พันธกานต์ปราณอัคคี - ตอนที่ 142
มั่วชิงเฉินหน้าบึ้งทันที นางมีเงาในใจต่อการที่ผู้อื่นปล่อยยันต์ส่งสารต่อหน้านางอย่างไร้สาเหตุ
เพียงแต่ยามนี้อย่างไรก็ไม่เหมือนวันวานแล้ว นางไม่ใช่ศิษย์ฆราวาสที่ไม่มีที่พึ่งพาคนนั้นอีก แต่เป็นศิษย์ของนักพรตระดับก่อแก่นปราณแล้ว สีหน้าจึงกลับมาสงบลง
“ศิษย์น้องมั่ว อย่าเข้าใจผิด เพียงแต่มีคนติดของเจ้ามาตลอด ตลอดมาไม่มีโอกาสคืนให้เท่านั้น” ผู้บำเพ็ญเพียรแซ่อู๋รีบอธิบาย
ไม่นานนักก็มีคนก้าวเท้าเข้ามา คือศิษย์พี่หวังหน้าทารกผู้นั้น
มั่วชิงเฉินชะงักทีหนึ่ง หันไปมองผู้บำเพ็ญเพียรแซ่อู๋ เหตุใดนางจำไม่ได้ว่าศิษย์พี่หวังผู้นี้ติดอะไรนางแล้ว
ศิษย์พี่หวังหน้าทารกหน้าตาบึ้งตึง เห็นมั่วชิงเฉินก็ไม่ส่งเสียงสักแอะ
ผู้บำเพ็ญเพียรแซ่อู๋หัวเราะว่า “ศิษย์น้องหวัง เจ้ารอศิษย์น้องมั่วมาหลายปีแล้วมิใช่หรือ เหตุใดคนมาแล้วกลับไม่พูดจา หรือว่าคิดจะเบี้ยวหนี้หรืออย่างไร?”
ผู้บำเพ็ญเพียรแซ่หวังสีหน้ายิ่งบึ้งตึงแล้ว ขบเขี้ยวเคี้ยวฟันว่า “ใครเบี้ยวหนี้! อ้าว นางหนูน้อย อันนี้ให้เจ้า!” พูดพลางโยนถุงอสูรวิญญาณใบหนึ่งให้มั่วชิงเฉิน
มั่วชิงเฉินยื่นมือรับมาโดยจิตใต้สำนึก กวาดจิตตระหนักดูปราดหนึ่ง ไม่คิดว่าข้างในจะมีผึ้งอยู่หลายตัว เพียงแต่ผึ้งนั้นกลับไม่ใช่สีตามปกติ ทั่วร่างโปร่งใสเหมือนมรกต มีเพียงเส้นเลือดบนปีกที่แดงดั่งเลือด จึงอดมองผู้บำเพ็ญเพียรแซ่หวังด้วยความสงสัยปราดหนึ่งไม่ได้
แล้วก็เห็นผู้บำเพ็ญเพียรแซ่หวังสีหน้าเสียดายว่า “นี่คือผึ้งวิญญาณเลือดมรกต น้ำผึ้งวิญญาณที่กลั่นออกมามีคุณภาพยอดเยี่ยม หวังว่าเจ้าจะดูแลพวกมันอย่างดี!”
