พันธกานต์ปราณอัคคี - ตอนที่ 146
“เหตุใดยังไม่เห็นสุดทางล่ะ ตกลงที่นี่เดินออกไปได้หรือไม่กันแน่?” หญิงสาวชุดเหลืองที่มาจากนิกายเหอฮวนมองผืนทรายที่ไร้ขอบเขตพลาง บ่น
หญิงสาวชุดชมพูอีกคนหนึ่งเอ่ยตามว่า “นั่นนะสิ ตกลงที่นี่ที่ไหนกันแน่นะ พวกเราคงจะไม่เดินเช่นนี้ไปตลอดหรอกนะ?”
“หุบปาก อยากออกไปทั้งที่มีชีวิต ก็อย่าพูดมาก หรือว่า บัดนี้ข้าก็จะทำให้พวกเจ้าหลุดพ้น?” ผู้บำเพ็ญเพียรชุดดำระดับสร้างรากฐานระยะปลายกวาดแสงเย็นชามา
สองสาวเงียบเสียงทันที ลากฝีเท้าที่ยิ่งเดินยิ่งหนักหน่วงมุ่งไปเข้าหน้า
มั่วชิงเฉินเม้มปาก ที่นี่ไม่อาจเหาะเหินเดินอากาศได้เอาเสียเลย ทุกคนเดินอยู่ในทะเลทรายสุดลูกหูลูกตาผืนนี้มาหลายวันแล้ว ต่อให้ผู้บำเพ็ญเพียรระดับสร้างรากฐานเลี่ยงธัญพืชได้ ทว่ามองไปทิวทัศน์ล้วนเหมือนกันหมด ยิ่งกว่านั้นยังไม่รู้ว่าเมื่อไรจะถึงสุดทาง ความกดดันทางด้านจิตใจเช่นนี้ช่างใหญ่หลวงนัก
ทว่ายิ่งในเวลาเช่นนี้ ยิ่งสั่นคลอนความมั่นใจไม่ได้ ในเวลามากมายการทำให้คนคนหนึ่งแพ้ไม่ใช่ปัจจัยภายนอก หากแต่เป็นอำนาจจิตอันเปราะบางของตนเอง
มั่วชิงเฉินเหลือบมั่วหลีลั่วปราดหนึ่ง ใบหน้าฉายแววมุ่งมั่นแวบหนึ่ง ไม่ว่าอย่างไร ความรอบรู้ด้านค่ายกลนางเชื่อใจมั่วหลีลั่วได้ มีจานคงดาราของนางในมือ ทิศทางน่าจะไม่ผิดพลาด เช่นนั้นขอเพียงเดินไปตามทิศทางหนึ่ง ย่อมมีวันที่ออกไปได้
สายตาของคนชุดดำระดับสร้างรากฐานระยะปลายเป็นประกาย อยู่ด้วยกันหลายวัน เขายิ่งนานยิ่งรู้สึกว่าหญิงสาวสามคนนี้อาจไม่ใช่พวกเดียวกับพวกนางจริง
เขาสังเกตมาแล้ว หลายวันนี้เร่งเดินทางตลอด แม้แต่สหายของเขาใบหน้าต่างก็ฉายแววกระวนกระวาย ผู้บำเพ็ญเพียรหญิงไม่กี่คนนั้นยิ่งคร่ำครวญมาตลอดทาง กระทั่งยังมีคนหนึ่งตั้งใจทำเป็นอ่อนแอ ล่อลวงให้สหายของเขาคนหนึ่งเกิดทะนุถนอมขึ้นมา มีเพียงหญิงสาวสามคนนี้ ด้านอื่นไม่เห็นว่าจะแข็งแกร่งกว่าคนอื่นสักเท่าไร ทว่าอารมณ์นั้นหากไม่ใช่แน่วแน่ ก็สงบ หรือสุขุม แสดงออกถึงคุณสมบัติอันดีเยี่ยม
หากบอกว่าคนคนหนึ่งเป็นเช่นนี้ เช่นนั้นอาจเป็นนิสัยส่วนตัว ทว่าสามคนเป็นเช่นนี้ล่ะก็ เขาก็ได้แต่ตัดสินว่า สำนักหรือตระกูลที่พวกนางสังกัดมอบคุณสมบัติเฉพาะที่เหมือนกันให้พวกนาง
ไม่รู้ว่าความคิดของผู้นำชุดดำแอบเปลี่ยนไปแล้ว มั่วหลีลั่วมองท้องฟ้าเทียบกับจานคงดารา
“เป็นอันใดหรือ ศิษย์พี่มั่ว?” มั่วชิงเฉินถามเสียงต่ำ คนอื่นๆ ก็มองมาทางนางเช่นกัน
มั่วหลีลั่วมีสีหน้าลังเล กัดริมฝีปากที่แห้งผาก “ข้ารู้สึกว่ามีบางสิ่งแปลกๆ!”
