พันธกานต์ปราณอัคคี - ตอนที่ 155 คุณชายหกตระกูลหวัง
หวังเสี่ยวลิ่วหน้าถอดสี ยกเท้าก็จะวิ่งออกไปข้างนอก กลับถูกมั่วชิงเฉินสะบัดแขนเสื้อเกิดลมอันไร้รูปกวาดกลับไป
เขาที่ล้มนั่งลงบนพื้น รีบโหวกเหวกโวยวายเหมือนหมูถูกเชือดทันทีว่า “ช่วยด้วย ช่วยด้วย!”
กลับเห็นมั่วชิงเฉินมองเขาอยู่อย่างเยือกเย็นไม่รีบร้อน รอเขาหุบปากถึงพูดอย่างใจเย็นว่า “ไม่สู้เจ้าออมแรงไว้บอกข้าดีกว่า ว่าเหตุใดเราจึงบังเอิญพบกันอีกแล้ว?”
“เจ้า…เจ้าอย่าได้ใจไป เถ้าแก่ของเราที่นี่ เป็นผู้บำเพ็ญเพียรระดับสร้างรากฐานเลยนะ!” หวังเสี่ยวลิ่วภายนอกดูเข้มแข็ง แต่ภายในใจขี้ขลาดตาขาวแล้วพูด เขาคิดไม่ตกจริงๆ ว่าหญิงสาวตรงหน้าเหตุใดถึงเอาชนะหวังเฉาที่อยู่ระดับหลอมลมปราณขั้นสิบสองได้อย่างง่ายดาย
“เถ้าแก่ของพวกเจ้าที่นี่?” มั่วชิงเฉินครุ่นคิดอยู่ ฟังความหมายในนั้นออก ทันใดนั้นยกมือขึ้นตียันต์สีชมพูออกแผ่นหนึ่ง
หวังเสี่ยวลิ่วตกใจกระโดดโหยงขึ้นมา เอามือกุมศีรษะหนีหัวซุกหัวซุน กลับได้ยินเสียง ‘ฟู่’ เสียงหนึ่ง ยันต์แผ่นนั้นแปะลงกลางหลังเขาพอดี
หวังเสี่ยวลิ่วร่างกายแข็งทื่อ หมุนตัวมาช้าๆ มองมั่วชิงเฉินอย่างกลัวหัวหด
มั่วชิงเฉินเม้มปากยิ้มทีหนึ่ง “เจ้าฟังให้ดีนะ นับแต่นี้ข้าถามอะไรเจ้าก็ตอบอะไร หากพูดปด ยันต์ถามใจบนหลังเจ้าจะไม่ยอมนะ!”
ยันต์สีชมพูแผ่นนั้นก็คือยันต์ถามใจ จัดเป็นยันต์สนับสนุน สามารถตัดสินว่าคนพูดปดหรือไม่ ทว่ายันต์ชนิดนี้ค่อนข้างน้อย ราคาไม่ธรรมดา ใช้ขึ้นมาก็มีข้อจำกัดมากมายอีก ผู้บำเพ็ญเพียรธรรมดาไม่มีทางซื้อ ยังเพราะครั้งนี้มั่วชิงเฉินรู้สึกว่าน่าสนใจ จึงซื้อไว้สองสามใบติดมือมาแล้วเก็บไว้
“ยันต์ถามใจ?” หวังเสี่ยวลิ่วสีหน้าจะร้องไห้แล้ว
มั่วชิงเฉินขี้เกียจพูดมากกับเขา จึงถามตรงไปตรงมาว่า “บอกมาเถอะ เหตุใดถึงหมายตาข้าไว้?”
