พันธกานต์ปราณอัคคี - ตอนที่ 138
เงียบไปชั่วครู่ เสียงทุ้มต่ำกลับไม่ขาดความสง่าของชายชุดเทาดังขึ้น “ลุกขึ้นเถอะ”
มั่วชิงเฉินยืนขึ้นเนิบๆ หลุบตาครึ่งหนึ่งยืนอยู่ตรงนั้น ความสงบเยือกเย็นบนใบหน้ากลับเพื่อปิดบังคลื่นลมถาโถมที่อยู่ในใจ
“ชิงเฉิน เจ้ามานี่” ชายชุดเทาเอ่ยอย่างอ่อนโยน
มั่วชิงเฉินเดินถึงหน้าเขาทีละก้าวๆ ยังคงไม่กล้าเงยหน้ามองเขา
ในปีนั้น การปรากฏตัวของเขาช่วยนางแก้เรื่องฉุกเฉินเสมือนไฟไหม้คิ้วให้นาง
ในปีนั้น การปรากฏตัวของเขาช่วยนางให้พ้นเคราะห์กรรม
ในยามที่นางลังเลไร้ทางช่วยที่สุด มีเขาอยู่เป็นเพื่อนเช้าเย็นนั่งนกกระเรียนขาวส่งพันลี้ แม้เป็นคนมาสองชาติ นางก็เป็นเพียงแค่หญิงสาวธรรมดา จึงใจอ่อนไหวอย่างหักห้ามใจตนเองไม่ได้
ทว่าพบกันอีกครั้ง เขาได้กลายเป็นอาจารย์ของนางซะแล้ว
“ข้าชื่อกู้หลี ยามก่อแก่นปราณได้รับสมญานามเหอกวง” ชายชุดเทาอธิบายเนิบๆ จากนั้นยิ้มแผ่วเบา “ชิงเฉิน ไม่คิดว่าผ่านไปแวบเดียวเจ้าก็โตขนาดนี้แล้ว นั่ง ยื่นมือออกมา”
สุดท้าย เขาคือท่านพี่กู้ในอดีตจริงๆ
มั่วชิงเฉินนึกถึงโดยที่ในใจขมขื่น ยื่นมือออกไปตามคำบอก
ในมือกู้หลีปรากฏจานกลมใบหนึ่ง บอกเป็นนัยให้มั่วชิงเฉินวางมือลงไป
มั่วชิงเฉินในพริบตานั้นรู้สึกลำบากใจอยู่บ้าง ตลอดมา นางไม่เคยดูถูกตนเองเพราะตนมีสี่รากวิญญาณ ทว่าในยามนี้ จู่ๆ กลับมีความคิดหนึ่งแวบผ่าน เขาจะผิดหวังเพราะตนมีรากวิญญาณเทียมหรือไม่?
แสงวิญญาณสี่สีสว่างขึ้น กู้หลีไม่มีปฏิกิริยาใดๆ ตรงกันข้ามกลับยื่นนิ้วมือที่เรียวยาวแตะบนข้อมือมั่วชิงเฉิน มั่วชิงเฉินหลบอย่างไม่รู้ตัว แก้มร้อนเล็กน้อย
กู้หลีชะงักแผ่วเบา จากนั้นกลับทำสีหน้าจริงจัง “ชิงเฉิน เจ้าสร้างรากฐานเร่งรีบเกินไป รากฐานไม่นิ่ง อีกทั้งไม่ได้สงบใจลงมาทำให้ตบะมั่นคง หากปล่อยให้พัฒนาต่อไป วันหน้าจะกลายเป็นภัยใหญ่
มั่วชิงเฉินรู้สึกตกใจ ตนเห็นเขาแล้วควบคุมตนเองไม่ได้ปานนี้ หรือว่าเป็นเพราะสร้างรากฐานรีบร้อนเกินไป ใจเต๋าไม่นิ่ง?
