พันธกานต์ปราณอัคคี - ตอนที่ 159 เรือบางเบาแล่นไปในทะเล
“ท่านแม่ ท่านแม่ นั่นคือดาวตกหรือเจ้าคะ?” เด็กผู้หญิงอายุเจ็ดแปดปีแหงนหน้าพลาง มองท้องฟ้านอกหน้าต่างอย่างเคลิบเคลิ้ม ชี้ลำแสงสีฟ้าแสนสวยที่แวบผ่านว่า
ผู้หญิงดูแล้วอายุยี่สิบนิดหน่อย คลุมเสื้อนอกสีชมพูฝีมือตัดเย็บประณีตตัวหนึ่งอย่างตามสบาย คอเสื้อแขนเสื้อตัดแต่งด้วยขนสีขาวดุจหิมะของกระต่ายหยก เพียงแต่สีหน้ากลับซีดเซียวนัก ราวกับร่างกายไม่สมบูรณ์
นางเดินไปถึงข้างกายเด็กผู้หญิง อุ้มเด็กผู้หญิงกลับขึ้นเตียง แล้วห่มผ้าห่มไหมให้นางอีกว่า “เยี่ยนเยี่ยน ดึกเช่นนี้แล้วเหตุใดเจ้ายังตื่นอีก ระวังเป็นหวัดนะ”
เด็กผู้หญิงยื่นแขนที่เหมือนท่อนรากบัว กระตุกผู้หญิงว่า “ท่านแม่ ท่านยังไม่ได้ตอบคำถามข้าเลยนะ เหตุใดบนฟ้าดวงดาวน้อยนัก กลับมีดาวตกที่งดงามเพียงนั้นวาดผ่านล่ะเจ้าคะ?”
ผู้หญิงมองดูปลายจมูกของเด็กผู้หญิงที่หนาวจนเป็นสีแดง บีบอย่างเอ็นดูว่า “นั่นมิใช่ดาวตกหรอกนะ หากแต่เป็นแสงที่เกิดจากผู้บำเพ็ญเพียรตั้งแต่ระดับสร้างรากฐานเหินเวหา”
เด็กผู้หญิงลุกขึ้นนั่งอย่างตื่นเต้น เอ่ยเสียงชะอ้อนว่า “ท่านแม่ เหมือนท่านลุงใหญ่ ท่านลุงรองแล้วก็ท่านอาห้า ท่านอาหกพวกเขาใช่หรือไม่เจ้าคะ?”
“อืม” ผู้หญิงรีบดึงผ้าห่มขึ้นให้เด็กผู้หญิง “เยี่ยนเยี่ยน เจ้ารีบนอนลง ยามนี้เป็นยามน้ำค้างลงหนักกลางดึกพอดี หากเป็นหวัดขึ้นมา เช่นนั้นแม่ก็ต้องเป็นห่วงอีกแล้ว”
เด็กผู้หญิงนอนลงอย่างว่าง่าย ตาทรงผลซิ่งคู่หนึ่งกลับยังคงเบิกกว้าง “ท่านแม่ ข้าไม่เป็นไรเจ้าค่ะ”
พูดจบเด็กผู้หญิงสีหน้าลังเลทีหนึ่ง ยังคงทนไม่ไหวถามว่า “ท่านแม่ ท่านพ่อก็บินได้เช่นนั้นใช่หรือไม่เจ้าคะ?”
ผู้หญิงสีหน้าแข็งทื่อ จากนั้นค่อยๆ คลายออก เอ่ยเสียงเบาว่า “ใช่ ท่านพ่อเจ้าเขาก็เป็นผู้บำเพ็ญเพียรระดับสร้างรากฐาน ย่อมทำได้เหมือนกัน”
เด็กผู้หญิงฟังแล้วก้มหน้าลง เอ่ยเสียงเบาว่า “ทว่าท่านพ่อไม่เคยพาเยี่ยนเยี่ยนบินบนฟ้ามาก่อนเลย เพราะ เพราะเยี่ยนเยี่ยนรากวิญญาณไม่ดีใช่หรือไม่?”