เห็นหวังเสี่ยวลิ่วกลอกตาล่อกแล่ก มั่วชิงเฉินเตือนว่า “อย่าโทษว่าข้าไม่ได้เตือนเจ้า ขอเพียงเจ้าพูดปดแค่ประโยคเดียว ยันต์แผ่นนั้นก็จะระเบิดออก ถึงเวลา ก็อย่าโทษว่าข้าไม่เกรงใจแล้วนะ”
“ท่านย่า ท่านผู้ใหญ่ก็อย่าถือสาข้าน้อยเลยนะ ละเว้นข้าเถอะ ถ้าข้าพูดละก็ต้องตายแน่…” หวังเสี่ยวลิ่วโค้งคำนับติดๆ กัน พูดถึงข้างหลังถึงกับร้องไห้โฮขึ้นมา
มั่วชิงเฉินหัวเราะเย้ยว่า “หากเจ้าไม่พูด บัดนี้ก็ต้องตายแน่แล้ว…” พูดพลางในมือปรากฏกระบี่ออกมาเล่มหนึ่ง หมุนอยู่บนปลายนิ้วอย่างปราดเปรียว แสงเย็นแปลบปลาบ
มองดูสีหน้าไม่ต้องสงสัยของมั่วชิงเฉิน หวังเสี่ยวลิ่วทรุดลงไปทั้งตัว พึมพำว่า “ข้า…ข้าไม่ได้หมายตาเจ้าเป็นพิเศษ”
“พูดมาสั้นๆ อย่าคิดถ่วงเวลา ต่อให้กองหนุนที่เจ้ารอมาแล้ว หากไม่ให้ความร่วมมือละก็ ข้ารับรองจะเก็บเจ้าล่วงหน้าก้าวหนึ่งก่อน” มั่วชิงเฉินเอ่ยอย่างเย็นชา
หวังเสี่ยวลิ่วสีหน้าเต็มไปด้วยความหดหู่ แอบว่าข้าดูผิดไปจริงๆ เหตุใดถึงไปตอแยนางมารเช่นนี้ จึงเล่าเรื่องราวให้ฟังอย่างว่าง่ายรอบหนึ่งทันที
ที่แท้หวังเสี่ยวลิ่วนี้ ยังมีความเกี่ยวข้องกับตระกูลหวังแห่งเกาะใจศักดิ์สิทธิ์จริงๆ ผู้บำเพ็ญเพียรชายที่ถูกมั่วชิงเฉินเอาก้อนอิฐตบจนสลบชื่อหวังเฉา เป็นลูกหลานสายนอกของตระกูลหวัง ส่วนหวังเสี่ยวลิ่วเป็นสายนอกของสายนอกนี้อีกที
สำหรับตระกูลผู้บำเพ็ญเพียรเช่นนี้ สิ่งที่หายากที่สุดก็คือโอสถสร้างรากฐาน ตัวพวกเขาเองไม่มีวัตถุดิบที่ใช้หลอมโอสถสร้างรากฐาน ได้แต่ซื้อจากข้างนอกในราคาสูง และต่อให้อยู่ดินแดนเทียนหยวน โอสถสร้างรากฐานที่เกี่ยวข้องกับความพลังและรากฐานของสำนักหนึ่งก็หาได้ยากแม้มีพันตำลึง สำนักเล็กๆ นับไม่ถ้วนก็ได้เพียงพึ่งพาสี่สำนักแปดนิกายแบ่งมาได้บ้างเท่านั้น
หวังเฉาถึงระดับหลอมลมปราณขั้นสิบสอง แม้เป็นสายนอกตระกูลหวัง ทนมาหลายปีก็ไม่มีโอกาสได้โอสถสร้างรากฐาน จึงคิดอุบายไปทางอื่น
สายตรงตระกูลหวังมีคุณชายลำดับสี่คนหนึ่ง พรสวรรค์ไม่เลว อายุน้อยๆ ก็เข้าสู่ระดับสร้างรากฐาน จึงค่อนข้างได้รับความรักเอ็นดูจากรุ่นอาวุโส พูดได้ว่าเป็นบุคคลที่มีอิทธิพลของตระกูลหวัง
ทว่าเขากลับค่อนข้างเจ้าชู้ไก่แจ้ แม้ยังไม่แต่งภรรยา หญิงสาวประเภทอนุภรรยาหรูติ่งกลับมีมากมาย