เมื่อคิดเช่นนี้ มั่วชิงเฉินก็โล่งอก ใช่ ต้องเป็นเช่นนี้แน่
“ชิงเฉินขอบคุณอาจารย์ที่ชี้แนะเจ้าค่ะ” มั่วชิงเฉินคารวะแผ่วเบาหนึ่งที
“ชิงเฉิน เรือนไม้ไผ่ทางนั้นว่างอยู่ เจ้าจงอยู่ที่นั่นเถอะ หากขาดเหลืออะไร ก็บอกอาจารย์ ระยะนี้เจ้าอย่ารีบร้อนบำเพ็ญเพียร ช่วยข้าดูแลสวนสมุนไพรก่อน นอกจากนี้ห้องเก็บของด้านหลังตุนสมุนไพรไว้ไม่น้อย ก็จำเป็นให้เจ้าแยกประเภทจัดการเสียหน่อย เอ่อ ยังมีอินทรีวิญญาณหยกหิมะกับอสูรเสือพายุทะลุฟ้านี่ ก็รบกวนเจ้าดูแลมากๆ หน่อยแล้ว…” กู้หลีสั่งเป็นพรวน
มั่วชิงเฉินรู้สึกจำใจ พยักหน้าอย่างว่าง่าย ในใจอย่างน้ำตานองหน้าคิดว่า อาจารย์ ท่านแน่ใจว่าที่รับคือศิษย์ก้นกุฏิ ไม่ใช่คนทำงานจิปาถะหรือ?
ไม่ว่าอย่างไร คำพูดนี้ของกู้หลีทำให้ความรู้สึกชายหญิงของมั่วชิงเฉินเมื่อครู่ถูกลืมไปทันที
กู้หลีพิจารณาศิษย์น้อยปราดหนึ่งเหมือนจะยิ้มแต่ไม่ยิ้ม ตบอสูรเสือพายุทะลุฟ้าว่า “ต้าฮวา เจ้าพาชิงเฉินไปที่พักนาง”
“โฮก…” อสูรเสือพายุทะลุฟ้าเกิดมาเหมือนเสือมาก เพียงแต่อ้วนกว่าไม่น้อยกว่ารอบหนึ่งคำรามต่ำๆ อย่างไม่เต็มใจเสียงหนึ่ง แล้วลุกขึ้นยืนอย่างขี้เกียจ เหล่มั่วชิงเฉินปราดหนึ่ง จากนั้นย่ำด้วยก้าวแบบแมวอย่างสง่าเดินไปทางเรือนไม้ไผ่
มั่วชิงเฉินกระตุกมุมปาก อสูรวิญญาณนี่ทำสีหน้าอะไร เหตุใดดูแล้วเหมือนทำไหน้ำส้มสายชูหก[1]?
เอาเถอะ นางไม่เพียงแต่กลับมาเป็นคนทำงานจิปาถะใหม่ ยังต้องชิงรักหักสวาทกับเสือตัวหนึ่ง? มั่วชิงเฉินรู้สึกทันทีว่าชีวิตต่อจากนี้ต้องน่าดูชมแน่
มั่วชิงเฉินถูกอสูรเสือพายุทะลุฟ้าชื่อ ‘ต้าฮวา’ พาเข้าไปในเรือนไม้ไผ่แห่งหนึ่ง ไม่รอนางมีปฏิกิริยา เสือใหญ่ตัวนั้นก็หมุนตัวหันก้นให้นาง เดินหนีไปแล้ว
มั่วชิงเฉินหัวเราะอย่างจำใจ พิจารณาที่พำนักใหม่ของตนเอง
เรือนไม้ไผ่แห่งนี้อยู่ติดๆ กัน ห้องแต่ละห้องไม่นับว่าใหญ่ กลับประณีตยิ่งนัก นอกจากห้องนอน ห้องชะล้างและห้องฝึกวิชา ยังมีห้องครัว ห้องโอสถอุปกรณ์ กระทั่งยังมีห้องอสูรวิญญาณ
เรือนไม้ไผ่พวกนี้ถูกรั้วไผ่เขียวแผงหนึ่งล้อมขึ้นมาครึ่งหนึ่ง ยังล้อมออกมาเป็นลานบ้านเล็กๆ แห่งหนึ่ง