ผู้หญิงฟังแล้วก็รู้สึกเสียใจ บุตรสาวของนางเพียงแค่เจ็ดขวบ กลับก็เริ่มกลุ้มใจเพราะรากวิญญาณไม่ดีเสียแล้ว หากเป็นบ้านคนธรรมดา สี่รากวิญญาณแม้จะเป็นรากวิญญาณเทียม ทว่าบ้านหนึ่งมีเด็กที่มีรากวิญญาณก็นับว่าโชคดีมากแล้ว คนบ้านนี้ก็จะมีหน้ามีตาขึ้นมาในทั้งตระกูล ทว่าที่นี่ แม้ไม่ต้องกลัดกลุ้มเรื่องอาหารเครื่องนุ่งห่ม สี่รากวิญญาณกลับถูกกำหนดไว้ว่าต้องถูกคนดูแคลน
ผู้หญิงลูบศีรษะของเด็กผู้หญิงเบาๆ เอ่ยอย่างอ่อนโยนว่า “เยี่ยนเยี่ยน เจ้าลืมนิทานที่แม่เล่าให้เจ้าฟังแล้วหรือ?”
เด็กผู้หญิงคิดๆ แล้ว นึกขึ้นได้ว่า “ท่านแม่ ใช่เรื่องของท่านน้าสิบหกหรือไม่?”
ผู้หญิงยิ้มๆ “ใช่ น้าสิบหกของเจ้าและเยี่ยนเยี่ยนเหมือนกัน ก็มีสี่รากวิญญาณ นางอายุหกขวบเริ่มบำเพ็ญเพียร ถึงอายุแปดขวบก็อยู่ระดับหลอมลมปราณขั้นสามแล้ว หากว่า…หากว่า…บัดนี้นางต้องเป็นผู้บำเพ็ญเพียรระดับสร้างรากฐานแล้วเป็นแน่”
หากว่าอะไร สุดท้ายผู้หญิงก็ไม่ได้พูดออกมา
“ท่านแม่ ท่านน้าสิบหกร้ายกาจจังเลย” ดวงตาทรงผลซิ่งของเด็กผู้หญิงกลายเป็นดวงดาวทันที เอ่ยด้วยใบหน้าที่เต็มไปด้วยความนับถือ
ผู้หญิงแววตามืดมนลง กลับเอ่ยอย่างอดทนว่า “ใช่ ยังมีท่านน้าเจ็ดของเจ้า เขาก็มีห้ารากวิญญาณ ยามอายุสิบกว่าปีก็เป็นผู้บำเพ็ญเพียรระดับหลอมลมปราณระยะกลางแล้ว ดังนั้นเยี่ยนเยี่ยนไม่ต้องท้อใจ รากวิญญาณดีหรือร้ายสวรรค์เป็นผู้กำหนด พวกเราคนธรรมดาไม่อาจเปลี่ยนแปลงได้ ทว่าผู้บำเพ็ญเพียรสี่รากวิญญาณ ห้ารากวิญญาณ อาศัยความพยายามของตนกลายเป็นคนที่ร้ายกาจมากก็มีมากมายเช่นกัน
เด็กผู้หญิงดีใจขึ้นมา กระตุกแขนเสื้อของผู้หญิงว่า “ท่านแม่ ท่านน้าสิบหก ยังมีท่านน้าเจ็ด พวกเขาบัดนี้อยู่ที่ไหนกันหมดเจ้าคะ? เหตุใดเยี่ยนเยี่ยนไม่เคยพบพวกเขามาก่อนเลย?”