พูดแล้วก็แปลก หญิงสาวที่มีรากวิญญาณที่ทะเลขนาบใจนี่มีน้อยนัก คนที่มีรากวิญญาณตบะยังสูงอีกก็ยิ่งน้อยแล้ว ที่หวังเฉาวางแผนไว้ก็คือสิ่งนี้ สั่งหวังเสี่ยวลิ่วยามว่างให้อยู่ที่ท่าเรือ ดูว่ามีผู้บำเพ็ญเพียรหญิงลำพังคนเดียวมาจากต่างถิ่นหรือไม่ หากมีที่รูปโฉมงดงามอายุน้อยตบะยังไม่เลว ก็จับขึ้นมามอบให้คุณชายหวังสี่ ไม่แน่เมื่อคุณชายหวังสี่ดีใจ ก็สามารถยื่นมือช่วยเกี่ยวกับโอสถสร้างรากฐานได้
มั่วชิงเฉินฟังจบแล้วหน้าบึ้ง ถามว่า “เมื่อเป็นเช่นนี้ คงมีผู้บำเพ็ญเพียรหญิงไม่น้อยถูกพวกเจ้าทำลายแล้วสินะ?”
สัมผัสได้ถึงความโกรธของมั่วชิงเฉิน หวังเสี่ยวลิ่วส่ายศีรษะจนเหมือนกลองป๋องแป๋ง “ไม่มี ไม่มี ที่เรานี่ผู้บำเพ็ญเพียรหญิงเดินทางตัวคนเดียวเดิมทีก็น้อยอยู่แล้ว พี่เฉาบอกเน้นคุณภาพไม่เน้นปริมาณ ผู้บำเพ็ญเพียรหญิงระดับหลอมลมปราณระยะปลายคุณชายหวังสี่ถึงจะเหลียวแล เห็นเป็นผู้บำเพ็ญเพียรหญิงก็จับส่งเดช จับมากแล้วอย่างไรเสียก็ต้องเกิดปัญหา ดังนั้นจึงรอมานานถึงเพียงนี้ ท่านเป็นคนแรก…”
มั่วชิงเฉินโมโหจนหัวเราะแล้วจริงๆ “พูดเช่นนี้ ข้ายังค่อนข้างโชคดีแล้วสิ?”
หวังเสี่ยวลิ่วหดศีรษะ ไม่พูดจา
มั่วชิงเฉินเห็นถามได้พอประมาณแล้ว ดีดนิ้วมือเบาๆ หนึ่งที ยันต์ถามใจระเบิดเองอย่างไร้เสียง จากนั้นสะบัดแขนเสื้อสลายเขตอาคมเก็บเสียงไป พูดเสียงกังวานว่า “สหายเต๋าหากรอพอแล้ว ก็ออกมาเถอะ”
ได้ยินเพียงเสียงหัวเราะกังวานเสียงหนึ่งลอยมา “หึๆๆ แม่นางมีฝีมือ”
จากนั้นชายหนุ่มมัดผมด้วยผ้าเขียว ใส่ชุดยาวสีเขียวอ่อนเดินเข้ามา นึกไม่ถึงว่าจะเป็นคนหนุ่มหน้าตาหมดจดคนหนึ่ง
“คุณชายหก ในที่สุดท่านก็มาแล้ว” หวังเสี่ยวลิ่วเห็นคนที่มาเหมือนเห็นดาวอารักษ์ก็ไม่ปาน ทั้งกลิ้งทั้งคลานถลาเข้าไป ยามมาถึงข้างเท้าชายหนุ่ม คุกเข่าบนพื้นว่า “คุณชายหก ท่านช่วยผู้น้อยด้วยเถอะ นางปีศาจคนนั้น นาง นางฆ่าพี่เฉาแล้ว ยังจะ…”
“หุบปาก! เจ้ายังเกี่ยงว่าพูดไม่มากพอหรือ?” ชายหนุ่มตะคอกเสียงเย็นเสียงหนึ่ง สะบัดแขนเสื้อโยนหวังเสี่ยวลิ่วไปอยู่ริมกำแพง จากนั้นคำนับมั่วชิงเฉินว่า “ทำให้แม่เห็นเรื่องตลกแล้ว”
มั่วชิงเฉินนั่งลงบนเก้าอี้กุหลาบแกะสลักมีพนักพิงตัวหนึ่งอย่างตามสบาย ประหนึ่งกลายเป็นเจ้าของในห้องนี้ก็ไม่ปาน แล้วพูดกับชายหนุ่มว่า “ไม่ถึงกับเห็นเรื่องตลกหรอก เห็นเลือดนี่สิเป็นเรื่องจริง ไม่ทราบว่าสหายเต๋ากะจะลงโทษข้าน้อยเช่นไร?”