ทำสีหน้าอย่างกับนางไม่รู้จักของดี
มั่วชิงเฉินมิใช่คนความรู้แค่หางอึ่ง รู้จักเพียงการบำเพ็ญเพียรเช่นในวันวานตั้งนานแล้ว วันเวลาที่กู้หลีขัดเกลานิสัยนางโดยเฉพาะช่วงนั้น ที่นางไม่สามารถบำเพ็ญเพียรได้เปิดอ่านม้วนคัมภีร์หยกหลากหลายไม่น้อย เมื่อได้ยินผู้บำเพ็ญเพียรแซ่หวังพูดถึง จึงนึกข้อมูลของผึ้งวิญญาณเลือดมรกตนี้ขึ้นได้
ผึ้งวิญญาณเลือดมรกตเป็นผึ้งพันธุ์ที่ล้ำค่าหายากที่สุดในบรรดาอสูรวิญญาณจำพวกผึ้งที่มีมากมาย ไม่ได้มีพลังโจมตีอะไร แปลกก็แปลกที่น้ำผึ้งวิญญาณที่มันกลั่นออกมา รสชาติเป็นเลิศ และยิ่งมีฤทธิ์ในด้านทำให้ใบหน้าสวยงาม มีประโยชน์ในการหล่อเลี้ยงร่างกายผู้บำเพ็ญเพียรนัก เป็นของบำรุงชั้นเลิศ
ผึ้งวิญญาณเลือดมรกตชอบดอกที่ผลิจากต้นไม้ประหลาดที่เรียกว่าต้นสำลีตกสวรรค์ น้ำผึ้งวิญญาณที่กลั่นออกจากดอกสำลีตกสวรรค์ กินแล้วสามารถเพิ่มตบะ อีกทั้งไม่ทำให้รากฐานไม่มั่นคงเหมือนกินโอสถอย่างสม่ำเสมอ เป็นสมุนไพรทิพย์ที่เหล่าผู้บำเพ็ญเพียรละเมอเพ้อหา เพียงแต่เสียดายที่ต้นสำลีตกสวรรค์นั้นหายากยิ่งนัก อีกทั้งร้อยปีถึงออกดอกหนึ่งครั้ง น้ำผึ้งดอกสำลีตกสวรรค์นี้จึงเป็นของที่พบได้เมื่อมีโอกาสวาสนาเท่านั้น
ไม่ว่าจะพูดเช่นไร ผึ้งวิญญาณเลือดมรกตเป็นของดีจริงๆ เพียงแต่มั่วชิงเฉินไม่ใช่คนโลภ เห็นผู้บำเพ็ญเพียรแซ่หวังท่าทางไม่เต็มใจ จึงโยนถุงอสูรวิญญาณกลับไปว่า “ศิษย์พี่หวัง สุภาพบุรุษไม่แย่งของรักของคนอื่น ผึ้งวิญญาณเลือดมรกตล้ำค่าเช่นนี้ ท่านเก็บไว้เองดีกว่า”
ใครจะคิดว่าผู้บำเพ็ญเพียรแซ่หวังฟังแล้วสีหน้ายิ่งน่ากลัวกว่าเดิม เดินไปถึงหน้ามั่วชิงเฉินในสองสามก้าวแล้วใช้กำลังยัดถุงอสูรวิญญาณเข้าไปในมือนาง พูดอย่างดุร้ายว่า “นางหนูเจ้านี่พูดมากจริง ให้เจ้ารับไว้ก็รับไว้สิ!”
พูดจบไม่คิดว่าจะหันหลังจากไปแล้ว
มั่วชิงเฉินมองไปที่ผู้บำเพ็ญเพียรแซ่อู๋อย่างจนด้วยคำพูด ในใจแอบว่าหรือว่าคนนั้นจะมีปัญหานะ ยัดผึ้งวิญญาณให้ตนอย่างไร้สาเหตุ ยังดันทำเหมือนตนไปแย่งของเขามาอย่างไรอย่างนั้นแน่ะ
เอ๊ะ หรือว่าคนนั้นชอบทรมานตัวเอง?