พูดได้ว่า ที่นี่แม้ไม่เหมือนผู้บำเพ็ญเพียรระดับสร้างรากฐานที่สร้างที่พำนักของตน ทว่าสิ่งที่ควรมีกลับไม่ขาดแม้แต่อย่างเดียว
มั่วชิงเฉินยิ่งดูยิ่งพอใจ บัดนี้แม้ใกล้เข้าฤดูหนาวแล้ว ทว่าสีเขียวที่เต็มตานี่ทำให้คนมีความสุข ไหนๆ นางก็ไม่กลัวหนาวอีกแล้ว เย็นเสียหน่อยจะเป็นอะไรไป
ก็เป็นเช่นนี้ มั่วชิงเฉินจึงปักหลักที่เรือนไม้ไผ่นี้
แม้มีเพียงศิษย์อาจารย์สองคน บวกอินทรีใหญ่ตัวหนึ่ง เสือตัวหนึ่ง อีกาตัวหนึ่ง มั่วชิงเฉินที่หายากที่จะไม่บำเพ็ญเพียรกลับไม่มีเวลาว่างทุกวันเพราะงานที่กู้หลีสั่งการให้ก่อนหน้านี้
ทุกวันฟ้าเพิ่งสาง มั่วชิงเฉินก็ลุกขึ้น ไปจัดการสวนสมุนไพรนั่นก่อน
เพราะว่าสวนสมุนไพรแบ่งตามฤทธิ์ยาของสมุนไพรทิพย์เป็นห้าธาตุ สมุนไพรทิพย์แต่ละชนิดก็มีความต้องการเฉพาะของตัวเองอีก มีบางอย่างกระทั่งบอบบางมาก เช่นสมุนไพรทิพย์ชนิดหนึ่งที่ชื่อ ‘นิทราเคียงจันทร์’ ส่วนที่ล้ำค่าที่สุดของมันคือดอกที่ผลิออกมา ทว่าดอกไม้นั่นกลับจะเ**่ยวเฉาทันทีที่พระอาทิตย์ออกมา มั่วชิงเฉินจึงจำเป็นต้องเร่งเด็ดดอกไม้นั่นลงมา ก่อนที่พระอาทิตย์จะขึ้น
ยังมีหญ้าทิพย์ชนิดหนึ่ง จำเป็นต้องเก็บน้ำค้างด้านบนเข้าในขวดหยก ขณะที่พระอาทิตย์กำลังจะขึ้นแต่ก็ไม่ขึ้นเช่นกัน น้ำค้างนี้ก็คือน้ำชั้นยอดที่สุดในการชงชา
สองสิ่งนี้เป็นสิ่งที่ทำให้มั่วชิงเฉินยุ่งจนหัวหมุนที่สุด เพราะว่าพวกมันไม่เพียงแต่มีเวลาบังคับ เวลาเด็ดยังต้องการคาถามือพิเศษ และห่อหุ้มด้วยพลังวิญญาณ โดยไม่สามารถติดกลิ่นอายควันไฟแม้แต่น้อย
ทุกครั้งที่ยุ่งเสร็จ มั่วชิงเฉินมักรู้สึกว่าพลังวิญญาณสูญสิ้นไปครึ่งใหญ่ เหนื่อยจนหอบแฮ่กๆ
นี่ยังไม่หมด จัดการสวนสมุนไพรเสร็จ นางจึงเอาน้ำค้างที่เก็บได้ต้มน้ำชงชา
ไฟที่ใช้ต้มน้ำไม่อาจใช้ไฟธรรมดาได้ แต่ต้องเป็นไฟจริงของผู้บำเพ็ญเพียร ดีที่มั่วชิงเฉินทำเสร็จในห้องครัวเล็กๆ ของตน ถึงสามารถรักษาความลับของเพลิงแก้วใจกระจ่างไว้ได้
ที่ทำให้นางรู้สึกดีใจก็คือ ไม่คิดว่าอาจารย์ชื่นชมฝีมือการชงชาของนางมาก บอกว่าชาที่นางชงรสสัมผัสยอดเยี่ยมยิ่งนัก มีปราณวิญญาณมาก มั่วชิงเฉินเดาว่า เกรงว่าจะเกี่ยวกับไฟที่ใช้ต้มน้ำนั่น