คนหนุ่มเดินเข้ามา นั่งลงบนเก้าอี้อีกตัวหนึ่ง ยิ้มว่า “แม่นางกล่าวหนักไปแล้ว แม่นางเดินทางมาไกล ข้าน้อยไม่ได้ทำหน้าที่เจ้าบ้าน ยังปล่อยให้คนไม่มีตาล่วงเกินแม่นางอีก บาปกรรมจริงๆ ต่อให้ตายกี่ครั้งก็ไม่พอหรอก”
หวังเสี่ยวลิ่วที่อยู่ที่มุมกำแพงตายิ่งเบิกยิ่งโต เผยสีหน้าไม่อยากจะเชื่อออกมา
คนอื่นต่างรู้ว่าร้านขายของสารพัดที่เกาะสดับมุกนี้ตระกูลหวังเป็นผู้เปิด กลับไม่รู้ว่าเถ้าแก่ที่ปกติไม่ค่อยปรากฏตัวต่อหน้าผู้คนคือคุณชายอันดับหกทายาทสายตรงของตระกูลหวัง
ปกติเขาหัวไว อีกทั้งยังมีความสัมพันธ์ดีกับหวังเฉา ไม่เพียงรู้จักคนฐานะนี้ ยังรู้ว่าคุณชายหกผู้นี้เป็นผู้บำเพ็ญเพียรระดับสร้างรากฐาน ทว่าเหตุใดเขาถึงเกรงใจนางหนูน้อยระดับหลอมลมปราณขั้นเก้าเช่นนี้?
หรือว่า…
เป็นไปไม่ได้ เป็นไปไม่ได้เด็ดขาด!
ทว่าคำพูดที่คุณชายหกพูดต่อมากลับยืนยันการคาดเดาของเขา ได้ยินเพียงคุณชายหกถามอย่างชัดถ้อยชัดคำว่า “เพียงแต่ไม่รู้ว่า แม่นางอำพรางตบะมาถึงเกาะสดับมุก มีความคิดเช่นไร?”
