันแน่” นักพรตรั่วซีซ้ำเติมว่า
นักพรตหานจางสูดหายใจลึกๆ อึดหนึ่ง กดความโกรธไว้ หันหน้าไปว่า “หมิงเฟิง เจ้าไปพานางหนูนั่นออกมา”
“ขอรับ” ผู้บำเพ็ญเพียรหน้ายาวข้างๆ รับคำ หันหลังจากไป
เพียงชั่วครู่ ผู้บำเพ็ญเพียรหน้ายาวนั่นเตลิดกลับมาอีก เรียกอย่างลนลานว่า “อาจารย์…”
“ลนๆ ลานๆ เหมือนอะไร!” นักพรตหานจางเอ็ดว่า
ผู้บำเพ็ญเพียรแซ่เฉียนในใจบีบรัดคราหนึ่ง หรือว่า เกิดเรื่องอะไรกับนางหนูนั่น?
“อาจารย์ ห้องลับนั่นถูกปกคลุมไปด้วยแสงวิญญาณสีเขียว จิตสัมผัสเข้าได้ยาก ดูท่าทาง นางหนูนั่น นางหนูนั่นกำลังสร้างรากฐานอยู่ขอรับ!” ผู้บำเพ็ญเพียรหน้ายาวพูดจบในอึดใจเดียว
“อะไรนะ!” ไม่กี่คนที่อยู่ที่นี่ถามพร้อมกัน
เป็นที่รู้กัน ผู้บำเพ็ญเพียรถึงระดับหลอมลมปราณขั้นสิบเอ็ดก็สามารถทะลวงระดับสร้างรากฐานได้ ทว่าอยู่ระดับหลอมลมปราณขั้นสิบเอ็ดก็ทำเช่นนี้จริงๆ มีไม่กี่คน ผู้บำเพ็ญเพียรส่วนใหญ่ล้วนเลือกรอให้ถึงระดับหลอมลมปราณขั้นสิบสองถึงลงมือสร้างรากฐาน หากบางคนที่พรสวรรค์ด้อยหรือไม่ได้โอสถสร้างรากฐานเสียที ตบะหยุดชะงักอยู่ที่ระดับหลอมลมปราณขั้นสมบูรณ์หลายปีค่อยสร้างรากฐานก็มีมากมาย
คนที่กล้าสร้างรากฐานตั้งแต่อยู่ระดับหลอมลมปราณขั้นสิบเอ็ด นอกจากอัจฉริยะได้พรจากสวรรค์ ก็คือคนบ้าบิ่นที่ไร้ความรู้ไร้ความกลัว
ไม่กี่คนมองตากันปราดหนึ่ง รีบเร่งไปที่ห้องลับพร้อมกัน เป็นจริงดังคาด นอกห้องลับแสงวิญญาณสีเขียวที่สามารถเห็นได้ด้วยตาเปล่าเอ่อจากหน้าต่างบานเล็กนั่นเข้าข้างใน ดูจากเหตุการณ์แล้ว คือผู้บำเพ็ญเพียรสร้างรากฐานอยู่อย่างไม่ต้องสงสัย
“เสี่ยวซย่า มั่วชิงเฉินบ้าไปแล้วใช่หรือไม่ หากนางสร้างรากฐานล้มเหลว ด้วยตบะก่อนหน้านี้ของนาง รับพลังสะท้อนไม่ไหวโดยสิ้นเชิง” เฉินเจียวซิ่งกัดริมฝีปากว่า
นี่ก็คือสาเหตุที่ผู้บำเพ็ญเพียรส่วนใหญ่ไม่กล้าเลือกสร้างรากฐานในระดับหลอมลมปราณขั้นสิบเอ็ด หากล้มเหลวในยามนี้ ร่างกายจะรับปราณวิญญาณที่ดูดเข้ามาได้ยากมาก หากตันเถียนระเบิด เช่นนั้นก็จบแล้ว มีเพียงรอให้ถึงหลังจากระดับหลอมลมปราณขั้นสิบสอง ถึงพอกล้อมแกล้มรับมือไหว หากครั้งหนึ่งไม่สำเร็จละก็ ยังมีโอกาส
เสี่ยวซย่าสีหน้าซีดเซียว กลับฝืนยันไว้ว่า “ไม่หรอก นางหนูนั่นไม่เคยทำอะไรที่ไม่มั่นใจมาก่อน”
ไม่พูดถึงทุกคนนอกห้องลับต่างคนต่างความคิด เพียงพูดถึงมั่วชิงเฉินว่าเหตุใดจู่ๆ ถึงกระทำการน่าตกใจเช่นนี้นะ
ที่แท้นางอยู่ในห้องลับ อีกาไฟที่บำเพ็ญเพียรอยู่ในถุงอสูรวิญญาณตลอดจู่ๆ ก็ตื่นขึ้นมา อีกานั่นด้วยความเบื่อมากจึงบินออกจากหน้าต่างไป กลับพบว่าห้องลับนี้แม้ถูกขัดขวางจิตสัมผัสไว้ แต่หน้าต่างกลับให้สิ่งของเข้าออกได้ ตอนนั้นจึงทิ้งมั่วชิงเฉินไว้อย่างไร้คุณธรรม บินพุ่งออกไป
