พันธกานต์ปราณอัคคี - ตอนที่ 152 มุกจื่อหวาสงบจิต
หอยยักษ์ที่กัดผู้ชายไว้มีสีขาวนวลทั้งตัว ตัวใหญ่ยิ่งนัก มั่วชิงเฉินซัดเข็มสีเขียวเข้าไปตามซอกหลายสิบเล่ม แล้วก็ได้ยินเสียงแปลกๆ ดัง ‘ชู่’ ท่ามกลางความเจ็บปวดอย่างยิ่งยวด หอยยักษ์อ้าเปลือกออกอย่างไม่รู้ตัว
มั่วชิงเฉินตาไวมือเร็วรีบดึงผู้ชายออกมา ในชั่วแวบหนึ่งเห็นในหอยมีมุกสีม่วงขนาดเท่าลำไยสองเม็ด ไม่ได้คิดอะไรมาก จึงหยิบติดมือออกมา
มุกสีม่วงเพิ่งถูกหยิบออก หอยยักษ์นั่นก็ราวกับเป็นบ้าก็ไม่ปาน เปลือกหอยอ้าๆ หุบๆ ไล่ตามพวกเขาสองคนมาอย่างรวดเร็ว
หอยยักษ์นี่เป็นเพียงอสูรปีศาจชั้นสอง หากมั่วชิงเฉินคิดจะจัดการย่อมไม่คณนามือ ทว่าบัดนี้อาการบาดเจ็บของผู้ชายค่อนข้างสาหัส นางไม่มีใจสู้รบพัวพัน จึงนำผู้ชายว่ายน้ำขึ้นข้างบน
หญิงสาวชุดฟ้าที่อยู่หางเรือกำลังจ้องผิวน้ำตาไม่กะพริบ ทันใดนั้นได้ยินเสียงน้ำ มั่วชิงเฉินโผล่ศีรษะออกมา สีหน้าอดปรากฏความยินดีไม่ได้ จากนั้นก็เห็นผู้ชายหลับตาสนิท บนใบหน้ามีแต่เลือด จึงอดตกใจกลัวจนกระทบกระเทือนจิตใจไม่ได้ นางลุกพรึบขึ้นมาทันทีคิดจะถามให้รู้เรื่อง กลับเกิดหน้ามืดหมดสติไป
มั่วชิงเฉินงงเป็นไก่ตาแตก เป็นครั้งแรกที่พบว่าที่แท้หญิงสาวธรรมดาเปราะบางเช่นนี้นี่เอง ต่อให้เป็นผู้บำเพ็ญเพียรก็เถอะ
นางส่ายศีรษะอย่างจำใจ แล้วลากผู้ชายขึ้นเรือ โดยที่ไม่สนใจหญิงสาวชุดฟ้าที่หมดสติอยู่ เริ่มตรวจหาบาดแผลของผู้ชาย
ผู้ชายสูญเสียพลังวิญญาณในร่างไปมาก แม้เกิดความปั่นป่วนบ้าง ทว่าท่ามกลางการเหนี่ยวนำของพลังวิญญาณที่แข็งแกร่งและอ่อนโยนของมั่วชิงเฉิน ก็กลับสงบลงมา
ชุดเขียวบนตัวเขามีรอยขาดนับไม่ถ้วน เผยให้เห็นบาดแผลที่ตัดกันเต็มตัว มีบางแผลกระทั่งลึกหลายนิ้ว เนื้อหนังม้วนออกด้านนอกเหมือนปากที่แสยะออก และกลายเป็นสีแดงเข้มแล้ว ก็จะโทษนางหยางไม่ได้หรอกนะที่เห็นสามีเป็นเช่นนี้เพียงปราดหนึ่ง ก็หมดสติไปทันที
ทว่าที่ร้ายแรงที่สุดกลับเป็นขาขวาของเขา ตรงที่ที่ถูกหอยยักษ์หนีบสามารถเห็นถึงกระดูกแล้ว บนกระดูกมีรอยแตกหลายรอย ถ้าไม่มีอะไรผิดคาดละก็ขาข้างนี้คงใช้การไม่ได้แล้ว