มั่วชิงเฉินไม่ใช่คนกระมิดกระเมี้ยน เห็นคุณชายหกที่จู่ๆ โผล่ออกมาเดาตบะของนางออก ทันใดนั้นจึงไม่ปิดบังอีกต่อไป ปลอดปล่อยพลานุภาพของผู้บำเพ็ญเพียรระดับสร้างรากฐานออกมา
ทว่านางยังคงควบคุมตบะไว้ในระดับสร้างรากฐานระยะต้น แม้วิธีเก็บงำกลิ่นอายของนางไม่แยบยลนัก ทว่าปิดบังผู้บำเพ็ญเพียรระดับเดียวกันยังไม่เป็นปัญหา
สาเหตุไม่ใช่อื่นใด ด้วยรูปลักษณ์ของนาง ระดับสร้างรากฐานระยะกลางนั้นน่าตกใจเกินไปจริงๆ
นึกถึงเยี่ยเทียนหยวนอัจฉริยะที่ผู้คนจับตาคนนั้น เข้าสู่ระดับสร้างรากฐานระยะกลางด้วยวัยสามสิบปีก็มีชื่อเสียงเล็กน้อยในสี่สำนักแปดนิกายแล้ว ตนเข้าสู่ระดับสร้างรากฐานระยะกลางในวัยสามสิบสามปี หากลือออกไปก็ต้องก่อให้เกิดความโกลาหลเป็นแน่
มั่วชิงเฉินฟื้นฟูตบะระดับสร้างรากฐาน พลังอำนาจทั้งตัวย่อมไม่ใช่ระดับหลอมลมปราณจะเทียบได้ แม้รูปโฉมไม่เปลี่ยน กลับยิ่งเปล่งรัศมีสะดุดตา
คุณชายหกเหม่อลอยไปช่วงสั้นๆ กลับได้สติคืนมาอย่างเร็ว “หากดูไม่ผิดละก็ แม่นางน่าจะอายุยังน้อยมากกระมัง?”
มั่วชิงเฉินยิ้มโดยไม่ออกความเห็น กลับได้ยินคุณชายหกถามอีกว่า “แม่นางไม่ใช่ผู้บำเพ็ญเพียรของทะเลขนาบใจ?”
มั่วชิงเฉินถึงได้ทำสีหน้าจริงจัง จ้องตาของคุณชายหกถามว่า “เหตุใดถึงพูดเช่นนี้?”
คุณชายหกยิ้มว่า “ทะเลขนาบใจหากมีผู้บำเพ็ญเพียรหญิงระดับสร้างรากฐานเช่นแม่นางนี้ ตระกูลหวังของเราก็เชื้อเชิญมาเป็นแขกเหรื่อนานแล้ว ยิ่งกว่านั้น สำเนียงของแม่นางกับคนที่นี่ยังคงมีความแตกต่างกันอยู่”
พูดถึงตรงนี้กวาดสายตาผ่านผิวพรรณที่แค่เป่าก็ขาด[1]ของมั่วชิงเฉินปราดหนึ่งอย่างไร้ร่องรอย แอบคิดว่านอกจากพวกคนที่มีค่าที่เลี้ยงไว้ในตระกูลหวัง ผู้บำเพ็ญเพียรหญิงธรรมดา เป่าลมทะเลทุกวัน จะมีสักกี่คนที่มีผิวพรรณเช่นนี้ เพียงแต่จุดนี้ กลับไม่สะดวกพูดออกมาแล้ว
มั่วชิงเฉินไม่คิดว่าเปิดเผยตบะระดับสร้างรากฐาน จะเป็นการเปิดโปงฐานะที่ไม่ใช่คนท้องถิ่นของตนออกมาโดยตรง แอบคิดว่ายังคงประเมินอำนาจควบคุมของตระกูลหวังที่มีต่อทะเลขนาบใจต่ำไป คิดว่าพวกเขาคงรู้เรื่องของผู้บำเพ็ญเพียรระดับตั้งแต่สร้างรากฐานขึ้นไปในทั้งทะเลขนาบใจอย่างทะลุปรุโปร่งกระมัง หากมีคนหน้าแปลก ย่อมต้องมาจากต่างถิ่นแล้ว
“เจ้าพูดได้ไม่ผิด ข้าไม่ใช่คนที่นี่จริงๆ เดิมทีออกมาเพื่อฝึกตน ด้วยอุบัติเหตุครั้งหนึ่งจึงมาถึงทะเลขนาบใจ กำลังคิดอยู่ว่าจะออกไปได้เช่นไร” มั่วชิงเฉินพูดเปิดอกตรงๆ ในเมื่อถูกคนตระกูลหวังหมายตาไว้แล้ว ขืนปิดบังอีกก็ได้แต่เสียแรงเปล่าเท่านั้น
คุณชายหกเห็นมั่วชิงเฉินยอมรับอย่างเยือกเย็น แอบชื่นชมนางที่คิดได้ทะลุปรุโปร่ง จึงถามว่า “ไม่ทราบว่าแม่นางเป็นคนดินแดนเทียนหยวนหรือเป็นคนดินแดนแห่งสิบทวีป?”
