พันธกานต์ปราณอัคคี - ตอนที่ 162 ต่างคนต่างมีความคิด
มั่วชิงเฉินรีบเร่งกลับไป ส่งเสียงทางจิตให้คุณชายหกว่า “มีคนมาแล้ว” พูดจบรีบเก็บงำกลิ่นอายของตน
คุณชายหกชะงัก จิตตระหนักของเขาสัมผัสไม่ได้ว่ามีคนเข้ามาใกล้ เพียงแต่การแสดงออกของมั่วชิงเฉินเสมอมาทำให้เขาเลือกที่จะเชื่อ จึงรีบเก็บงำกลิ่นอายขึ้นมา
เป็นจริงดังคาด ผ่านไปอีกชั่วครู่ คุณชายหกก็รู้สึกได้ถึงคลื่นพลังวิญญาณเข้าใกล้มาเรื่อยๆ จึงอดมองมั่วชิงเฉินอย่างล้ำลึกปราดหนึ่งไม่ได้
แม้การแสดงออกของนางจะทำให้เขาตะลึงเสมอมา ทว่าเขาคิดว่าผู้บำเพ็ญเพียรจากที่ต่างกันลักษณะการสู้กันด้วยคาถาต่างกัน พลังที่นางแสดงออกมามีส่วนหนึ่งต้องยกความดีความชอบให้วิชายุทธ์และอาวุธเวทของนางที่มีประสิทธิภาพในการพิชิตอสูรปีศาจในทะเลขนาบใจ
ทว่าบัดนี้ถึงตกตะลึงว่า ต่างอยู่ระดับสร้างรากฐานระยะต้นเช่นกัน จิตตระหนักของแม่นางมั่วผู้นี้เหนือกว่าตนเองมากอย่างเห็นได้ชัด และจิตตระหนัก กลับเป็นสิ่งที่ไม่มีสิ่งใดปลอมปน จึงอดมองมั่วชิงเฉินสูงขึ้นขั้นหนึ่งไม่ได้
ที่จริงจิตตระหนักของมั่วชิงเฉินในยามนี้ก็ไม่ถือว่าโดดเด่นกว่าผู้อื่นเป็นพิเศษ สมัยที่อยู่ระดับหลอมลมปราณนางสามารถสัมผัสได้อย่างชัดเจนว่าจิตตระหนักของตนเหนือกว่าผู้บำเพ็ญเพียรระดับเดียวกัน กระทั่งผู้บำเพ็ญเพียรที่สูงกว่านางสองสามระดับชั้นจิตตระหนักยังแข็งแกร่งสู้นางไม่ได้
ทว่าหลังจากถึงระดับสร้างรากฐานแล้ว นางพบว่าความได้เปรียบในด้านจิตตระหนักค่อยๆ น้อยลงแล้ว ด้วยตบะระดับสร้างรากฐานระยะกลางของนาง จิตตระหนักสูสีกับผู้บำเพ็ญเพียรระดับสร้างรากฐานระยะปลายธรรมดาส่วนใหญ่ หากเป็นผู้บำเพ็ญเพียรระดับเดียวกันที่บำเพ็ญคาถาลับเพิ่มจิตตระหนักโดยเฉพาะมาก่อนหรือผู้บำเพ็ญเพียรระยะปลายที่พลังแข็งแกร่ง นางก็เทียบไม่ติดแล้ว
ผ่านไปอีกครู่หนึ่ง ก็เห็นผู้บำเพ็ญเพียรสองคนที่ค่อนข้างทุลักทุเลร่อนลงบนเกาะ
คนหนึ่งในนั้นใส่เสื้อยาวสีเหลืองสว่าง สีสันสดใสเห่อเหิมเช่นนี้ใส่อยู่บนตัวผู้ชายกลับดันไม่ให้คนรู้สึกว่าขัดหูขัดตา กลับขับให้ใบหน้าเขาเป็นดังหยก มีราศีหล่อเหลา
ชายอีกคนหนึ่งใส่เสื้อยาวสีฟ้า รูปลักษณ์อยู่ในหมู่ผู้บำเพ็ญเพียรถึงว่าธรรมดามาก ยืนอยู่ข้างชายเสื้อยาวสีเหลืองสว่างยิ่งทำให้ดูด้อยลงมากมาย มีเพียงดวงตาที่ดูแล้วคล่องแคล่วยิ่งนัก คล่องแคล่วจนเกินพอดี
มั่วชิงเฉินรู้สึกได้อย่างชัดเจนว่าคุณชายหกข้างๆ ร่างกายแข็งทื่อ จึงอดเหลือบมองเขาปราดหนึ่งไม่ได้ แล้วก็เห็นสีหน้าเขาผิดปกติจริงๆ
หรือว่า พวกเขารู้จักกัน? มั่วชิงเฉินแอบคิดในใจ
“เกือบไปแล้ว อีกนิดเดียวก็จะแย่แล้ว!” ชายเสื้อฟ้าเมื่อร่อนลงบนเกาะก็สำรวจรอบๆ ไปพลาง เอ่ยอย่างยังไม่หายกลัวไปพลาง
