พันธกานต์ปราณอัคคี - ตอนที่ 139
มั่วชิงเฉินชะงัก “อาจารย์?”
เห็นศิษย์ท่าทางงงงันนั่น กู้หลีหัวเราะหึๆ ว่า “เป็นอันใด หรือว่าเจ้ายังอาลัยอาวรณ์?”
“ไม่อาลัยอาวรณ์ ไม่อาลัยอาวรณ์ อาจารย์ ท่านจะถ่ายทอดวิชาใหม่ให้ชิงเฉินใช่หรือไม่เจ้าคะ?” มั่วชิงเฉินรีบเอ่ย
เห็นท่าทางมั่วชิงเฉินเมื่อพูดถึงเรื่องเกี่ยวกับการบำเพ็ญเพียร ก็สองตาเป็นประกาย กู้หลีแอบรู้สึกน่าขัน
มั่วชิงเฉินเห็นกู้หลีไม่พูด จึงเอ่ยลองเชิงว่า “หรือว่าเป็นคาถาเจ้าคะ?”
กู้หลีขยับมือ ปรากฏม้วนคัมภีร์หยกออกมาม้วนหนึ่ง แล้วอมยิ้มยื่นให้มั่วชิงเฉิน
มั่วชิงเฉินรับมา ใช้จิตตระหนักกวาดทีหนึ่งอย่างทนแทบไม่ไหว “เคล็ดวิชาพันไหมชิงมู่?”
กู้หลีพยักหน้าว่า “อืม ในเมื่อเจ้าบำเพ็ญเพียรวิชาธาตุไม้เป็นหลัก คิดว่าเข้าพรรคเหยากวงมาแล้วที่บำเพ็ญเพียรก็คือเคล็ดวิชาชิงมู่ เคล็ดวิชาชิงมู่แม้เป็นวิชาทั่วไป ทว่าใช้ในการสร้างพื้นฐานก็ไม่เลว เพียงแต่บัดนี้ในเมื่อเจ้าสร้างรากฐานแล้ว เช่นนั้นเคล็ดวิชาชิงมู่ย่อมไม่ค่อยเหมาะสมแล้ว เคล็ดวิชาพันไหมชิงมู่นี่เป็นวิชาที่อาจารย์ฝึกฝนเมื่อเก่าก่อน ยิ่งเน้นการฝึกฝนความสามารถของผู้บำเพ็ญเพียรในการควบคุมพลังวิญญาณอย่างละเอียด ขณะเดียวกันก็มีจุดเด่นในด้านการโจมตี”
ได้ยินว่าเป็นวิชาที่กู้หลีบำเพ็ญเพียรเมื่อเก่าก่อน มั่วชิงเฉินในใจปีติ ถามว่า “อาจารย์ ได้ยินมาว่า ท่านเป็นรากวิญญาณฟ้าธาตุไม้หรือเจ้าคะ?”