อีกาไฟตัวนี้เพิ่งเตร็ดเตร่ออกมาได้ไม่นาน ก็ได้ยินการสนทนาครึ่งแรกของเฉินเจียวซิ่งและเสี่ยวซย่า มันรีบบินกลับไปอย่างร้อนรนทันที ใส่สีตีไข่เล่าเรื่องทั้งหมดให้มั่วชิงเฉินฟังรอบหนึ่ง
มั่วชิงเฉินได้ฟังแล้วก็ชะงัก เดิมทีนางนึกว่านักพรตหานจางขังนางขึ้นมา จะกักขังหน่วงเหนี่ยวอิสรภาพนางสักระยะ หรือใช้วิธีบางอย่างให้นางได้รับความลำบากบ้าง ทว่าไม่คิดว่าเขาผู้บำเพ็ญเพียรระดับก่อแก่นปราณผู้สง่าผ่าเผย ไม่คิดว่าจะกระทำการเหลวไหลเช่นนี้
เมื่อคิดว่าจะมอบตนเองให้ผู้ชายที่แทบจะแปลกหน้าอย่างสิ้นเชิงใช้เป็นหรูติ่ง ปล่อยให้เขาปฏิบัติกับตนตามใจ ไม่ว่าจะเป็นนางที่ได้รับการศึกษาเรื่องความรักอิสระที่อีกโลกหนึ่ง หรือนางที่ถูกขับกล่อมด้วยขนบธรรมเนียมประเพณีในโลกนี้ ก็ไม่อาจยอมรับได้
ปกติแม้มั่วชิงเฉินจะรอบคอบ ทว่าหากพบเจอเรื่องอะไรที่หนีไม่พ้นแล้ว ที่จริงนิสัยนางก็คือนักเลงดีๆ นี่เอง
นางคิดไปคิดมา หากไม่อยากนั่งรอความตาย เช่นนั้นวิธีเดียวที่มีก็คือสร้างรากฐาน!
ปีนี้นางอายุยี่สิบสองปี หากสร้างรากฐานสำเร็จ นางไม่เชื่อว่านักพรตหานจางยังกล้าเห็นนางเป็นของเล่นชิ้นหนึ่งมอบให้คนตามใจ
แต่หากไม่สำเร็จ…
มั่วชิงเฉินกัดริมฝีปากอย่างแรงทีหนึ่ง หากไม่สำเร็จ เช่นนั้นก็ไม่ต้องเผชิญหน้ากับเรื่องต่อจากนั้นแล้ว ไม่ว่าสำเร็จหรือไม่ ล้วนดีกว่าให้เรื่องนั้นเกิดขึ้นจริงๆ
มั่วชิงเฉินดื้อดึงขึ้นมาแล้ว กลับไม่ใช่บุ่มบ่ามทั้งหมด ตั้งแต่ยามที่นางสิ้นสุดการบำเพ็ญเพียรสามปีได้ระดับหลอมลมปราณขั้นสิบเอ็ด ฉวยโอกาสคลื่นลมครั้งนั้นในปีนั้นค่อยๆ สงบลง นางก็ไปโถงจัดหารับโอสถสร้างรากฐานสามเม็ดนั้นของตนอย่างไม่ให้สุ้มให้เสียง บวกกับที่นางหลอมออกมาได้เอง มีมากถึงสิบกว่าเม็ด เมื่อนางสร้างรากฐานสำเร็จ ย่อมสามารถอธิบายได้ว่าโอสถสร้างรากฐานมาจากไหนแล้ว
นอกจากนี้ ไม่รู้เพราะเหตุใด มั่วชิงเฉินพบว่าชีพจรของตนยิ่งนานยิ่งแกร่งและกว้าง แกร่งก็ช่างเถอะ อาจเป็นเหตุจากตบะสูงขึ้น ทว่าตามหลักแล้ว หากไม่ได้ทะลวงเขตแดน ชีพจรจะไม่กว้างขึ้น มีเพียงรอให้ชีพจรถูกปราณวิญญาณเติมเต็มรับไม่ไหวอีกแล้ว นั่นก็คือบำเพ็ญเพียรถึงระดับหลอมลมปราณขั้นสมบูรณ์ สามารถสร้างรากฐานเพราะเงื่อนไขสุกงอมแล้ว
ถึงตอนหลัง มั่วชิงเฉินได้แต่คาดเดาอย่างเลือนราง หรือว่าความพิเศษเหล่านั้นของร่างกายตน กับการที่นางดื่มสุราเลิศรสในขวดน้ำเต้าสุรานั้นจะเกี่ยวข้องกัน?