ผู้หญิงชะงักงัน จากนั้นว่า “พวกเขาน่ะ หลังจากค่อยๆ เติบใหญ่ก็ไปที่อื่นแล้ว เพื่อจะได้เปิดหูเปิดตาเห็นสิ่งวิเศษมากยิ่งขึ้น”
“ก็เหมือนกับท่านแม่หรือเจ้าคะ?” เด็กผู้หญิงถามเสียงหวาน
ผู้หญิงเม้มมุมปาก ขับจนสีริมฝีปากยิ่งซีด แล้วเอ่ยต่ำๆ ว่า “ใช่ ก็เหมือนกับแม่…”
“ท่านแม่ เยี่ยนเยี่ยนนอนไม่หลับ ท่านเล่าเรื่องของท่านน้าสิบหกให้ข้าฟังอีกได้หรือไม่ ต่อไปเยี่ยนเยี่ยนก็จะร้ายกาจเหมือนท่านน้าสิบหก เช่นนั้นท่านพ่อก็จะพาเยี่ยนเยี่ยนยังมีท่านแม่ขึ้นไปดูดาวบนฟ้าด้วยกันแล้ว” เสียงเด็กของเด็กผู้หญิงขอร้องอย่างอ่อนนุ่ม
สายตาของผู้หญิงมองผ่านนอกหน้าต่างไม่รู้มองไปทางไหน เอ่ยอย่างอ่อนโยนว่า “แต่ก่อนนะ มีเด็กๆ มากมายอายุเท่าๆ กับเยี่ยนเยี่ยนต่างรวมตัวกันบำเพ็ญเพียรในสถานที่ที่เรียกว่าโถงเฉาหยาง ในวันนั้น…”
“แม่นางมั่ว เจ้าดู สถานที่ข้างล่างที่บินผ่านมาก็คือเกาะใจศักดิ์สิทธิ์แล้ว” คุณชายหกที่อยู่ที่หัวเรือชี้ข้างล่างว่า
มั่วชิงเฉินมองลงข้างล่าง ยิ้มว่า “เกาะใจศักดิ์สิทธิ์ใหญ่ทีเดียวจริงๆ อย่างน้อยก็เกินสามเท่าของเกาะสดับมุกกระมัง?”
คุณชายหกพยักหน้าว่า “ใช่ เกาะใจศักดิ์สิทธิ์เป็นเกาะที่ใหญ่ที่สุดในทะเลขนาบใจแล้ว มีเพียงเกาะนี้ที่มีปราณวิญญาณไม่เลวสายหนึ่ง เช่นเกาะสดับมุกนั้น นับว่าเป็นหนึ่งในหลายเกาะใหญ่ในทะเลขนาบใจ เพียงแต่มีปราณวิญญาณขนาดเล็ก ส่วนพวกเกาะเล็กๆ เหล่านั้น ส่วนใหญ่เป็นปราณวิญญาณยิบย่อยที่กระจายออกไป คนที่อยู่ล้วนเป็นผู้บำเพ็ญเพียรไร้สำนักและคนธรรมดา”
มั่วชิงเฉินไม่แปลกใจในคำพูดของคุณชายหกเลยแม้แต่น้อย ในเมื่อตระกูลหวังเป็นตระกูลผู้บำเพ็ญเพียรที่มีอำนาจมากที่สุดในทะเลขนาบใจ ย่อมยึดครองปราณวิญญาณที่ดีที่สุดของที่นี่ นี่เดิมทีก็เป็นสิ่งที่ช่วยส่งเสริมซึ่งกันและกันอยู่แล้ว ยิ่งเป็นการแสดงให้เห็นถึงกฎเกณฑ์ปลาใหญ่กินปลาน้อยของทั่วโลกแห่งการบำเพ็ญเพียร