กลับเป็นผู้บำเพ็ญเพียรแซ่อู๋เปิดปากคลายความสงสัยให้นาง “ศิษย์น้องมั่ว เจ้าอย่าตกใจ นั่นเพราะปีนั้นข้าพนันกับศิษย์น้องหวังไว้ หากเขาแพ้แล้ว ต้องมอบผึ้งวิญญาณเลือดมรกตสองสามตัวให้เจ้าเลี้ยงเล่น ผึ้งวิญญาณเลือดมรกตนี้แม้จะหายาก ทว่าหากไม่มีดอกสำลีตกสวรรค์ล่ะก็ ก็พูดไม่ได้ว่าล้ำค่า น้ำผึ้งวิญญาณที่กลั่นออกมารสชาติดีสักหน่อยเท่านั้น เจ้าก็รับไว้อย่างสบายใจเถอะ”
ที่แท้เป็นเช่นนี้นี่เอง ในเมื่อเป็นเช่นนี้ มั่วชิงเฉินก็ไม่อิดออด เก็บถุงอสูรวิญญาณอย่างสบายใจ นี่ถึงพูดเรื่องที่ตนจะลงเขาไปฝึกตนออกมา
ออกจากโถงประชุม มั่วชิงเฉินคิดๆ แล้ว ปล่อยยันต์ส่งสารออกไปสองสามแผ่น
ไปครั้งนี้ ไม่รู้อีกกี่ปีถึงจะได้กลับมา อย่างไรก็ควรบอกกล่าวสหายสองสามคนที่ความสัมพันธ์ไม่เลวสักคำ
เมื่อนึกถึงสองสามคนนั้น มั่วชิงเฉินเม้มปากยิ้มขึ้นมา
ประโยชน์ของร่างหยินบริสุทธิ์ของต้วนชิงเกอค่อยๆ ปรากฏออกมา สองปีก่อนได้เลื่อนชั้นสำเร็จ สำเร็จเป็นผู้บำเพ็ญเพียรระดับสร้างรากฐานในวัยสามสิบปีพอดี ลือกันว่าสองปีนี้ด้านหนึ่งนางทำเขตแดนให้มั่นคง อีกด้านหนึ่งเริ่มศึกษาค้นคว้าวิชาแพทย์ ไม่คิดว่าจะเดินสายผู้บำเพ็ญเพียรสายเยียวยา ดังนั้นในสองปีนี้สองคนเพียงติดต่อกันด้วยยันต์ส่งสาร ต่างคนต่างยุ่งจนไม่มีโอกาสพบหน้า
มั่วหลีลั่วหลังจากอยู่ระดับสร้างรากฐานในวัยยี่สิบเก้าปีจนถึงบัดนี้ได้ผ่านไปแปดปีกว่าแล้ว ตบะได้มาถึงสุดยอดระดับสร้างรากฐานระยะต้น ขาดเพียงโอกาสวาสนาสักหน่อยก็สามารถทะลวงได้แล้ว
ส่วนพี่เสี่ยวซย่าและเฉินเจียวซิ่ง สองคนบัดนี้คนหนึ่งระดับหลอมลมปราณขั้นสิบเอ็ด คนหนึ่งหลอมลมปราณขั้นสิบสอง
พี่เสี่ยวซย่ายังดี ในการส่งสารกับมั่วชิงเฉินเป็นระยะนั้น การพูดการจาไม่แสดงอาการรีบร้อน ทุกครั้งมักเล่าเรื่องน่าสนใจที่เกิดขึ้นรอบตัวเขาและเรื่องซุบซิบที่ได้ยินมา ทำให้แม้มั่วชิงเฉินไม่ค่อยได้ออกจากยอดเขารอง กลับได้ยินข่าวคราวมาไม่น้อย
เฉินเจียวซิ่งไม่รู้เพราะเหตุใดจะทะลวงสร้างรากฐานในยามอยู่ขั้นสิบสองให้ได้ สุดท้ายต้องล้มเหลว บัดนี้กำลังกักตน ตั้งใจบำเพ็ญเพียรอยากให้ถึงระดับหลอมลมปราณโดยสมบูรณ์ในเร็ววัน
นอกจากสี่คนนี้ กลับไม่จำเป็นต้องบอกกล่าวคนอื่นแล้ว มั่วชิงเฉินพลางคิดพลางเดินออกไป เขาโฮ่วเต๋อมีถนนทะลุตรงไปยังประตูใหญ่สำนัก ตามระเบียบแล้วหนทางช่วงนี้ห้ามใช้อาวุธเวทเหินหาว
“ศิษย์น้องมั่ว!” ทันใดนั้นได้ยินเสียงประหลาดใจเสียงหนึ่ง