“แปลกอะไร?” ผู้นำชุดดำระดับสร้างรากฐานระยะปลายถามอย่างไม่เกรงใจแม้แต่น้อย
มั่วหลีลั่วกวาดสายตาใส่เขาปราดหนึ่งอย่างเย็นชา หันหน้าพูดกับพวกมั่วชิงเฉินสองคนว่า “ข้าก็บอกไม่ถูก จานคงดารานี้ข้าหลอมเองกับมือ ตามหลักแล้วไม่ควรผิดพลาด ทว่าข้ามักรู้สึกรางๆ ว่ามีปัญหา”
มั่วชิงเฉินและต้วนชิงเกอมองตากันปราดหนึ่ง คนอื่นไม่รู้ พวกนางกลับเข้าใจดี มั่วหลีลั่วมีพรสวรรค์ในด้านนี้ติดตัวมาตั้งแต่เกิด บัดนี้ความรอบรู้ในด้านค่ายกลของนางแม้แต่ผู้บำเพ็ญเพียรระดับก่อแก่นปราณมากมายก็เทียบไม่ติด
“เจ้าคงไม่ผิดพลาดหรอกนะ หรือว่าที่พวกเราเดินมาตั้งหลายวันเพียงนี้ต้องเดินเปล่าแล้วเช่นนั้นหรือ?” หญิงสาวชุดเหลืองเต้นเร่าๆ ว่า
สายตาเย็นชาของมั่วหลีลั่วกวาดมา “หุบปาก ขืนเจ้าพูดมากอีกประโยคเดียว ข้าก็ไม่ถือสาที่จะทำให้เจ้าหลุดพ้น ณ บัดนี้เช่นกัน!”
หญิงสาวชุดเหลืองยื่นมือ “เจ้า เจ้านึกว่าเจ้าเป็นใคร เจ้าก็เพิ่งอยู่ระดับสร้างรากฐานระยะต้นเท่านั้น!”
ใบหน้ามั่วหลีลั่วปกคลุมไปด้วยน้ำค้างแข็ง ทันใดนั้นกลับหัวเราะว่า “ลองดูสักหน่อยไหมล่ะ?”
หญิงสาวชุดเหลืองโกรธจนหายใจหอบ กำลังจะพูดกลับถูกหญิงสาวชุดม่วงลากไว้ หันหน้าพูดกับมั่วหลีลั่วว่า “ศิษย์น้อง ทุกคนต่างก็เป็นคนกันเอง เหตุใดต้องทำเช่นนี้ให้คนนอกหัวเราะเยาะด้วย เจ้าว่าใช่หรือไม่?”
มั่วหลีลั่วเบิ่งตาใส่นางอย่างเย็นชาปราดหนึ่งแล้วไม่ออกเสียง
พวกนางสามคนคุยกันเป็นการส่วนตัวแล้ว ฝ่ายคนชุดดำพลังสูงกว่ามากนัก หากพวกนางสองฝ่ายแยกจากกันล่ะก็ จำต้องตกเป็นเบี้ยล่างเท่านั้น ดังนั้นไม่ว่าอย่างไร พวกนางได้เพียงรักษาความสมดุลนี้ไว้ชั่วคราว
ในทะเลทรายนี้ไม่เพียงแต่พระอาทิตย์ร้อนแรง ยังมีลมร้อนพัดมาเป็นระลอก ม้วนเอาเม็ดทรายซัดใส่ตัว ต่อให้เป็นผู้บำเพ็ญเพียรระดับสร้างรากฐานเมื่อเวลานานเข้าก็ทนไม่ไหวเช่นกัน
เดินไปอีกระยะเวลาหนึ่ง จู่ๆ หลิวหลิงจือก็ล้ม ‘ตึง’ บนพื้น
“ศิษย์พี่ใหญ่ นางหมดสติไปแล้ว ทำเช่นไรดี?” หญิงสาวชุดชมพูก้มตัวสำรวจสภาพของหลิวหลิงจือคราหนึ่งว่า
มั่วชิงเฉนกำหมัดแผ่วเบา หลายวันมานี้นางแอบสังเกตหลิวหลิงจือมาตลอด เพียงแต่เห็นนางเป็นตายร้ายดีเช่นไรก็ไม่คิดจะยอมรับว่ารู้จักตนเอง สถานการณ์ยามนี้เป็นเช่นไรกันแน่ก็ไม่อาจรู้ได้ นี่ถึงได้แกล้งทำเป็นไม่รู้จัก
หญิงสาวชุดม่วงรื้อขวดโอสถออกมาขวดหนึ่งว่า “ป้อนนางกินเข้าไป ไม่อย่าอย่างไร จะให้นางตายไม่ได้!”