“คุณชายหก เหตุใดพวกเราต้องออกเดินทางในยามนี้ล่ะ?” มั่วชิงเฉินไม่สะดวกถามเรื่องของตระกูลหวัง จึงถามสิ่งที่สงสัยในใจของนางขึ้นมา
คุณชายหกชี้ไปทางเหนือว่า “น่านน้ำนั้นอยู่ทางเหนือของทะเลขนาบใจ มีที่แห่งหนึ่งหินโสโครกมากมาย มีอสูรปีศาจพิเศษชนิดหนึ่งพำนักอยู่ พวกมันจำศีลในเวลากลางคืน รอตะวันขึ้นขอบฟ้าก็จะตื่นมา หากเราไม่ข้ามตรงนั้นไปก่อนตะวันจะขึ้น ก็จะยุ่งยากแล้ว”
มั่วชิงเฉินเข้าใจทันที “ที่แท้เป็นเช่นนี้นี่เอง มิน่าใครๆ ก็บอกว่าการข้ามทะเลเป็นเรื่องที่อันตรายมาก หากข้าน้อยออกทะเลโดยลำพัง เกรงว่าคงต้องพบภยันตรายนับไม่ถ้วนนะ”
คุณชายหกฟังแล้วก็ยิ้ม เขาเติบโตที่นี่ตั้งแต่เด็ก สัมผัสภยันตรายในทะเลได้ลึกซึ้งกว่ามั่วชิงเฉิน อย่าว่าแต่คนที่เพิ่งมาครั้งแรกเช่นนางเลย แม้แต่เขา ก็ไม่กล้าพูดเด็ดขาดว่าเข้าใจน่านน้ำผืนใดได้อย่างถ่องแท้
ทั้งสองคนต่างเป็นคนมีเหตุผล อีกทั้งก่อนหน้านี้ได้ทำการศึกษาการเดินทางครั้งนี้แล้ว ยามนี้ย่อมไม่จำเป็นต้องถกกันถึงภยันตรายในทะเลอย่างไม่หยุดหย่อนจะทำให้เสียกำลังใจ คุณชายหกจึงหันเหหัวข้อว่า “สถานที่ที่แม่นางมั่วมา ต่างกับที่พวกเรานี่อย่างมากใช่หรือไม่?”
“หืม?” ไม่รู้ว่าใช่เพราะทั้งสองคนนั่งเรือลำเดียวกันเหินหาวอยู่ในท้องฟ้ายามค่ำคืนที่เงียบสงัดหรือไม่ มั่วชิงเฉินได้วางจิตใจที่ระแวดระวังลงบ้างต่อหน้าชายหนุ่มตรงหน้า น้ำเสียงก็ผ่านคลายขึ้น
คุณชายหกดูเหมือนรู้สึกได้ถึงการเปลี่ยนแปลงของมั่วชิงเฉิน น้ำเสียงก็ลดความเป็นทางการลงกว่าก่อนนี้เช่นกัน “หญิงสาวทางนี้ของเรายามที่พูดถึงตนเอง ต่างพูดว่าบ่าว ทว่าแม่นางกลับเรียกว่าข้าน้อยเหมือนผู้ชาย คิดว่าสถานที่ที่แม่นางอยู่ สถานะของหญิงสาวคงไม่ด้อยกว่าผู้ชายกระมัง?”