ในตามั่วชิงเฉินฉายแววเลื่อมใสแวบหนึ่ง อาการบาดเจ็บร้ายแรงเช่นนี้กลับยังไม่ยอมแพ้ สู้กับปลาใหญ่หลายตัวอย่างยากลำบาก จิตใจนับว่าแน่วแน่มากแล้ว
นึกถึงตรงนี้นางหยิบโอสถย้อนอายุที่เหลือเพียงชั้นเลิศป้อนผู้ชายกินลงไป แล้วหยิบกล่องหยกประณีตสีเหลืองอ่อนใบหนึ่งออกมาอีก เปิดออกแล้วใช้ปลายนิ้วแตะยาเนื้อข้นสีเหลืองใส ทาลงบนบาดแผลบนขาขวาผู้ชาย
หญิงสาวชุดฟ้าเพียงแต่หมดสติไปเพราะตกใจกลัวจนกระทบจิตใจ ยามนี้ในที่สุดก็ค่อยๆ ฟื้นขึ้นมา เห็นมั่วชิงเฉินกำลังใส่ยาให้ผู้ชาย จึงรีบถลาเข้ามา ถามเสียงสั่นว่า “ท่านผู้อาวุโส สามีข้าเขา…เขายังมีชีวิตอยู่หรือไม่?”
พูดจบก็ถลาเข้าไปจับแขนเสื้อของผู้ชายไว้แน่น ท่าทางเหมือนจะเป็นลม
มั่วชิงเฉินพูดไม่ออกบอกไม่ถูกว่า “ย่อมต้องมีชีวิตอยู่แล้ว มิเช่นนั้นข้ายังจะใส่ยาเพื่ออันใด? นางหยาง ในเมื่อเจ้าไม่เป็นไรแล้ว บาดแผลที่เหลือเจ้าก็มาใส่ยาให้สามีเจ้าเถอะ”
หญิงสาวชุดฟ้าเห็นมั่วชิงเฉินยื่นกล่องหยกสีเหลืองอ่อนมาใบหนึ่ง ยาเนื้อข้นข้างในใสเป็นประกาย ดูก็รู้ว่าเป็นยามังกรเหลืองชั้นเลิศ จึงรีบรับมา แล้วโขกศีรษะให้มั่วชิงเฉินทีหนึ่งว่า “ขอบคุณท่านผู้อาวุโสประทานยาเจ้าค่ะ” พูดจบก็ไม่รอมั่วชิงเฉินตอบ เริ่มทายาให้ผู้ชายอย่างใส่ใจ
เห็นท่าทางหญิงสาวชุดฟ้าทายาให้ผู้ชายอย่างระมัดระวัง เบามือ ทันใดนั้นมั่วชิงเฉินก็เข้าใจแล้วว่าเหตุใดนางจึงร้อนรนเช่นนี้แล้ว ห่วงใยจึงร้อนรน คิดว่าพวกเขาสองสามีภรรยาคงเป็นคู่สามีภรรยาที่รักกันลึกซึ้งเป็นแน่
ยามังกรเหลืองกล่องนี้ของมั่วชิงเฉินก็เป็นสิ่งที่นางหลอมออกมายามว่าง เพราะเวลาส่วนใหญ่บำเพ็ญเพียรอยู่ในสำนัก โอกาสที่จะใช้ยานี้มีไม่มาก จึงโยนไว้ในถุงเก็บวัตถุที่เก็บติดตัว ไม่คิดว่าจึงอยู่รอดปลอดภัยมาได้ด้วยเหตุนี้
ยามังกรเหลืองที่นางหลอมเองกับมือดีกว่าที่ขายทั่วไปมาก บาดแผลบนตัวผู้ชายที่น่าสยดสยองพวกนั้นประกบเข้าด้วยกันด้วยความเร็วที่สามารถเห็นได้ด้วยตาเปล่าหลังจากทางยา แม้แต่บาดแผลที่ร้ายแรงที่สุดบนขา ก็ดูดีขึ้นมากแล้ว
หญิงสาวชุดฟ้าทายาบนบาดแผลทั่วตัวผู้ชาย เห็นยามังกรเหลืองเหลือเพียงเล็กน้อย จึงเอ่ยอย่างเจี๋ยมเจี้ยมว่า “ท่านผู้อาวุโส ต้องขอโทษด้วยจริงๆ ใช้ไปมากถึงเพียงนี้”