มั่วชิงเฉินเงยหน้า แล้วขมวดคิ้วอย่างไม่รู้ตัว
ผู้บำเพ็ญเพียรที่ทักทายคือศิษย์ผู้ดูแลของเขาต้วนจินที่ชื่อจ้าวหมิงเฟิงผู้นั้น เจ็ดปีมานี้นางติดตามอาจารย์บำเพ็ญเพียรตลอดมา น้อยนักที่จะเสวนากับโลกภายนอก แต่ก็ได้รับยันต์ส่งสารที่ส่งมาจากศิษย์พี่จ้าวผู้นี้ทุกเดือนอย่างไม่คาดคิด
ในยันต์ส่งสารก็ไม่มีเรื่องอะไร ไม่ก็ถามนางช่วงนี้สบายดีไหม ไม่ก็เชิญนางไปปฏิบัติภารกิจด้วยกัน
เริ่มแรกมั่วชิงเฉินตอบกลับอย่างมีมารยาทไปหลายครั้ง ถึงระยะหลังนางแกล้งทำเป็นไม่เห็นให้รู้แล้วรู้รอดไปเสียเลย ต่อให้เป็นเช่นนี้ ยันต์ส่งสารนั้นยังคงมาไม่เคยขาด
“ศิษย์น้องมั่ว ในที่สุดเจ้าก็สิ้นสุดการกักตนแล้ว นี่เจ้าจะไปไหนหรือ?” จ้าวหมิงเฟิงถามด้วยสีหน้ายินดี
มั่วชิงเฉินขมวดคิ้ว นางไม่ใช่แม่นางน้อยที่ไม่รู้เรื่องทางโลกจริงๆ ความหมายของศิษย์พี่จ้าวผู้นี้นางดูออก ก็เพียงแค่อยากตามขอความรักนางเท่านั้น
ส่วนสาเหตุน่ะหรือ มั่วชิงเฉินแอบยิ้มเยาะในใจ คิดว่าคือในวันที่สร้างรากฐานสำเร็จที่เขาต้วนจิน ถูกเขาเห็นโฉมหน้าที่แท้จริงโดยบังเอิญเท่านั้นเอง
“ศิษย์พี่จ้าว น้องมีธุระต้องขอตัวก่อน” มั่วชิงเฉินไม่อยากเกี่ยวพันกับคนผู้นี้มากนัก พูดจบอย่างนิ่งเรียบแล้วจึงเดินอ้อมไปข้างๆ
เมื่อรู้จักความงดงามจึงฝ่ายหาคนงาม เป็นธรรมดาของคน นางไม่รู้สึกเสียความรู้สึกกับคนอื่นเพราะสาเหตุนี้ แน่นอนต้องอยู่ภายใต้ข้อแม้ไม่ขวางทางนาง
ทว่าศิษย์พี่เจ้าผู้นี้เห็นชัดว่าไม่รู้กาลเทศะ เห็นมั่วชิงเฉินเดินไปด้านข้าง จึงรีบไปขวางด้านนั้นด้วยความเร็วยิ่งอย่างไม่คาดคิด มั่วชิงเฉินเกือบจะชนเข้าบนตัวเขา
“ศิษย์พี่จ้าว นี่ท่านจะทำอะไร?” มั่วชิงเฉินสีหน้าเย็นชาลงมา
จ้าวหมิงเฟิงเห็นคนงามพิโรธ พูดจาเกิดติดขัดขึ้นมาอย่างไม่ค่อยเคยเห็น “ศิษย์น้องมั่ว เจ้า…เจ้าอย่าไปสิ เราไม่ได้พบกันหลายปี ศิษย์พี่มีคำพูดอย่างพูดกับเจ้าด้วยตนเองมาตลอด…”
มั่วชิงเฉินตะคอกให้หยุดด้วยเสียงเย็นชาว่า “ศิษย์พี่จ้าว น้องมีธุระด่วนจริงๆ ขอให้ท่านหลีกทางด้วย อีกอย่าง ระหว่างเรา ก็ไม่มีสิ่งใดต้องพูด”
มั่วชิงเฉินพูดจบก็อ้อมออกห่างจากเขาเดินหน้าไปอย่างรวดเร็ว จ้าวหมิงเฟิงรีบตามขึ้นไป ตามติดไม่เลิกราว่า “ศิษย์น้องมั่ว ศิษย์น้องมั่ว เจ้าให้เวลาข้าสักหน่อย ฟังข้าพูดไม่กี่ประโยคก็พอ”