“ถูกต้อง ชิงเฉิน เจ้ารู้สึกว่ารากวิญญาณสำคัญมากใช่หรือไม่?” กู้หลีนึกถึงยามที่ทดสอบรากวิญญาณของมั่วชิงเฉิน ท่าทางลำบากใจของนาง จึงถามเสียงเบาว่า
มั่วชิงเฉินผ่านการขัดเกลาในระยะเวลาเหล่านี้ จิตใจสงบลงนานแล้ว จิตใจกลับมากระจ่างเหมือนเมื่อก่อน ยิ้มว่า “ชิงเฉินรู้สึกว่า รากวิญญาณย่อมสำคัญอยู่แล้ว มิเช่นนั้นเหล่าสำนักและตระกูลนั้น จะทุ่มสุดแรงกล่อมเกลาลูกหลานที่รากวิญญาณดีได้เช่นไร ศิษย์ที่รากวิญญาณดีก็บำเพ็ญเพียรได้เร็วกว่าศิษย์ที่มีรากวิญญาณเทียมส่วนใหญ่จริงเจ้าค่ะ”
กู้หลีไม่ได้พูดแทรก แต่ฟังความคิดของมั่วชิงเฉินเงียบๆ
มั่วชิงเฉินค่อยๆ พูดต่อว่า “ทว่าชิงเฉินคิดว่า นอกจากรากวิญญาณแล้ว โอสถ กำลังทรัพย์ สภาพจิตใจ นิสัย กระทั่งโชค จะขาดสิ่งใดสิ่งหนึ่งไม่ได้ รากวิญญาณที่ดีเพียงแต่ทำให้ผู้บำเพ็ญเพียรบางส่วนเดินได้เร็วบนหนทางการบำเพ็ญเพียรเท่านั้น ทว่าไม่แน่ว่าจะเดินได้ไกล ในผู้บำเพ็ญเพียรที่มีรากวิญญาณเทียม ก็มักมีคนที่โดดเด่น แม้นั่นเป็นเพียงคนส่วนน้อยนัก ทว่าชิงเฉินมีความมั่นใจว่าจะกลายเป็นหนึ่งในนั้นได้เจ้าค่ะ”
ใช่แล้ว นางนอกจากรากวิญญาณด้อยสักหน่อย ในด้านอื่นตนมั่นใจว่าไม่แพ้ผู้อื่นแน่นอน การดูถูกตัวเองจนเกินไปเป็นเพียงการทอดถอนใจทั้งๆ ที่ไม่มีเรื่องอะไรที่น่าเป็นห่วงเท่านั้น
กู้หลีฟังคำพูดของมั่วชิงเฉินแล้ว กวาดสายตาผ่านนางเบาๆ ปราดหนึ่ง ชื่นชมว่า “ชิงเฉิน เจ้าพูดได้ไม่ผิด แม้การรับรู้บางสิ่งเพราะว่าเขตแดนยังไม่ถึงจึงไม่ค่อยแม่นยำ ทว่าใจใฝ่เต๋ากลับไม่ผิดพลาดเลย”
“อาจารย์ ชิงเฉินตรงไหนพูดไม่ถูกต้อง ขอเชิญท่านชี้แนะด้วย” เกี่ยวข้องกับการบำเพ็ญเพียร มั่วชิงเฉินถือหลักการไม่เข้าใจก็ถามเสมอมา ไม่ต้องพูดถึงว่ายิ่งมีอาจารย์ยอดเยี่ยมเช่นนี้อยู่ด้วย
“รากวิญญาณดีด้อย ในระดับหลอมลมปราณ สร้างรากฐานนั้นสำคัญยิ่งนักจริงๆ นี่ไม่เพียงเพราะความเร็วหรือช้าในการบำเพ็ญเพียร อย่างไรเสียหากโอสถเพียงพอ ต่อให้ผู้บำเพ็ญเพียรที่มีรากวิญญาณเทียมบำเพ็ญเพียรขึ้นมา ก็ไม่ด้อยกว่าผู้บำเพ็ญเพียรที่มีรากวิญญาณคู่” กู้หลีเอ่อเนิบๆ
มั่วชิงเฉินพยักหน้า ถูกต้อง ตนก็คือเช่นนี้ มีโอสถที่พอเพียง ยังมีค่ายกลรวมวิญญาณระดับสูง ความเร็วในการบำเพ็ญเพียรกระทั่งยังจะเร็วกว่าผู้บำเพ็ญเพียรที่มีรากวิญญาณคู่เสียอีก