“เป็นอันใดหรือ ต่างกันเช่นนั้นหรือ?” มั่วชิงเฉินเลิกคิ้วถามกลับว่า
คุณชายหกยิ้มว่า “แน่นอนต้องแตกต่างอยู่แล้ว หากเป็นคนดินแดนแห่งสิบทวีป นอกจากแม่นางจะถึงระดับก่อแก่นปราณ จึงจะมีความสามารถข้ามทะเลได้ หากเป็นคนดินแดนเทียนหยวนละก็…”
“เป็นเช่นใด?” มั่วชิงเฉินหนักใจขึ้น หรือว่าต้องติดอยู่ที่นี่จริงๆ เช่นนั้นผู้บำเพ็ญเพียรที่มาถึงก่อนหน้านี้จากไปได้เช่นไรกัน?”
คุณชายหกเหลือบมองมั่วชิงเฉินปราดหนึ่ง อมยิ้มว่า “เช่นนั้นกลับสามารถจากไปได้ เพียงแต่น่านน้ำที่ไปสู่ดินแดนเทียนหยวนมีสถานที่พิเศษผืนหนึ่ง ที่ไม่อาจใช้อุปกรณ์เวทเหินหาว ได้เพียงนั่งเรือข้ามทะเล ทว่าในน่านน้ำผืนนั้นดันมีอสูรทะเลที่ร้ายกาจมากชนิดหนึ่ง หากเป็นผู้บำเพ็ญเพียรระดับสร้างรากฐานละก็ เกรงว่าจะสู้ไม่ได้”
“ไม่ทราบว่าผู้บำเพ็ญเพียรแต่ก่อนต่างจ่ายค่าตอบแทนอันใดถึงกลับไปได้?” มั่วชิงเฉินถามนิ่งเรียบ
คุณชายหกชะงักทีหนึ่ง จากนั้นยิ้มว่า “อสูรทะเลนั่นยำเกรงกลิ่นของหญ้าทิพย์ชนิดหนึ่งมาก ตระกูลหวังเราเพาะปลูกหญ้าทิพย์ชนิดนั้นโดยเฉพาะ นำมันโม่เป็นผงใส่ไว้ในถุงหอม มอบให้ผู้บำเพ็ญเพียรที่จะข้ามทะเล เช่นนั้นก็ปลอดภัยขึ้นมากแล้ว”
ในโลกนี้ไม่มีอาหารกลางวันที่ได้เปล่าจริงๆ มั่วชิงเฉินถามอย่างสงบว่า “ไม่ทราบต้องทำเช่นไรจึงจะโชคดีได้รับถุงหอม?”
นางมัวแต่คิดว่าฝ่ายตรงข้ามต้องเสนอเงื่อนไข กลับลืมไปว่าระหว่างชายหญิงการมอบถุงหอมเดิมทีก็มีความหมายสองแง่สองง่ามอยู่แล้ว
คุณชายหกคนนั้นฟังแล้วกระดกมุมปากขึ้น เอ่ยอย่างจะยิ้มแต่ไม่ยิ้มว่า “แม่นางอยากได้ถุงหอม ข้าน้อยย่อมประเคนให้สองมืออยู่แล้ว”
——
[1] ผิวพรรณที่แค่เป่าก็ขาด หมายถึง ผิวพรรณที่ขาวเนียนละเอียด