หลังจากนั้น มั่วชิงเฉินก็ต้องไปห้องอสูรวิญญาณจูงอินทรีวิญญาณหยกหิมะและอสูรเสือพายุทะลุฟ้าออกมาเดินเล่น อีกาไฟของนางตัวนั้นก็ได้เสพสุขกับประโยชน์ระดับเดียวกันไปด้วย
นี่ก็ช่างเถอะ ที่ทำให้นางโมโหที่สุดคือ ไม่คิดว่านาง ไม่คิดว่านางยังต้องหวีขนให้เสือใหญ่ตัวนั้นด้วย!
ทุกครั้งที่นางหยิบหวีไม้เล็กๆ หวีขนให้เสือตัวนั้น ยังต้องทนรับการดูถูกจากมันอีก แต่ใครให้คนเขาพลังร้ายกาจกว่าตัวเองล่ะ แล้วยังมีอาจารย์คอยหนุนหลังด้วยนะ ข้าทนก็ได้!
ถึงตอนบ่าย มั่วชิงเฉินต้องไปห้องเก็บของตรวจนับยาสมุนไพรที่ไม่รู้ตุนสะสมมากี่ปีแล้ว หลังจากจัดการแยกประเภทเสียใหม่ทีละนิดๆ ยังจำเป็นต้องปิดฉลากประโยชน์ใช้สอยด้วย
รอทำสิ่งเหล่านี้จนเสร็จ ก็ถึงยามหัวค่ำแล้ว
ดังนั้น มั่วชิงเฉินเริ่มเข้าห้องครัวไปทำอาหาร
ที่จริงไม่ว่ามั่วชิงเฉินหรือว่ากู้หลี ต่างสามารถเลี่ยงธัญพืช ทว่าที่ทำให้นางแปลกใจคือ อาจารย์ของนางท่านนี้กลับเรียกร้องว่าตอนเย็นทุกวันให้นางเตรียมอาหารเย็น
แน่นอน วัตถุดิบที่มีทั้งหมดล้วนเต็มไปด้วยพลังวิญญาณ มีบางชนิดอร่อยจนมั่วชิงเฉินเกือบจะกลืนลิ้นเข้าไปด้วย
ศิษย์อาจารย์สองคนดื่มสุราทิพย์ที่มั่วชิงเฉินหมักเอง ยามนี้กลับเป็นเวลาสบายๆ ที่หายากในหนึ่งวัน แน่นอน หากละเลยอินทรียักษ์และเสือที่ดื่มสุรากินเนื้อตามเหมือนกันละก็
ส่วนอีกาไฟ…แค่กๆ อย่างไรเสียก็เป็นอสูรวิญญาณของตน ก็ช่างเถอะ
มั่วชิงเฉินนึกว่าวันหนึ่งไม่บำเพ็ญเพียรละก็ ตนจะไม่สบายไปทั้งตัว ทว่าใครจะรู้ว่าวันหนึ่งผ่านไปทำเรื่องเหล่านี้จนเสร็จค่อยถึงกลับห้อง ก็เหนื่อยจนหัวถึงหมอนก็นอนถึงวันที่สอง แล้วเริ่มงานแบบเดียวกันอีก
ท่ามกลางสายตาโอดครวญที่หนักขึ้นทุกวัน อาจารย์ที่สงบใจเย็นของนางกลับไม่สะทกสะท้าน ทุกครั้งที่นางอยากคัดค้าน กลับต้องแพ้ท่ามกลางสายตาที่อ่อนโยนของเขา
ข้า ข้าไม่ได้กลัวเขาไม่พอใจเสียหน่อย ข้าเพียงแต่ เพียงแต่เป็นลูกศิษย์ดีที่เคารพอาจารย์เท่านั้น ทุกครั้งที่มั่วชิงเฉินผุดความคิดอื่นขึ้นมา ก็รีบใช้เหตุผลนี้กดสิ่งรบกวนพวกนั้นลงไปทันที