“ความสำคัญของรากวิญญาณ ที่สำคัญอยู่ที่การเลื่อนชั้น ระดับหลอมลมปราณเลื่อนขั้นขึ้นระดับสร้างรากฐาน ระดับสร้างรากฐานเลื่อนชั้นขึ้นระดับก่อแก่นปราณ อันแรกเปลี่ยนพลังวิญญาณในร่างกายจากรูปปราณเป็นรูปของเหลว อันหลังเปลี่ยนพลังวิญญาณในร่างกายจากรูปของเหลวเป็นรูปของแข็ง ภายใต้การช่วยเหลือของโอสถเลื่อนชั้น นอกจากระยะแรกทดสอบความอดทนความมั่นคงของคนต่อความเจ็บปวดในการที่ชีพจรฉีกขาด พลังวิญญาณขยายอย่างรุนแรง ที่สำคัญกว่านั้นคือดูความช้าเร็วของตันเถียนในการดูดซับพลังวิญญาณที่เปลี่ยนรูปแล้ว และความเร็วอันนี้รากวิญญาณเป็นตัวตัดสิน” กู้หลีเอ่ยด้วยน้ำเสียงนิ่งเรียบ
มั่วชิงเฉินชะงักในใจ อาจารย์พูดได้ไม่ผิด ตอนนั้นตนทะลวงระดับสร้างรากฐาน ก็เพราะขาดเพียงเล็กน้อยแค่นั้น ถึงกินโอสถสร้างรากฐานติดกันเจ็ดเม็ดนี่ถึงโชคดีสร้างรากฐาน กระทั่งหากไม่มีเพลิงแก้วใจกระจ่าง เกรงว่าตันเถียนจะรับแรงทะลวงจากฤทธิ์ยาไม่ไหวระเบิดตัวตายไปแล้ว
เมื่อเป็นเช่นนี้แล้ว ความเข้าใจแต่ก่อนของตนยังแค่ผิวเผินเท่านั้น เพราะมีโอสถเพียงพอจึงดูถูกความสำคัญของรากวิญญาณโดยไม่รู้ตัว
คิดถึงตรงนี้มั่วชิงเฉินแอบกวาดสายตาผ่านกู้หลีปราดหนึ่ง หรือว่า เขากำลังเตือนสติตนว่าอย่ามีใจจองหองเพราะคิดว่าสร้างรากฐานได้ด้วยอายุน้อยปานนี้?
เห็นมั่วชิงเฉินท่าทางครุ่นคิด กู้หลียกมุมปากขึ้น เอ่ยต่อว่า “ทว่าทะลวงระดับก่อแก่นปราณ นอกจากรากวิญญาณ ที่สำคัญกว่ายังคงเป็นสภาพจิตใจ เพราะว่าระดับก่อแก่นปราณนอกจากเปลี่ยนของเหลวเป็นของแข็งด่านนั้นแล้ว ยังมีการทดสอบจิตมารที่ตามมาต่อจากนั้นด้วย และเมื่อถึงระดับก่อแก่นปราณ แม้รากวิญญาณยังคงสำคัญ ทว่าสาเหตุอื่นกลับสำคัญเท่ากันแล้ว ยกตัวอย่างเช่นอาจารย์ แม้มีรากวิญญาณฟ้าที่ใครๆ ก็อิจฉา กลับยังคงติดอยู่ที่ระดับสร้างรากฐานระยะแรกมาหลายสิบปีแล้ว จนถึงบัดนี้ยังไม่อาจทะลวงได้”
“เพราะเหตุใดเจ้าคะ?” มั่วชิงเฉินฟังจนเคลิบเคลิ้ม ถามติดปากออกมาว่า เมื่อคำพูดหลุดออกมา ถึงรู้สึกบุ่มบ่ามอยู่บ้าง จึงแอบมองเขาปราดหนึ่ง
กู้หลีเห็นนางเช่นนั้น กลับไม่ได้ไม่พอใจ ตรงกันข้ามกลับเอ่ยนิ่งเรียบว่า “คงเพราะสภาพจิตใจข้ายังบำเพ็ญไม่ถึงขั้นกระมัง”
มั่วชิงเฉินเห็นท่าทางที่เขาพูดออกมาอย่างตรงไปตรงมา เป็นตัวของตัวเองใจกว้าง คิดไม่ออกจริงๆว่า คนเช่นนี้ ตกลงสภาพจิตใจตรงไหนเกิดช่องโหว่แล้ว