“เจ้าค่ะ” หญิงสาวชุดชมพูรับขวดหยกมา หยิบโอสถเม็ดหนึ่งป้อนให้หลิวหลิงจือ
ผู้นำชุดดำกวาดสายตามองสีหน้าซีดเซียวของหลิวหลิงจือปราดหนึ่ง แล้วกวาดสายตาใส่หญิงสาวไม่กี่คนนั้นปราดหนึ่ง แสงในตาเป็นประกาย ราวกับเข้าใจอะไรแล้ว
“แค่กๆ” หลังจากกินโอสถ หลิวหลิงจือค่อยๆ ฟื้นขึ้นมา สายตาดูเหมือนไม่มีจุดศูนย์รวม ลุกขึ้นยืนอย่างด้านชาแล้วเดินไปข้างหน้าต่อ
มั่วชิงเฉินแอบตกใจ สาวน้อยจอมแสบเปิดเผยในปีนั้นตกลงผ่านอะไรมากันแน่ ถึงกลายมามีลักษณะเช่นทุกวันนี้ อีกทั้งหญิงสาวแห่งนิกายเหอฮวนและผู้บำเพ็ญเพียรชุดดำกลุ่มนี้มีความแค้นเคืองอะไรกันอีก ถึงทำให้พวกเขาไล่ล่าไม่ลดละ?
เมื่อออกจากที่นี่แล้ว ผู้บำเพ็ญเพียรชุดดำกลุ่มนี้ก็จะฆ่าพวกนางใช่หรือไม่? เช่นนั้นพวกนางสามคนล่ะ หากเป็นพวกจิตใจเ**้ยมโหด จะฆ่าคนปิดปากไปด้วยหรือไม่?
เดิน อีกหนึ่งวันเต็มๆ ผืนทรายสีเหลืองยังคงมองไม่เห็นขอบเขต หญิงสาวชุดชมพูสะดุดทีหนึ่งล้มลงกับพื้น
หญิงสาวชุดเหลืองขึ้นไปช่วยพยุง กลับถูกหญิงสาวชุดชมพูสะบัดออก ร้องไห้ฮือๆ ว่า “ข้าไม่เดินแล้ว ไม่เดินแล้ว นี่ไม่มีที่สิ้นสุดชัดๆ แทนที่จะเหนื่อยตาย ไม่สู้ตายเสียที่นี่ก็แล้วกัน!”
ผู้บำเพ็ญเพียรหญิงคนนี้จิตใจพังครืนอย่างคาดไม่ถึงแล้ว
ในมือผู้นำชุดดำแสงวิญญาณสว่างขึ้นแวบหนึ่ง กำลังจะจัดการผู้บำเพ็ญเพียรหญิงนี้ กลับได้ยินผู้บำเพ็ญเพียรหญิงชุดชมพูร้องอย่างโหยหวนเสียงหนึ่ง
เดิมทีทุกคนก็มองนางอยู่ ได้ยินนางร้องโหยหวนผ่านไป ก็เห็นนางกลายเป็นศพแห้งที่สูญเสียน้ำไปหมดร่างหนึ่งด้วยความเร็วอันเร็วยิ่ง บนใบหน้ายังมีสีหน้าสิ้นหวังอยู่
“ศิษย์พี่ใหญ่!” นอกจากหลิวหลิงจือที่ใบหน้าด้านชา สองสาวที่เหลือร้องเรียกอย่างเสียขวัญ
สีหน้าของผู้บำเพ็ญเพียรหญิงชุดม่วงก็ไม่ดี จ้องผู้บำเพ็ญเพียรชุดชมพูที่ตายโดยสิ้นเชิงอย่างผวา
มองดูสภาพการตายที่น่าสยองเช่นนั้น มั่วชิงเฉินขนหัวลุก ใครจะนึกได้ว่าหญิงสาวที่ยังสวยสดงดงามเมื่อสักครู่ พริบตาเดียวก็กลายสภาพเป็นเช่นนี้แล้ว
มั่วหลีลั่วมองศพอย่างเหม่อลอย ทันใดนั้นตะโกนว่า “ข้าเข้าใจแล้ว ข้าเข้าใจแล้ว นี่คือแดนมายา สิ่งที่พวกเราเห็นทั้งหมดล้วนเป็นภาพลวงตา!”