ศิษย์ที่ไปๆ มาๆ เห็นผู้บำเพ็ญเพียรชายระดับสร้างรากฐานคนหนึ่งตามตื๊อผู้บำเพ็ญเพียรหญิงระดับสร้างรากฐานคนหนึ่ง ต่างแอบนึกขำ สายตาพิจารณาทั้งสองคนไม่หยุด
มั่วชิงเฉินอับอายยิ่งนัก ตั้งแต่นางมาอยู่พรรคเหยากวงเนื่องจากแต่งตัวเช่นนี้ จึงไม่เคยพบเจอเรื่องทำนองนี้ และก็ไม่เคยคิดว่าคนที่เป็นถึงผู้บำเพ็ญเพียรระดับสร้างรากฐาน จะกระทำการเช่นนี้ต่อหน้าธารกำนัลได้
เรื่องนี้มั่วชิงเฉินกลับคาดผิดแล้ว ในโลกแห่งการบำเพ็ญเพียรเดิมทีก็ชายมากหญิงน้อยอยู่แล้ว ยิ่งเป็นระดับสูง เหตุการณ์ก็ยิ่งเป็นเช่นนี้ ดังนั้น ผู้บำเพ็ญเพียรชายมากมายเมื่อพบผู้บำเพ็ญเพียรหญิงที่เหมาะสมแล้ว การตามขอความรักจึงเปิดกว้างกว่าที่นางคิดมากนัก
ยิ่งกว่านั้นผู้บำเพ็ญเพียรไม่ถือขนบธรรมเนียมประเพณี จึงไม่เห็นว่านี่เป็นเรื่องขายหน้า อีกทั้งเพราะผลดีของการบำเพ็ญเพียรคู่ ขอเพียงไม่ใช่การใช้กำลังบังคับ แม้แต่เหล่าผู้อาวุโสก็ต่างมีท่าทีอยากให้เรื่องเช่นนี้สำเร็จ
นี่อย่างไรศิษย์ที่มุงดูเริ่มมีคนส่งเสียงร้องดี ยุยงส่งเสริมแล้ว
จัดการเรื่องประเภทนี้ ต้วนชิงเกอก็มีประสบการณ์มากกว่ามั่วชิงเฉินมากแล้ว เป็นเพราะเจอตามขอความรักมามากแล้ว จึงรู้เหตุผลสี่ตำลึงปาดพันชั่ง[1]มานานแล้ว
จ้าวหมิงเฟิงเห็นท่าทางอับอายทำอะไรไม่ถูกของมั่วชิงเฉิน ในใจกลับรู้สึกยินดี ปกติหญิงสาวเช่นนี้จะจัดการได้ง่ายกว่า
นึกถึงความตะลึงในความงามเพียงปราดเดียวในปีนั้น เขาอดตกใจเหมือนเห็นนางฟ้าไม่ได้ เมื่อนึกได้ว่าศิษย์น้องผู้นี้แต่งตัวเช่นนี้ยังไม่ดึงความสนใจจากคนรอบข้าง เขามีโอกาสมาก จึงยิ่งมีกำลังใจขึ้น
เยี่ยเทียนหยวนสงบใจบำเพ็ญเพียรมาหลายปี ได้เข้าสู่ระดับสร้างรากฐานระยะปลายสำเร็จแล้ว อีกทั้งใช้ระยะเวลาหนึ่งทำให้เขตแดนมั่นคง คิดจะลงเขาฝึกตนแล้ว จึงมารายงานที่โถงประชุมเขาโฮ่วเต๋อสักหน่อย ใครจะคิดว่าทะยานตัวกระโดดลงจากอาวุธเวทเหินหาว ปกติศิษย์ที่อดแอบมองเขาไม่ได้กลับไม่มีสักคน มองอีกที คนพวกนั้นล้วนยืนอยู่ข้างทางเอะอะโวยวายอะไรกันอยู่ ผู้บำเพ็ญเพียรหญิงระดับสร้างรากฐานคนหนึ่งกำลังถูกผู้บำเพ็ญเพียรชายระดับเดียวกันตามตื๊ออยู่กลางถนน
เขาเห็นเหตุการณ์เช่นนี้จนชิน กำลังจะก้าวเท้าจากไป ทันใดนั้นร่างกายกลับสะดุดกึก สายตาตกไปทางด้านนั้น สีหน้าเย็นเยียบเล็กน้อย
เห็นคนมุงดูยิ่งมุงยิ่งมาก ศิษย์พี่จ้าวประหลาดผู้นี้ท่าทางเหมือนจะไล่ตามไม่เลิกรา มั่วชิงเฉินหน้าบึ้ง “ศิษย์พี่จ้าว ตกลงท่านจะหลีกไปหรือไม่?”