“ส่วนเมื่อถึงระดับก่อกำเนิด ประโยชน์ของรากวิญญาณก็เป็นรอง โอสถ โอกาสวาสนา สภาพจิตใจ การตระหนัก ไม่ว่าจะอันไหนก็กลับกันมาอยู่ข้างหน้ารากวิญญาณแล้ว” กู้หลีเห็นท่าทางอยากรู้อยากเห็นของมั่วชิงเฉิน จึงเอ่ยต่อว่า “ผู้บำเพ็ญเพียรระดับก่อกำเนิด อายุขัยมีสองพันกว่าปี ในภาวะที่ไม่มีโอสถอะไร ต่อให้รากวิญญาณด้อยการบำเพ็ญเพียรช้าสักหน่อย แต่ย่อมมีเวลามากมายให้บำเพ็ญเพียรขึ้นไปทีละนิดๆ ทว่าการเลื่อนชั้นของเขตแดนเล็กๆ แต่ละเขต ล้วนยากเย็นแสนสาหัส ต่อให้ผู้บำเพ็ญเพียรคนหนึ่งบำเพ็ญเพียรเร็วกว่าผู้บำเพ็ญเพียรอีกคนหนึ่งหลายสิบปีหรือร้อยปีเมื่อบำเพ็ญเพียรไปถึงยอดระดับก่อกำเนิดระยะต้น กลับอาจติดอยู่ตรงนั้นตลอด จะทะลวงเข้าระดับก่อกำเนิดระยะกลางได้เช่นไร นั้นไม่ใช่สิ่งที่รากวิญญาณจะตัดสินได้อีกแล้ว แน่นอน บัดนี้อาจารย์ยังห่างระดับก่อกำเนิดอีกไกลนัก พวกนี้ก็ฟังมาจากอาจารย์ของข้า”
“อาจารย์ของท่านหรือเจ้าคะ?” มั่วชิงเฉินรู้ว่า ผู้บำเพ็ญเพียรระดับก่อกำเนิดแห่งเขาชิงมู่สมญานามเต๋าว่าหลิวซางเจินจวิน คืออาจารย์ของกู้หลี
กู้หลีอืมเสียงหนึ่ง “อาจารย์ปู่ของเจ้าสมญานามเต๋าหลิวซางเจินจวิน บัดนี้ท่านกำลังกักตนอยู่ วันไหนเจ้าย่อมมีโอกาสได้กราบคารวะท่าน บัดนี้เรามาพูดถึงความสำคัญขอโอสถกัน ชิงเฉิน ไม่รู้ศิษย์ระดับสร้างรากฐานในพรรคเหยากวง เจ้าเคยพบกี่คน?”
มั่วชิงเฉินเหงื่อตก “อาจารย์ ศิษย์ใช้เวลาส่วนใหญ่ในการกักตนบำเพ็ญเพียร เคยพบไม่มากเจ้าค่ะ”
“พรรคเหยากวงมีผู้บำเพ็ญเพียรระดับสร้างรากฐานเกือบพันคน ทว่าครึ่งหนึ่งของผู้บำเพ็ญเพียรศึกษาทั้งชีวิต ล้วนติดอยู่ที่ระดับสร้างรากฐานระยะต้น กลาง ส่วนผู้บำเพ็ญเพียรไร้สำนักพวกนั้นอัตราส่วนก็ยิ่งมากแล้ว เพราะว่าโอสถที่สามารถเพิ่มตบะของระดับสร้างรากฐานแพงกว่าระดับหลอมลมปราณมาก ไม่ใช่ใครๆ ก็แบกรับไหว และเมื่อถึงระดับก่อแก่นปราณแล้ว โอสถก็ยิ่งแพง บวกกับสาเหตุอื่นๆ อีก ก็ยิ่งสาหัสแล้ว ส่วนระดับก่อกำเนิด ได้ยินว่าโอสถนั้นไม่ใช่ปัญหาของหินวิญญาณอีกแล้ว แต่หาไม่ได้โดยสิ้นเชิง ดังนั้นบอกว่าโอสถทั้งสำคัญ และไม่สำคัญ” กู้หลีเอ่ยอย่างอดทน