มั่วชิงเฉินที่ตัดสินใจเด็ดขาด จึงนั่งขัดสมาธิลง ผ่อนคลายทั้งตัว ปิดเปลือกตาลง รอลมหายใจเชื่องช้ายืดยาวจิตใจเข้าฌานแล้ว จึงพลิกมือโยนโอสถหน่อหยกเม็ดหนึ่งเข้าปาก ตามด้วยกลืนโอสถสร้างรากฐานเม็ดหนึ่งลงไปทันที
โอสถสร้างรากฐานเปรียบดังราดน้ำมันลงในกองไฟ ปราณวิญญาณในร่างระเบิด ‘ปัง’ ขึ้นมา ต่อจากนั้นเหมือนม้าคึกที่หลุดจากบังเ**ยน ไหลพุ่งเข้าชีพจร
มั่วชิงเฉินกัดฟันไว้ ทำตามวิธีสร้างรากฐานที่พูดถึงในเคล็ดวิชา ผ่อนคลายทุกซอกมุมในร่างกาย ไม่ต่อต้านปราณวิญญาณมหาศาลสายนี้ หากแต่ดึงพลังวิญญาณออกมาสายหนึ่งค่อยๆ ชี้นำ ค่อยๆ ตามวิถีการเดินของปราณวิญญาณสายนี้ไปสู่ชีพจรที่จะทะลวง
ยามที่ปราณวิญญาณทะลวงชีพจร มั่วชิงเฉินรู้สึกถึงความเจ็บปวดอย่างยิ่งยวดสายหนึ่งส่งผ่านมา ความเจ็บปวดชนิดนั้นราวกับฟาดลงที่จิตของคนโดยตรง เจ็บปวดจนนางเหงื่อเย็นไหลโชก แต่กลับร้องไม่ออก
มั่วชิงเฉินในยามนี้ ทิ้งความคิดรบกวนทุกสิ่งไป ด้านหนึ่งทะลวงชีพจรครั้งแล้วครั้งเล่า ด้านหนึ่งปรับลมหายใจของตน
ในที่สุด นางก็สามารถได้ยินเสียฉีกขาดของชีพจรในร่างกายทุกกระเบียดนิ้วอย่างชัดเจน ความเจ็บปวดเช่นนั้นไม่อาจพรรณนาได้แล้ว ตามติดด้วยประโยชน์จากโอสถ ชีพจรที่ขาดทุกกระเบียดนิ้วนั้นก็ต่อติดขึ้นมาอีก จุดเชื่อมนับไม่ถ้วนเหมือนถูกแมลงกัดกินหัวใจ ชาจนตัวสั่นเทิ้ม
ชีพจรที่เชื่อมขึ้นมาถูกทะลวงขาดอีกครั้ง เชื่อมขึ้นอีกครั้ง เชื่อมต่อติดก็ทะลวงอีก เป็นเช่นนี้ซ้ำไปซ้ำมา ไม่รู้ผ่านไปกี่ครั้ง มั่วชิงเฉินค่อยๆ รู้สึกว่าทุกอย่างล้วนไม่เหลืออยู่แล้ว มีเพียงความเจ็บปวดที่ยาวนานไม่มีที่สิ้นสุดเคียงคู่กับเสียงชีพจรฉีกขาด
ตันเถียนของมั่วชิงเฉิน ยามนี้เหมือนโอ่งน้ำที่ใส่น้ำจนเต็ม เห็นว่าเก็บไม่ได้แล้วจะหกออกไป กลับเฉพาะเจาะจงไม่มีที่ไป จึงได้แต่เบียดอัดลงข้างล่าง เบียดอัดอีก ทว่าในเวลาเดียวกับที่เบียดอัดก็มีปราณวิญญาณนับไม่ถ้วนเอ่อเข้ามาอีก
ไม่รู้ผ่านไปนานเพียงใด ทันใดนั้นมั่วชิงเฉินรู้สึกว่าความเจ็บปวดเช่นนั้นทุเลาลงแล้ว นางกลืนโอสถสร้างรากฐานอีกเม็ดหนึ่งลงไปอย่างไม่ลังเล