มั่วชิงเฉินโบกมือว่า “ไม่เป็นไร เจ้าก็ไม่ต้องกังวลเกินไป เขาเพียงแต่บาดเจ็บสาหัสภายนอก อาการบาดเจ็บภายในมั่นคงลงนานแล้ว ยามนี้เกรงว่าคงแค่อ่อนเพลีย ผ่านไปอีกไม่นานก็ฟื้นแล้ว”
หญิงสาวชุดฟ้าดูสภาพการณ์ตั้งแต่ตอนใส่ยาให้ผู้ชายแล้ว รู้ว่ามั่วชิงเฉินไม่ได้พูดปด ยามนี้กลับมาใจเย็นบ้างแล้ว จึงเอ่ยต่อมั่วชิงเฉินว่า “ครั้งนี้ดีที่ได้ท่านผู้อาวุโสช่วยเหลือจริงๆ บุญคุณใหญ่หลวงของท่านผู้อาวุโส พวกเราสามีภรรยาไม่มีวันลืมเลือน”
พูดพลางยื่นยามังกรเหลืองในมือเข้ามาว่า “ท่านผู้อาวุโส นี่คืนให้ท่าน ยามังกรเหลืองชั้นเลิศเช่นนี้พวกเราหาไม่ได้ ทว่าที่บ้านยังมีมุกจื่อหวาสงบจิตสองสามเม็ด หวังว่าท่านอาวุโสจะไม่รังเกียจ”
มั่วชิงเฉินไม่ได้ยื่นมือรับยามังกรเหลืองมา แต่เลิกคิ้วยิ้มว่า “นางหยาง เจ้าก็รู้เรื่องโอสถด้วยเช่นนั้นหรือ?”
หญิงสาวเดาความหมายของมั่วชิงเฉินไม่ถูก แต่กลับเอ่ยอย่างใจเย็นว่า “ข้าน้อยสามีภรรยาพึ่งการเก็บมุกเลี้ยงชีพ โดยเฉพาะสามี เพราะว่าต้องลงทะเลเป็นครั้งคราว ได้รับบาดเจ็บเป็นเรื่องปกติ โอสถอย่างอื่นซื้อไม่ไหว ทว่ายามังกรเหลืองกลับเป็นของที่จำเป็นต้องเตรียมไว้ เพียงแต่ยามังกรเหลืองที่เราซื้อ กลับเทียบไม่ติดกับกล่องนี้ของท่านผู้อาวุโส”
มั่วชิงเฉินเห็นท่าทางที่นางปวดใจยามที่พูดถึงสามีได้รับบาดเจ็บบ่อยครั้ง จึงอดทอดถอนใจไม่ได้ ต่อให้ผู้บำเพ็ญเพียรใจจดจ่อกับการบำเพ็ญเพียรมากกว่า ก็มักมีสามีภรรยาที่รักกันลึกซึ้งเช่นนี้ แต่กลับไม่รู้วัฒนธรรมประเพณีที่นี่แม้แต่น้อย จึงถามต่อว่า “เมื่อครู่เจ้าพูดถึงมุกจื่อหวาสงบจิตมันคือสิ่งใด?”
“มุกจื่อหวาสงบจิตเป็นไข่มุกที่มีเฉพาะที่ทะเลขนาบใจของเรา สีม่วงทั่วทั้งเม็ด มีพลังในการสงบจิตใจ” หญิงสาวชุดฟ้าอธิบาย
“สงบจิตใจ?” มั่วชิงเฉินตกใจ ในฐานะผู้บำเพ็ญเพียร นางย่อมรู้ถึงประโยชน์ในการนี้ ทันใดนั้นนึกถึงไข่มุกสีม่วงสองเม็ดที่ได้จากในหอยยักษ์ เมื่อเพ่งจิตก็ปรากฏขึ้นกลางฝ่ามือว่า “มุกจื่อหวาสงบจิตที่เจ้าพูดถึง ใช่สิ่งนี้หรือไม่?”