“ภาพลวงตา? เจ้าพูดให้เข้าใจหน่อย!” ผู้นำชุดดำเอ็ดว่า
ในยามนี้มั่วหลีลั่วกลับไม่ทันได้สนใจท่าทีของเขา พูดต่อว่า “ข้ารู้สึกว่าผิดปกติมาตลอด จานคงดารานี้ชี้ทิศทางออกมา ทว่ากลับมีความรู้สึกขัดกันอย่างประหลาดกับความรู้สึกด้านทิศทางของตัวข้าเอง ที่แท้ พวกเราอยู่ในแดนมายามาตลอด บางทีเดินมาหลายวันเช่นนี้ พวกเราอาจจะเดินวนรอบที่เดิมอยู่ก็เป็นไปได้!”
“เช่น เช่นนั้นเหตุใดนางถึงกลายสภาพเป็นเช่นนี้?” ผู้บำเพ็ญเพียรหญิงชุดม่วงถามเสียงสั่น นางไม่อยากเชื่อจริงๆ ว่าจะมีแดนมายาที่สมจริงเช่นนี้
มั่วหลีลั่วมองศพปราดหนึ่งอย่างไม่แยแสว่า “อันว่าแดนมายา มีน้อยมากที่เกิดจากธรรมชาติ อาจเพราะผู้บำเพ็ญเพียรสูดยาที่ทำให้เกิดภาพลวงตาบางอย่างเข้าไป หรืออาจเพราะค่ายกลมายา จู่ๆ พวกเราปรากฏขึ้นที่นี่ ข้าคิดว่าความเป็นไปได้ที่สุด ก็คือไปปลุกสิ่งต้องห้ามของค่ายกลที่อยู่ที่นี่เข้า นี่ถึงได้ตกเข้าสู่แดนมายา ส่วนนาง คิดว่าเพราะจิตใจพังทลาย คิดว่าตนต้องตายอยู่ที่นี่ จึงเข้าแผนพอดี ค่ายกลมายาจึงอาศัยสิ่งนี้ฆ่าคน”
ฟังถึงตรงนี้ ทุกคนสูดปราณวิญญาณเข้าอึดหนึ่ง โดยเฉพาะผู้บำเพ็ญเพียรหญิงไม่กี่คน สีหน้าเต็มไปด้วยความกลัวไม่หาย ตะโกนว่า “เช่นนั้นจะทำเช่นไรดี?”
“ทำเช่นไร? นอกจากจิตใจแน่วแน่สติมั่นคง ก็ไม่มีวิธีอื่นแล้ว” มั่วหลีลั่วเอ่ยนิ่งเรียบ
“ข้าไม่สนใจว่านางตายอย่างไร ข้าสนใจแต่จะออกไปได้อย่างไร!” ผู้นำชุดดำพูดชัดถ้อยชัดคำ
มั่วหลีลั่วค้อนเขาทีหนึ่ง “ข้าขอเตือนให้เจ้าท่าทีดีหน่อย อย่าอาศัยว่าตบะสูงก็ตะโกนโหวกเหวกใส่พวกเรา เดิมข้าก็ไม่มีหน้าที่ต้องบอกเจ้าว่าจะออกไปได้อย่างไรอยู่แล้ว!”