ทั่วไปแล้วการที่ผู้บำเพ็ญเพียรสร้างรากฐานล้มเหลวแบ่งสถานการณ์ได้สองชนิด หนึ่งคือทนความเจ็บปวดที่ชีพจรฉีกขาดซ้ำๆ ไม่ไหว หากเป็นเช่นนี้ละก็การสร้างรากฐานล้มเหลว และต้องรับพลังสะท้อนกลับไม่น้อย ต่อไปยามสร้างรากฐานอีก จะยิ่งยากลำบาก
อีกชนิดหนึ่ง คือชีพจรรับการทะลวงของปราณวิญญาณได้แล้ว ทว่าจนถึงฤทธิ์ยาของโอสถสร้างรากฐานหายไป ตันเถียนยังไม่ทันได้เปลี่ยนปราณวิญญาณที่เข้มข้นเป็นของเหลววิญญาณ ขาดแรงผลักดันของโอสถสร้างรากฐาน จึงไม่มีแรงดำเนินต่อไปแล้ว
ทว่าเหตุการณ์เช่นนี้ ชีพจรของผู้บำเพ็ญเพียรจะถูกขยายกว้าง ของเสียในร่างกายก็จะถูกขับออกปริมาณมาก ยามสร้างรากฐานอีกในครั้งต่อไป ความเป็นไปได้ที่จะสำเร็จก็มากขึ้นมากแล้ว
ความเร็วที่ตันเถียนเปลี่ยนปราณวิญญาณและประสิทธิภาพย่อมเกี่ยวกับพรสวรรค์ของผู้บำเพ็ญเพียร สำหรับการนี้มั่วชิงเฉินเตรียมใจไว้นานแล้ว ดังนั้นเห็นฤทธิ์ยาของโอสถสร้างรากฐานกำลังจะหมดไป จึงกลืนลงไปอีกเม็ดหนึ่งอย่างไม่ลังเล
ภายในที่ค่อยๆ สงบลง ทีนี้คลื่นยักษ์ถาโถมขึ้นมาอีก มั่วชิงเฉินกลับแน่นิ่งไม่ไหวติง เปรียบดังเรือใบลำหนึ่งแล่นเรือเบาๆ ไม่ใช่ต่อต้าน หากแต่ไหลไปตามกระแส
โอสถสร้างรากฐานเม็ดที่สามถูกกลืนลงไป คลื่นลมในกายยิ่งแรง
เม็ดที่สี่
เม็ดที่ห้า
ยามนี้ในร่างมั่วชิงเฉินแม้มีคลื่นยักษ์พลิกขึ้นมา ทว่ากลับดูเหมือนมักจะขาดอยู่เพียงเล็กน้อย ทำให้ตันเถียนที่เต็มเปี่ยมไม่เปลี่ยนแปลงเสียที
มั่วชิงเฉินแข็งใจ กลืนโอสถสร้างรากฐานสองเม็ดลงไปพร้อมกัน
ครั้งนี้ ที่ตันเถียนของนางราวกับเกิดลมงวงช้างขึ้น คำรามพลางพุ่งเข้าชนไม่ยั้ง ชนจนตันเถียนของนางระเบิดไม่หยุด
ทันใดนั้น มั่วชิงเฉินได้ยินเสียง ‘แกร๊ก’ เบาๆ เสียงนั้นเบามากเบามาก หากไม่ใช่นางอยู่ในสภาพที่น่าพิศวงเช่นนี้ ไม่มีทางได้ยินเด็ดขาด
แย่แล้ว ตันเถียนปรากฏรอยร้าวแล้ว!
มั่วชิงเฉินที่ไม่ว่ารับความเจ็บปวดมหาศาลแค่ไหนก็สุขุมเสมอมา ในที่สุดก็สีหน้าเปลี่ยนแล้ว
ทีนี้ช่างเล่นแรง…จริงๆ แล้ว!