ศิษย์น้องมั่ว เจ้าให้เวลาข้าเพียงเล็กน้อยก็พอแล้ว เราต่างเป็นผู้บำเพ็ญเพียรระดับเดียวกัน วันหน้ายากจะหลีกเลี่ยงโอกาสการแลกเปลี่ยนฝีมือกัน เหตุใดเจ้าต้องผลักไสคนให้ห่างออกไปพันลี้เช่นนี้ด้วย?” จ้าวหมิงเฟิงเอ่ยอย่างหน้าด้านหน้าทน
ได้ยิน ‘แลกเปลี่ยนฝีมือ’ สองคำ ไม่รู้เพราะเหตุใดมั่วชิงเฉินรู้สึกเสียวสันหลังวาบ ในใจถุยๆสองที ผีถึงแลกเปลี่ยนผีมือกับเจ้าน่ะสิ!
มั่วชิงเฉินอ้อมผ่านคนผู้นี้อีกครั้ง บนใบหน้าปกคลุมไปด้วยน้ำค้างแข็ง จ้างหมิงเฟิงกลับบีบคั้นเข้ามาอย่างไม่รู้กาลเทศะ อีกทั้งยังยื่นมือออกคิดจะดึงเสื้อของนางไว้อย่างคาดไม่ถึง
ในที่สุดมั่วชิงเฉินก็ทนไม่ไหวอีกต่อไป ไม่ทันได้สนใจว่านี่อยู่บนหนทางสว่างไสวของเขาโฮ่วเต๋อที่ไปสู่ประตูสำนักอีกแล้ว พลิกมือดึงอาวุธเวทรูปร่างเหมือนก้อนอิฐที่นางได้มาเมื่อหลายปีก่อน ฟาดใส่หน้าจ้างหมิงเฟิงอย่างแรง
มีชายหนุ่มตามขอความรัก ต่อให้หญิงสาวคนนี้ไม่เต็มใจ ในใจก็อดได้ใจไม่ได้ ต่อให้ปฏิเสธก็จะปฏิเสธอย่างอ้อมค้อมมีมารยาท ทำให้ชายหนุ่มยังคงไม่อาจลืมได้
จ้าวหมิงเฟิงเดิมทีนึกว่ามั่วชิงเฉินเพิ่งออกสู่โลกภายนอก ปฏิเสธไม่เป็น จึงยิ่งใจกล้า ไม่คิดเลยว่านางจะกล้าลงมือท่ามกลางสายตาทุกคนที่เขาโฮ่วเต๋อ
คนหนึ่งลงมืออย่างไร้ความปรานี แม้จะอยู่ระดับสร้างรากฐานระยะต้นกลับฝึกฝนซ้ำไปซ้ำมาในน้ำตกที่หนาวเย็นทุกวัน ร่างกายที่ดูบอบบางกลับแฝงด้วยพลังอันน่ากลัว
ส่วนอีกคนหนึ่งไม่ได้ระวังตัวโดยสิ้นเชิง แม้อยู่ระดับสร้างรากฐานระยะกลางฝีมือกลับธรรมดาๆ
ไม่คิดเลยว่ามั่วชิงเฉินจะฟาดก้อนอิฐก้อนนั้นไปบนหน้าศิษย์พี่จ้าวเต็มๆ ทั้งเช่นนี้ และภายใต้การผลักของแรงที่เกินออกมา เขาบินไปข้างหลังทั้งตัว ถูกก้อนอิฐที่ขยายใหญ่ตบลงบนพื้น!
ทันใดนั้น รอบด้านเงียบเป็นเป่าสากทันที
——
[1] สี่ตำลึงปาดพันชั่ง ก็คือการใช้แรงเพียงเล็กน้อยเพื่อเอาชนะแรงที่มากกว่า
Comments for chapter "ตอนที่ 142"
MANGA DISCUSSION
Leave a Reply Cancel reply
This site uses Akismet to reduce spam. Learn how your comment data is processed.
A'Lay Khontee
ขออนุญาตขำ ช่วยด้วย5555555