รอเวลานานเข้า มั่วชิงเฉินค่อยๆ คุ้นเคยจังหวะการใช้ชีวิตของทุกวัน ความคันคะเยอในใจที่ทนไม่ไหวอยากบำเพ็ญเพียรเช่นนั้นไม่คิดเลยว่าจะจืดจางลงมาจริงๆ ราวกับการทำเรื่องพวกนี้เป็นสัจธรรมอันเปลี่ยนแปลงมิได้
นางกระทั่งรู้สึกไปเองว่า ตนได้ห่างออกจากโลกแห่งการบำเพ็ญเพียรที่ต้องจิตใจตึงเครียดในการบำเพ็ญเพียรตลอดเวลา แต่เริ่มปลีกวิเวกใช้ชีวิตทำไร่ทำสวนขึ้นมา
“ปิดประตู จันทร์เย็นกลับถิ่นเก่า
เพ่งมองไป หญ้าเ**่ยวเฉากลางหมอกควัน
หมอกควันเปลวไฟหนึ่งอึก ดื่มไม่สิ้น ร้อนรุ่มในคอความทรงจำช่วงใด
…
มองหิมะหมื่นลี้ ซ่อนชุดเขียว
คนละฟากฟ้า ไม่หวังการพบเจอ
สาดสุราเซ่นไหว้ เมาถามฟ้าดิน
…”
ใต้แสงอาทิตย์ที่อบอุ่นในวันฤดูหนาว มั่วชิงเฉินนั่งเอียงๆ อยู่ข้างอสูรเสือพายุทะลุฟ้า มือหนึ่งหวีขนให้มันอย่างเบามือคล่องแคล่ว อีกด้านหนึ่งหรี่ตาครึ่งหนึ่ง ฮัมเพลง
กู้หลีที่ออกจากที่พำนักไปหลายวันเดินออกจากป่าไผ่ สิ่งที่เห็นก็คือภาพตรงหน้า เขายืนอยู่ตรงนั้นเงียบๆ ฟังมั่วชิงเฉินฮัมเพลงจนจบ ถึงออกเสียงว่า “ชิงเฉิน”
มั่วชิงเฉินเงยหน้าโดยพลัน เห็นกู้หลีกลับมาบนใบหน้าแย้มหนึ่งยิ้ม วิ่งเข้ามาว่า “อาจารย์ ในที่สุดท่านก็กลับมาแล้ว”
“อ๋อ อยู่คนเดียวไม่ชินใช่หรือไม่?” กู้หลีเห็นศิษย์ตัวน้อยค่อยๆ กลับมาร่าเริงเหมือนวัยเด็ก ใบหน้าเผยรอยยิ้มออกมาอย่างไม่รู้ตัว
ในระยะนี้มั่วชิงเฉินค่อยๆ คิดตกแล้ว ไม่ว่าอนาคตจะเป็นเช่นไร วันเวลาเช่นนี้ตรงหน้า กลับเป็นสิ่งที่เมื่อก่อนนางละเมอเพ้อหา ในเมื่อเป็นเช่นนี้ เหตุใดตนต้องละโมบปานนั้น หาเรื่องกลัดกลุ้มใส่ตนทั้งวันด้วยล่ะ
มีความตระหนักเช่นนี้แล้ว คำพูดคำจาการกระทำย่อมกลับมาสง่าเช่นแต่ก่อน
“ใช่เจ้าค่ะ อาจารย์ ท่านออกไปหลายวันนี้ ชิงเฉินเผชิญหน้ากับพวกมันสามตัวทุกวัน แม้แต่คนคุยด้วยก็ไม่มี” มั่วชิงเฉินอมยิ้มเอ่ย เป็นเพียงการล้อเล่นตามเรื่องตามราวสักหน่อยเท่านั้น
ใครจะรู้ว่าสิ่งที่เกิดขึ้นต่อมาทำให้นางงงเป็นไก่ตาแตก
ก็ได้ยินอินทรีวิญญาณหยกหิมะและอสูรเสือพายุทะลุฟ้าพูดขึ้นพร้อมกันว่า “เจ้าว่าใครพูดไม่เป็นน่ะ?”