หญิงสาวเห็นแล้วใบหน้าปรากฏสีหน้าไม่อยากเชื่อ ร้องด้วยความตกใจว่า “นี่ นี่คือมุกจื่อหวาสงบจิตชั้นเยี่ยม ท่านผู้อาวุโส ท่านมีได้เช่นไร?”
พูดถึงตรงนี้พบว่าตนเสียกิริยา จึงมองมั่วชิงเฉินอย่างตุ้มๆ ต่อมๆ ปราดหนึ่ง
มั่วชิงเฉินยิ้มแผ่วเบาว่า “นี่ก็เพราะเพิ่งบารมีของพวกเจ้า เมื่อครู่ยามที่ข้าลงทะเลพบมันในหอยยักษ์ที่หนีบขาของสามีเจ้าตัวนั้น เพียงแต่ เหตุใดข้าสัมผัสไม่ได้ว่าไข่มุกนี้มีฤทธิ์ในการสงบจิตใจ?”
หญิงสาวชุดฟ้าได้ยินว่าพบในหอยที่หนีบสามีของนางไว้ กลับไม่ได้แสดงสีหน้าเสียดาย อธิบายว่า “มุกจื่อหวาสงบจิตนี้หากคิดให้สำแดงฤทธิ์ จำเป็นต้องปลุกคาถาลับ เพียงแต่คาถาลับนี้มีเพียงตระกูลหวังเกาะใจศักดิ์สิทธิ์ถึงใช้เป็น คนเก็บมุกเช่นพวกเรา ก็ขายมุกจื่อหวาสงบจิตที่เก็บได้ให้ตระกูลหวัง”
มั่วชิงเฉินขมวดคิ้วว่า “ตระกูลหวังเกาะใจศักดิ์สิทธิ์? นางหยาง รบกวนเจ้าเล่าเหตุการณ์โดยละเอียดของทางทะเลขนาบใจนี้สักหน่อยเถอะ ข้าไม่รู้เรื่องของที่นี่ไม่แต่น้อยจริงๆ”
หญิงสาวชุดฟ้านี่ถึงได้เล่าเรื่องของทะเลขนาบใจอย่างออกรสชาติ
ที่แท้ทะเลขนาบใจนี้ ไม่ใช่ดินแดนแห่งสิบทวีปภาคตะวันออกที่มั่วชิงเฉินคิดไว้ในตอนแรก
ถึงสุดเขตแดนตะวันออกของดินแดนเทียนหยวน ก็คือน่านน้ำตื้นผืนหนึ่ง ไปทางตะวันออกหมื่นลี้ของน่านน้ำตื้นมีหมู่เกาะแห่งหนึ่ง ข้ามหมู่เกาะนี้ไปทางตะวันออกอีกอย่างน้อยยังต้องอีกหลายแสนลี้ ถึงจะเป็นดินแดนแห่งสิบทวีปที่แท้จริง
ดังนั้นน่านน้ำที่อยู่ตรงกลางระหว่างดินแดนแห่งสิบทวีปและดินแดนเทียนหยวน ก็คือหมู่เกาะแห่งนี้ที่ชนพื้นเมืองที่อาศัยอยู่ที่นี่รุ่นต่อรุ่นเรียกกันว่าทะเลขนาบใจ
ในน่านน้ำที่อยู่ในบริเวณรัศมีหลายร้อยกิโลเมตรของหมู่เกาะ ถึงจะมีมุกจื่อหวาสงบจิตชนิดนี้ ดังนั้นผู้บำเพ็ญเพียรในดินแดนเทียนหยวนที่รู้เรื่องจึงมีไม่มาก
ในหมู่เกาะแถบนี้หมู่เกาะที่ใหญ่ที่สุดเรียกว่าเกาะใจศักดิ์สิทธิ์ ทั้งเกาะถูกตระกูลผู้บำเพ็ญเพียรตระกูลหวังกุมอำนาจไว้ ว่ากันว่าก็เพราะบรรพบุรุษของตระกูลหวังนี้พบประโยชน์ของมุกจื่อหวาสงบจิต หลังจากใช้คาถาลับประจำตระกูลปลุกขึ้นมาแล้ว กลายเป็นสมบัติล้ำค่าใช้สงบจิตใจที่ผู้บำเพ็ญเพียรใช้ทองพันชั่งก็มิอาจหาได้