มั่วชิงเฉินพยักหน้าแผ่วเบาว่า “หากพูดว่าสถานะเทียบเท่าผู้ชาย เช่นนั้นย่อมเป็นไปไม่ได้ เพียงแต่ผู้บำเพ็ญเพียรทางนั้นของเรา โดยเฉพาะหลังจากระดับสร้างรากฐานแล้ว แนวคิดเรื่องชายหญิงเทียบกับทางนี้แล้วต้องจางลงกว่ามาก หากไม่มีความสัมพันธ์ในสำนักเดียวกันหรือความรู้สึกระหว่างชายหญิง ล้วนเรียกกันว่าสหายเต๋า”
คุณชายหกเหงื่อตกว่า “โชคดีที่แม่นางมั่วใจกว้าง หากเปลี่ยนเป็นคนอื่น ไม่แน่ก็อาจเห็นข้าน้อยเป็นคนหยิบหย่งอวดดีแล้ว”
มั่วชิงเฉินหัวเราะ “คุณชายหกกล่าวหนักไปแล้ว เข้าเมืองตาหลิ่วต้องหลิ่วตาตามก็เป็นเหตุผลที่ผู้บำเพ็ญเพียรควรเข้าใจ”
สองคนนั่งอยู่บนเรือบินสนทนากันตามอำเภอใจ ได้มาถึงบนทะเลแล้ว
ถึงบนทะเล มั่วชิงเฉินรู้สึกได้อย่างชัดเจนว่าอบอุ่นขึ้นกว่าก่อนหน้านี้เล็กน้อย เพียงแต่มองไป ทะเลสุดลูกหูลูกตาดูมืดและลึกในยามกลางคืน แผ่นน้ำแข็งเป็นแผ่นๆ ลอยอยู่ข้างบนอย่างตามอำเภอใจ ดูแล้วยิ่งเงียบเหงาเย็นชา
แสงดาวที่บางเบาสะท้อนอยู่ในนั้น สาดแสงตัดกันกับแสงสีขาวที่สะท้อนจากก้อนน้ำแข็ง ทำให้ผิวน้ำดูแล้วเหมือนทางช้างเผือกที่แห้งแล้งมานับหมื่นปี แม้เงียบสงบไร้คลื่นกลับทำให้คนมองแล้วเกิดความกลัว ราวกับภายใต้ความสงบนั้นแฝงไว้ด้วยคลื่นยักษ์ถาโถม บอกไม่ถูกว่ายามใดก็จะอ้าปากกว้างกลืนกินคนที่หมายตาไว้ลงไปในทะเล ให้ไปอยู่เป็นเพื่อนกับความเงียบสงบนี้
มั่วชิงเฉินนั่งตัวตรง แอบระแวดระวังขึ้นมา
คุณชายหกที่มองอยู่แอบพยักหน้า กำชับว่า “แม่นางมั่ว เริ่มจากบัดนี้ข้าก็จะลดเรือบินให้ต่ำลงแล้ว ผิวทะเลนี้ดูเงียบสงบ กลับแอบซ่อนความกระหายสังหาร เจ้าต้องระวังตัว”
สถานที่ที่ปีศาจปลาเกี่ยววิญญาณอยู่ซับซ้อนหายากยิ่งนัก บินอยู่กลางอากาศนั้นไม่อาจหาเจอได้ ดังนั้นเมื่อถึงบนทะเลแล้วจึงจำต้องลดความสูงของอาวุธเวทเหินหาวให้ต่ำลง แนบไปกับผิวทะเลค้นหาพิกัด จะได้ไม่บินผิดทาง
มั่วชิงเฉินพยักหน้าไม่ได้พูดสิ่งใด เพียงแต่ตั้งสมาธิจ้องผิวทะเลไว้
ต่อหน้าอันตรายที่มิอาจรู้ ต่อให้เตรียมใจไว้แล้วแท้ๆ ทว่ายามที่สนทนากันยังคงมีสิทธิ์จะเสียสมาธิเพราะรายละเอียดที่คุยกัน และบางที การเสียสมาธิเพียงครั้งเดียวก็เพียงพอที่จะเอาชีวิตแล้ว ความผิดพลาดเช่นนี้ย่อมไม่เกิดกับนาง