“อาจารย์ เพราะเมื่อถึงระดับสูงแล้ว หากมีโอสถ เช่นนั้นความเร็วในการบำเพ็ญเพียรย่อมไม่ใช่ผู้บำเพ็ญเพียรที่ไม่มีโอสถจะเทียบได้ ดังนั้นโอสถสำคัญมากใช่หรือไม่เจ้าคะ ทว่าในความเป็นจริงคือเมื่อถึงขั้นของระดับก่อแก่นปราณ ก่อกำเนิด แทบจะส่วนใหญ่ของผู้บำเพ็ญเพียรต่างไม่มีโอสถ ดังนั้นทุกคนก็ถึงระดับเส้นเดียวกันอีกแล้ว โอสถจึงไม่สำคัญอีกแล้ว?” มั่วชิงเฉินถามว่า
กู้หลีพยักหน้าว่า “เจ้าพูดได้ถูกต้อง กระทั่งด่านยากเข็ญแสนสาหัสพวกนั้น หากมีโอสถที่สัมพันธ์กัน ก็จะเพิ่มความเป็นไปได้ในการสำเร็จ เพียงแต่โอสถเช่นนั้นย่อมมีเงินก็ซื้อไม่ได้ มีแต่ที่อยู่ในตำนานเท่านั้นแล้ว”
มั่วชิงเฉินฟังแล้วรู้สึกดีใจ เมื่อเป็นเช่นนี้แล้ว ปัญหาของรากวิญญาณยังคงสามารถแก้ไขได้ด้วยโอสถ ตนมีขวดน้ำเต้าสุราในมือ เรื่องจำนวนปีไม่ใช่ปัญหา ที่สำคัญคือเมล็ดของหญ้าทิพย์บางชนิดและเทียบโอสถ และแก้ปัญหาเรื่องจำนวนปีได้ ในด้านนี้ก็ง่ายกว่าผู้บำเพ็ญเพียรคนอื่นมาก
“สิ่งที่ข้าพูดไปก่อนหน้านี้ ก็คือเรื่องที่ผู้บำเพ็ญเพียรระดับสูงยอมรับตรงกัน ที่จริงโดยส่วนตัวข้า สิ่งที่สำคัญที่สุดในหนทางการบำเพ็ญเพียรกลับเป็น…โอกาสวาสนา!” ทันใดนั้นกู้หลีก็พูดขึ้น
มั่วชิงเฉินชะงัก ทว่ากู้หลีกลับไม่ได้พูดต่อไป แต่จ้องนางตาไม่กะพริบ
อย่างช้าๆ มั่วชิงเฉินยิ่งเห็นด้วยกับคำพูดนี้ขึ้นเรื่อยๆ
ถูกต้อง เริ่มแรกตนทะลุมิติมาบนร่างนางหนู คือโอกาสวาสนา ขวดน้ำเต้าสุราที่ซื้อชาติก่อนตามตนเองทะลุมิติมาด้วยกันและมีประสิทธิภาพมหัศจรรย์คือโอกาสวาสนา ท่านอาสิบสี่พาตนเข้าตระกูลมั่วตั้งแต่นั้นก้าวเข้าหนทางแห่งการบำเพ็ญเพียรคือโอกาสวาสนา ลองคิดดูหากเมื่อแรกเริ่มบิดาไม่ได้ประคองตัวจนถึงตระกูลมั่วพูดเรื่องนั้นออกไป บัดนี้เกรงว่าตนคงถูกนางหลิ่วหยางบังคับให้เป็นอนุภรรยาของเจ้าของที่ดินเศรษฐีแก่ไปแล้ว
นางมีเพลิงแก้วใจกระจ่างก็เป็นโอกาสวาสนาเช่นกัน ขายสุรารู้จักท่านพี่กู้และถูกเขาช่วยไว้จนกระทั่งบัดนี้ถูกเขารับไว้เป็นศิษย์ ยังคงเป็นโอกาสวาสนา
“ชิงเฉิน เจ้าเข้าใจหรือไม่ โอกาสวาสนาไม่เท่ากับโชค?” กู้หลีถามอีก
มั่วชิงเฉินเม้มปาก ไม่ใช่โชคเช่นนั้นหรือ? เมื่อครู่ที่ตนคิดย้อนกลับไปนั้น ทันใดนั้นรู้สึกว่าตนโชคดีมากอย่างไม่คาดคิด
กู้หลีเอ่ยเบาๆ ว่า “ในโลกบำเพ็ญเพียรตกทอดกันมาประโยคหนึ่ง โชคก็เป็นส่วนหนึ่งของความสามารถ ที่พูดนี้ก็คือโอกาสวาสนา ตัวอย่างก็เช่นเจ้า เจ้ารู้หรือไม่ว่าเหตุใดข้าถึงรับเจ้าเป็นศิษย์?”