ที่ยิ่งหายากกว่าก็คือ ไม่ใช่ว่ฤทธิ์การสงบจิตของไข่มุกนี้าจะแข็งแกร่งสักเพียงใด แต่กลับสามารถใช้ได้กับผู้บำเพ็ญเพียรตั้งแต่ระดับหลอมลมปราณถึงระดับก่อกำเนิด นี่ก็คือจุดที่ล้ำค่าหายากแล้ว โดยเฉพาะผู้บำเพ็ญเพียรระดับสูง บางทีจิตมารเข้าจู่โจม ชนะหรือพ่ายแพ้ห่างกันเพียงปลายก้อย
มั่วชิงเฉินจึงรู้สึกสนใจมุกจื่อหวาสงบจิตนี้และตระกูลหวังแห่งเกาะใจศักดิ์สิทธิ์นั่นขึ้นมาทันที ฟังคำพูดของหญิงสาวชุดฟ้าไปพลางในใจกลับมีความสงสัยสายหนึ่งแวบผ่าน ถามว่า “นางหยาง ตามที่เจ้าพูดมา คนของทะเลขนาบใจอาศัยอยู่ที่นี่มารุ่นแล้วรุ่นเล่า ผู้บำเพ็ญเพียรที่มาจากที่อื่นก็ไม่มาก ที่เจ้ารู้กลับไม่น้อย?”
หากบอกว่าตระกูลหวังที่มีอิทธิพลที่สุดที่นี่รู้เรื่องของดินแดนเทียนหยวนและดินแดนแห่งสิบทวีป กลับไม่ใช่เรื่องแปลก ที่นี่ผลผลิตไม่อุดมสมบูรณ์ ตระกูลผู้บำเพ็ญเพียรตระกูลหนึ่งคิดจะอยู่ที่นี่สืบสกุล อีกทั้งในมือกุมของหายากเช่นมุกจื่อหวาสงบจิตนี้ไว้อีก ต้องมีการไปมาหาสู่กับอิทธิพลบางพวกทางดินแดนเทียนหยวนนั่นเป็นแน่ เพียงแต่หญิงเก็บมุกระดับหลอมลมปราณขั้นสามกระจ้อยร่อยคนหนึ่งตรงหน้าก็กลับรู้ด้วย จะให้นางไม่คิดมากก็ไม่ได้แล้ว
ได้ยินสิ่งที่มั่วชิงเฉินถาม หญิงสาวชุดฟ้ามองสีหน้านางอย่างไม่ทิ้งร่องรอย แอบคิดว่าท่านผู้อาวุโสท่านนี้ดูลักษณะแล้วเป็นแค่สาวน้อย ความคิดกลับรอบคอบยิ่งนัก นางกัดริมฝีปาก สุดท้ายเอ่ยว่า ไม่กล้าปิดบังท่านผู้อาวุโส ข้าน้อยไม่ใช่คนพื้นเมืองที่เกิดและโตที่นี่”
“อะไรนะ?” มั่วชิงเฉินตกใจ นี่ก็ยิ่งประหลาดแล้ว ด้วยตบะของนาง เป็นไปไม่ได้ที่จะข้ามทะเลมาได้เลย
หญิงสาวชุดฟ้าเอ่ยอย่างลำบากใจว่า “ข้าน้อยเดิมเป็นชาวดินแดนเทียนหยวน หลายปีก่อน…ได้ตามผู้บำเพ็ญเพียรระดับสร้างรากฐานท่านหนึ่งมาถึงที่นี้…”