คุณชายหกลืมตาโตเล็กน้อย ก่อนหน้านี้เขานึกมาตลอด หญิงสาวต่อให้บำเพ็ญเพียรแล้ว มีพลังที่คนธรรมดาไม่มีแล้ว ทว่ายังคงมีข้อบกพร่องนับไม่ถ้วน ทำให้พวกนางตกเป็นเบี้ยล่างเมื่อเผชิญหน้ากับผู้บำเพ็ญเพียรระดับเดียวกันหรือสูงกว่า
แน่นอน ข้อบกพร่องพวกนั้นหากมองในฐานะหญิงสาวธรรมดา ก็ไม่นับว่าอะไร เขานึกมาตลอดว่าการที่ผู้บำเพ็ญเพียรหญิงเป็นเช่นนั้นเป็นเรื่องที่ธรรมดาจนไม่รู้จะธรรมดาอย่างไรแล้ว ที่แท้ผู้บำเพ็ญเพียรหญิงก็กลับสามารถสู้รบเคียงบ่าเคียงไหล่กับผู้บำเพ็ญเพียรชายได้หรือนี่
ในทันใดนั้น จึงเกิดใฝ่ฝันถึงสถานที่ที่มั่วชิงเฉินมา ไม่แน่ที่นั่น ถึงจะเป็นสถานที่บำเพ็ญเพียรที่ยิ่งบริสุทธิ์กระมัง? หากมีโอกาส ต้องไปดูสักครั้งให้ได้
เรือบินค่อยๆ ร่อนลง จนกระทั่งยามที่ห่างจากผิวทะเลไม่เกินสามจั้งถึงหยุดลดระดับ แล้วบินต่อไปข้างหน้า
มั่วชิงเฉินสามารถได้กลิ่นอายเค็มคาวของน้ำทะเลแล้ว มองดูในระยะใกล้ ทะเลสีเขียวคล้ำทั้งผืน ก้อนน้ำแข็งที่ลอยอยู่เปรียบดั่งบัวหิมะกระจ่างใส การตัดกันระหว่างดำและขาว ก่อให้เกิดความงามที่ประหลาด
บินแนบผิวน้ำได้ระยะหนึ่ง ทันใดนั้นคุณชายหกยื่นมือชี้ไป “แม่นางมั่วเจ้าดู ที่นั่นก็คือแหล่งหินโสโครกที่ข้ากล่าวไว้ ในนั้นมีอสูรทะเลชนิดหนึ่งอยู่รวมกันเป็นฝูง แม้ระดับไม่สูง แต่กลับรับมือได้ยากนักเพราะมีจำนวนมาก ทว่าเจ้าไม่ต้องเป็นห่วง ขอเพียงพระอาทิตย์ยังไม่ขึ้น พวกมันก็จะไม่ตื่นมา”
มั่วชิงเฉินมองออกไปไกลพลางพยักหน้า ยามนี้ห่างจากพระอาทิตย์ขึ้นยังมีอีกหนึ่งชั่วยาม ด้วยความเร็วของพวกเขา ไม่ว่าอย่างไรก็บินผ่านไปได้
เพียงแต่ต่อให้นางสายตาดีเยี่ยม กลับมองไม่เห็นเงาของหินโสโครก คิดว่าคงเพราะถูกน้ำทะเลท่วมหายไปแล้ว หากเป็นผู้บำเพ็ญเพียรที่ไม่คุ้นเคย ต้องไม่รู้แน่นอนว่าตรงนั้นมีแหล่งหินโสโครกแหล่งใหญ่อยู่
กลับในยามนี้เอง จู่ๆ ก็ได้ยินคุณชายหกตะโกนว่า “แย่แล้ว เจออสูรแปดขาซะแล้ว แม่นางมั่วระวัง อสูรแปดขาเป็นอสูรปีศาจชั้นสาม!”
มั่วชิงเฉินได้กลิ่นประหลาดระลอกหนึ่งแล้ว เพิ่งสิ้นเสียงคุณชายหก ก็เห็นผิวทะเลที่สงบระเบิดขึ้นในบัดดล น้ำและลิ่มน้ำแข็งพุ่งขึ้นมานับไม่ถ้วน ในนั้นมีเงาดำมหึมาเงาหนึ่งปรากฏขึ้น แยกเขี้ยวยิงฟันสะบัดขายักษ์ทั้งแปด