“เจ้า!” ผู้นำชุดดำโมโหยิ่งนัก กลับต้องอดทนไว้ทั้งอย่างนั้น
ค่ายกล การหลอมโอสถ การหลอมอาวุธหรือสร้างยันต์ต่างๆ ต้องการความรู้และประสบการณ์เฉพาะด้านปริมาณมาก ยังมีพรสวรรค์ที่ขาดไม่ได้อีก นอกจากผู้บำเพ็ญเพียรระดับก่อกำเนิดที่มีเวลามากมาย ผู้บำเพ็ญเพียรส่วนใหญ่ล้วนไม่มีเวลาและเงื่อนไขในการศึกษา แดนมายานี้แยบยลเพียงนี้ ไม่ใช่ค่ายกลที่ทำลายได้ง่ายๆ แน่นอน ยามนี้เขาก็ได้แต่อาศัยผู้บำเพ็ญเพียรหญิงที่ดูเหมือนค่อนข้างช่ำชองเรื่องค่ายกลผู้นี้แล้ว
“ว่ากันตามจริง เกรงว่าค่ายกลนี้จะแยบยลยิ่งนัก มิใช่ตบะของข้าในเวลานี้จะสามารถเข้าใจได้ ข้าก็ทำได้เพียงสุดความสามารถเท่านั้น” มั่วหลีลั่วพูดพลางมองจานคงดาราอีกครา ยืนอยู่ที่เดิมมองไปรอบด้าน
บัดนี้ฟ้าได้มืดลงแล้ว ในม่านกลางคืนที่ดวงดาวระยิบระยับเต็มท้องฟ้า นำความเย็นสายหนึ่งมาสู่ทะเลทรายที่ร้อนระอุ
ทุกสิ่งสมจริงเช่นนี้ ก็ว่าไม่ได้ที่จนถึงบัดนี้ ทุกคนถึงพบว่าเป็นแดนมายาแล้ว
มั่วหลีลั่วไขว้มือไว้ด้านหลังแหงนมองท้องฟ้า ดวงดาวเต็มท้องฟ้าส่องแสงระยิบระยับ ส่องจนเม็ดทรายสีเหลืองบนพื้นส่องแสงแวววับดุจเม็ดทอง
“ต่อให้ค่ายกลที่แยบยลเพียงใด ก็ต้องมีช่องโหว่แน่นอน” มั่วหลีลั่วบ่นพึมพำ นี่คือยามที่นางก้าวเข้าสู่หนทางแห่งค่ายกลครั้งแรก คำพูดที่ปรมาจารย์ท่านนั้นบอกนางไว้อย่างจริงจัง
หลังจากนั้นอีก นางมองหมู่ดาวที่หนึ่งแล้วชะงักงัน ผ่านไปเนิ่นนาน ทันใดนั้นก็หรี่ตาขึ้น ล้วงค้อนสะท้านฟ้าออกมาโยนใส่กลางอากาศ แล้วก็ได้ยินเสียงโครมเสียงหนึ่ง ท้องฟ้าทั้งผืนเริ่มบิดเบี้ยว ตามติดด้วยทุกคนต่างตาลาย รอลืมตาขึ้นอีกครั้ง กลับพบว่าที่ที่อยู่ยังคงเต็มไปด้วยเม็ดทรายสีเหลือง สิ่งเดียวที่ต่างออกไปคือจากคืนมืดเมื่อครู่บัดนี้กลายเป็นท้องฟ้าสีครามในเวลากลางวัน
ยังไม่รอทุกคนพูดจา ทันใดนั้นผืนทรายใต้เท้าก็ขยับ จากนั้นก็เห็นทรายสีเหลืองไหลพุ่งเข้ามาเหมือนสายน้ำ ดูเหมือนจะฝังทุกคนซะ
“เกิดอะไรขึ้น?” ผู้บำเพ็ญเพียรหญิงคนหนึ่งกรีดร้อง
ยามนี้ไม่มีคนตอบนางแล้ว ทุกคนต่างอัญเชิญอาวุธเวทออกมาต้านทรายดูดไว้ ครู่ใหญ่พายุทรายถึงสงบลง
มั่วชิงเฉินพบว่าแม้หลิวหลิงจือจะท่าทางด้านชา ทว่าความสามารถในการตอบโต้กลับไม่อ่อน ในสถานการณ์ที่นางตั้งใจต้านทรายดูดมากสักหน่อย ก็ปลอดภัยไร้กังวล
กลับเป็นผู้บำเพ็ญเพียรหญิงชุดเขียวที่เปิดปากก่อนหน้า บัดนี้ทุลักทุเลยิ่งนัก หากไม่ใช่ผู้นำชุดดำไม่อยากสูญเสียกำลังคนไปอีกจึงดึงนางทีหนึ่ง คิดว่าบัดนี้คงฝังกายท่ามกลางทรายดูดแล้วเป็นแน่
“สหายเต๋ามั่ว นี่มันเรื่องอะไรกันแน่ เจ้าทำอะไร?” ผู้นำชุดดำถามว่า คำพูดแม้แข็งกระด้าง น้ำเสียงกลับดีขึ้นมากแล้ว
มั่วหลีลั่วขมวดคิ้ว “ข้าหาช่องโหว่ได้สายหนึ่ง ทำลายค่ายกลมายาแล้ว”
“ทำลายแล้ว ทำลายแล้วเหตุใดพวกเรายังอยู่ที่นี่อีก?” ผู้บำเพ็ญเพียรหญิงชุดม่วงถามด้วยความฉงน
มั่วหลีลั่วมองออกไปไกลพลางถอนหายใจ “เพราะว่า…นี่คือค่ายกลในค่ายกล! ตำแหน่งที่พวกเราอยู่ตอนนี้ ไม่ใช่ค่ายกลมายาแล้ว หากแต่เป็นค่ายกลสังหารอย่างจริงๆ จังๆ!”