เห็นหญิงสาวชุดฟ้าสีหน้าแฝงแววลำบากใจ ดูเหมือนไม่ยอมพูดมาก มั่วชิงเฉินไม่ใช่คนทวงบุญคุณ จึงเอ่ยทันทีว่า “ที่แท้เป็นเช่นนี้นี่เอง นางหยาง ข้าเพิ่งมาถึงที่นี่ ไม่รู้เรื่องทางนี้แม้แต่น้อย ไม่ทราบว่าจะขอพักแรมที่บ้านเจ้าสักสองสามวันได้หรือไม่ แน่นอนหากไม่สะดวก ก็ไม่ต้องลำบากใจ…”
มั่วชิงเฉินยังพูดไม่จบก็ถูกหญิงสาวชุดฟ้าขัดขึ้นอย่างรีบร้อนแล้ว “ท่านผู้อาวุโสพูดอะไรเช่นนี้เจ้าคะ ท่านผู้อาวุโสมีบุญคุณช่วยชีวิตอันใหญ่หลวงต่อข้าสองสามีภรรยา สามารถมาพักแรมที่บ้านข้าได้ เป็นเรื่องขอยังขอไม่ได้ เพียงแต่ห้องหาบเรียบง่ายหยาบโลน เกรงว่าจะต้อนรับท่านอาวุโสได้ไม่ทั่วถึง”
มั่วชิงเฉินยิ้ม ที่นางยื่นการขอร้องนี้ ก็เพราะดูออกว่าหญิงสาวคนนี้นิสัยไม่เลว นับว่าเห็นแล้วยังถูกชะตา อีกอย่างอย่างไรเสียตนก็มีบุญคุณกับพวกเขา พักแรมที่บ้านนางก่อน สืบข่าวคราวให้แน่ชัดค่อยออกไป ย่อมดีกว่าการทำอะไรโดยไม่ไตร่ตรอง
“นางหยาง ไม่รู้ว่าสถานที่ที่พวกเจ้าอยู่พบเห็นคนแปลกหน้าแล้ว จะรู้สึกแปลกประหลาดหรือไม่?” มั่วชิงเฉินถาม
หญิงสาวชุดฟ้าว่า “ไม่เป็นเจ้าค่ะ ไม่นับหมู่เกาะที่ใหญ่ที่สุดเกาะใจศักดิ์สิทธิ์ ที่พวกเรานี่มีหมู่เกาะใหญ่น้อยหลายร้อยแห่ง หมู่เกาะส่วนใหญ่ล้วนมีคนอาศัยอยู่ คนธรรมดาพวกนั้นล้วนใช้ชีวิตอยู่บนเกาะเพียงเกาะเดียวทั้งชีวิต ทว่าผู้บำเพ็ญเพียรส่วนใหญ่ จะไปกลับระหว่างเกาะต่างๆ เพราะอย่างไรเสียผลผลิตของแต่ละเกาะนั้นต่างกัน เพียงแต่…”
“เพียงแต่อันใด?” มั่วชิงเฉินถาม
หญิงสาวชุดฟ้ารวบรวมความกล้าว่า “เพียงแต่อายุน้อยเช่นท่านผู้อาวุโสนี้กลับตบะสูงเพียงนี้ กลับพบได้น้อยนัก”
ได้ยินหญิงสาวชุดฟ้าพูดแล้ว มั่วชิงเฉินถึงรู้สึกโล่งใจ
คิดว่าคงเพราะปราณวิญญาณและผลผลิตของที่นี่มีจำกัด คนที่เดินทางอยู่ข้างนอก น้อยนักจะได้เห็นผู้บำเพ็ญเพียรระดับสร้างรากฐาน เมื่อเป็นเช่นนี้แล้ว ด้วยฐานะระดับสร้างรากฐานระยะกลางของนาง ขอเพียงเพิ่มความระมัดระวังละก็ อย่างน้อยก็น่าจะปลอดภัยไร้กังวลแล้ว
นึกถึงตรงนี้มั่วชิงเฉินสะบัดแขนเสื้อทีหนึ่ง เก็บงำกลิ่นอาย ก็กลายเป็นตบะระดับหลอมลมปราณขั้นเก้าแล้ว นางยิ้มหวานให้หญิงสาวชุดฟ้าว่า “ท่านซ้อหยาง”