ชัดเจนทุกถ้อยคำ ได้มาตรฐานจนไม่อาจได้มาตรฐานยิ่งกว่านี้แล้ว
แม้แต่อีกาไฟก็ร้องแว้ดๆ ร่วมสนุกด้วย
“เจ้า พวกเจ้า…” มั่วชิงเฉินมองเจ้าสามตัวนั่นพลาง ตกตะลึงอย่างควบคุมตนเองไม่ได้
ในที่สุดกู้หลีก็ทนไม่ไหวหัวเราะหึๆ ออกมาว่า “ชิงเฉิน พวกมันเป็นอสูรวิญญาณขั้นห้า พูดภาษาคนได้ตั้งนานแล้ว”
มั่วชิงเฉินจ้องพวกมันเขม็ง ก็เห็นเจ้าเสือตัวใหญ่นั่นท่าทางเหยียดหยาม จึงพูดอย่างไม่สบอารมณ์ว่า “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ เหตุใดเจ้า เหตุใดเจ้าไม่เคยพูดกับข้าล่ะ?”
อสูรเสือพายุทะลุฟ้าเหล่นางปราดหนึ่ง จากนั้นย่อตัวนอนลงข้างกายกู้หลี เอ่ยอย่างเอื่อยเฉื่อยว่า “ข้าขี้เกียจพูดกับเจ้าน่ะสิ ตบะเจ้าด้อยปานนั้น ขนาดข้ายังไม่เห็นเจ้าในสายตา เจ้านายยังจะรับเจ้าเป็นศิษย์อีก ฮึ!”
มั่วชิงเฉินแอบสูดลมเข้าอึดหนึ่ง หันไปทางอินทรีวิญญาณหยกหิมะ ก็เห็นอินทรีวิญญาณหยกหิมะพูดอย่างขอโทษว่า “แหะๆ เพราะต้าฮวาไม่ให้ข้าสนใจเจ้าน่ะสิ…”
“อาจารย์!” มั่วชิงเฉินโมโหจนหงายหลัง มองกู้หลีอย่างน่าสงสารตาปริบๆ
กู้หลีตบนางอย่างปลอบประโลม สั่งสอนหนึ่งอินทรีหนึ่งเสือว่า “เสี่ยวอวี้ ต้าฮวา วันหลังพวกเจ้าห้ามแกล้งชิงเฉินอีก ต้องอยู่ด้วยกันดีๆ”
แรกสุดเห็นนางหนูนี่หุนหันอยู่บ้าง พอดีต้าฮวานิสัยดันทุรัง ขัดเกลานางหน่อยก็ดี บัดนี้ดูแล้วนิสัยนางดีมาก ถึงเวลาจัดการใหม่แล้ว กู้หลีแอบคิด จากนั้นบอกมั่วชิงเฉินว่า “ชิงเฉิน ตั้งแต่พรุ่งนี้เป็นต้นไป เรื่องจิปาถะพวกนี้เจ้าวางลงได้แล้ว”
——
[1] ทำไหน้ำส้มสายชูหก หรือ กินน้ำส้มสายชู หมายถึง หึง