มั่วชิงเฉินดวงตาเบิกโต นี่ก็เป็นคำถามที่นางอยากรู้
“สิบกว่าปีก่อนข้าได้ดื่มสุราทิพย์ที่เจ้าขายโดยบังเอิญ รู้สึกถูกใจยิ่งนัก จึงไปซื้อสุราบ่อยๆ แน่นอนเพราะสุราที่เจ้าหมักรสชาติไม่เหมือนใคร นี่ถึงมีโอกาสวาสนาให้เรารู้จักกัน หลังจากนั้นข้าไปปราณภูเขาหลิวหั่วโดยบังเอิญ ช่วยเจ้าไว้ตามโอกาส นอกจากเพราะรู้จักกันหลายปี ยังมีอีกเรื่องหนึ่งก็คือเสียดายที่เจ้าอายุน้อยๆ ตบะกลับไม่ต่ำ นี่ย่อมมาจากผลของการขยันบำเพ็ญเพียรมาตลอดของเจ้า ต่อมาอีก ข้าได้ดื่มสุราทิพย์ที่เจ้าขายในสำนัก จึงรู้ว่าเจ้ามาพรรคเหยากวงแล้ว ยามนั้นยังไม่มีความคิดจะรับเจ้าเป็นศิษย์ ไม่คิดว่าเจ้าบากบั่นบำเพ็ญเพียรยิ่งนัก บวกกับเรื่องราวต่างๆ ข้าคิดว่า รับเจ้าเป็นศิษย์ก็เป็นเรื่องโชคดีของข้า” กู้หลีพูดอย่างตรงไปตรงมา
มั่วชิงเฉินรู้สึกเสียใจ หากเป็นไปได้ ข้าไม่อยากเป็นศิษย์ของท่านหรอก ข้าต้องบำเพ็ญเพียรให้ถึงระดับก่อแก่นปราณ ยามพบกันอีกครั้งสามารถเรียกท่านว่าศิษย์พี่คำหนึ่ง
กู้หลีไม่รู้ความคิดของมั่วชิงเฉิน ในที่สุดก็พูดพวกนี้จนหมด แล้วหยิบของออกมาสิ่งหนึ่งว่า “นับจากวันนี้ เวลากลางคืนเจ้าสามารถบำเพ็ญเคล็ดวิชาพันไหมชิงมู่นั่น เวลากลางวันจงเอากระบี่ไม้เล่มนี้ ไปฝึกเคล็ดวิชากระบี่พื้นฐานในม่านน้ำตกหลังเขา”
“ฝึกฝนเคล็ดวิชากระบี่พื้นฐาน?” มั่วชิงเฉินเบิกตาแผ่วเบา มองดูกระบี่ไม้และคัมภีร์เล่มเล็กที่กู้หลียื่นเข้ามา
“อืม ยามที่ฝึกฝน ห้ามใช้พลังวิญญาณคุ้มกาย รอเจ้าสามารถออกกระบวนท่าพื้นฐานสิบแปดชนิดนั้นท่าละหนึ่งพันครั้ง ค่อยมาหาข้า” กู้หลีเอ่ยนิ่งเรียบ
หนึ่งพันครั้ง?
สิบแปดชนิด?
ออกกระบวนท่าหนึ่งหมื่นแปดพันครั้งติดต่อกัน?
ห้ามใช้พลังวิญญาณคุ้มกาย?
อาจารย์ ท่านแน่ใจว่าไม่ได้หยอกข้าเล่นหรือ? ข้าเป็นผู้บำเพ็ญเพียรเต๋า ไม่ใช่ผู้บำเพ็ญเพียรกายหรือกระบี่นะ!
มั่วชิงเฉินคิดพลางน้ำตานองหน้า