ชายเสื้อสีเหลืองสว่างพูดอย่างหมดความอดทนว่า “อย่าพูดมาก รีบสำรวจสถานการณ์ที่นี่เร็ว”
“รู้แล้วน่ะ พี่สี่” ชายเสื้อฟ้าโอนอ่อนผ่อนตามว่า
ต่อจากนั้นมั่วชิงเฉินก็รู้สึกว่าทั้งสองคนกวาดจิตตระหนักมาทางนี้
จิตตระหนักสายหนึ่งในนั้นกวาดผ่านที่ทั้งสองคนอยู่อย่างรีบร้อน แล้วกวาดไปยังที่อื่นอีก
จิตตระหนักอีกสายหนึ่งกวาดผ่านที่มั่วชิงเฉินนี่ ไม่พบสิ่งผิดปกติ จึงกวาดไปทางคุณชายหกนั่น
มั่วชิงเฉินอดลุ้นจนเหงื่อตกไม่ได้ ผู้บำเพ็ญเพียรเสื้อเหลืองนั่นเป็นผู้บำเพ็ญเพียรระดับสร้างรากฐานระยะกลาง ด้วยตบะระดับสร้างรากฐานระยะต้นของคุณชายหกคิดจะหลบการสืบค้นของจิตตระหนักจากคนผู้นั้นเกรงว่าจะไม่ง่าย
เป็นไปตามคาด มั่วชิงเฉินพบว่ายามที่จิตตระหนักกวาดผ่านที่คุณชายหกนั้นแล้วชะงักทีหนึ่ง แอบร้องว่าแย่แล้ว
คุณชายหกก็หน้าถอดสีเช่นกัน แต่กลับไม่ขยับเขยื้อนเพราะยังคงหวังว่าอาจจะโชคดี
สีหน้าของผู้บำเพ็ญเพียรเสื้อเหลืองชะงักอย่างชัดเจน เห็นได้ชัดว่าการที่เขาร่อนลงบนเกาะแล้วใช้จิตตระหนักสืบค้นเป็นการกระทำด้วยความเคยชิน กลับไม่คิดว่าเกาะเล็กๆ รกร้างเช่นนี้ จะมีคนอยู่จริงๆ
จิตตระหนักสายนั้นจับจ้องอยู่ที่ที่คุณชายหกอยู่ไม่ยอมเคลื่อนไหว ลองแล้วลองอีก ในที่สุดผู้บำเพ็ญเพียรชุดเหลืองออกเสียงว่า “ออกมาเถอะ!”
“พี่สี่ หรือว่ามีคนอยู่จริงๆ?” ผู้บำเพ็ญเพียรเสื้อฟ้าเอ่ยอย่างตกใจ จากนั้นกวาดจิตตระหนักไปมา กลับไม่พบสิ่งผิดปกติใดๆ
คุณชายหกหน้าซีดเล็กน้อย แล้วมองมั่วชิงเฉินปราดหนึ่ง
“ไม่รู้ว่าเป็นพี่น้องคนไหนอยู่นี่ ในเมื่อมีวาสนาได้พบกันที่นี่ เหตุใดยังหลบๆ ซ่อนๆ หรือว่าจะให้พี่เชิญเจ้าออกมา?” ชายชุดเหลือพูดอย่างชัดถ้อยชัดคำ
เขาไม่ใช่คนโง่ คนที่สามารถปรากฏตัวที่นี่ได้ในยามนี้ นอกจากลูกหลานของตระกูลหวังแล้วจะเป็นคนอื่นไปไม่ได้
ตระกูลหวังเหมือนกับตระกูลบำเพ็ญเพียรส่วนใหญ่ ลูกหลานที่มีรากวิญญาณถึงจะได้รับการจัดอันดับ และเมื่อเข้าสู่ระดับสร้างรากฐานแล้วก็จะมีการจัดเรียงอันดับใหม่ จากนั้นถึงอนุญาตให้ใช้คำเรียกให้เกียรติเช่นคุณชาย
ผู้บำเพ็ญเพียรเสื้อเหลืองผู้นี้ก็คือคุณชายสี่แห่งตระกูลหวัง ผู้บำเพ็ญเพียรที่เข้าร่วมการชิงโอสถครั้งนี้มีสิบคน ส่วนคุณชายสามคนก่อนหน้าเนื่องด้วยสาเหตุต่างๆ กันไม่ได้เข้าร่วม เขาจึงเป็นคนที่อายุมากที่สุดในสิบคนนี้
คุณชายหกรู้ว่าหลบไม่พ้น จึงบอกเป็นนัยให้มั่วชิงเฉินซ่อนตัวให้ดี ส่วนตนเดินออกมา กอบหมัดว่า “พี่สี่ น้องสิบเจ็ด”
คุณชายสี่ชะงัก จากนั้นเอ่ยอย่างเหมือนจะยิ้มแต่ไม่ยิ้มว่า “น้องหก คิดไม่ถึงว่าจะเป็นเจ้า”
คุณชายสิบเจ็ดหันสายตามา ยิ้มว่า “พี่หก พวกเขาต่างบอกว่าครั้งนี้เจ้าสละสิทธิ์แล้ว วุ่นวายตั้งครึ่งค่อนวันที่แท้เป็นการตบตาคนอื่นหรือนี่ เอ๊ะ ด้วยตบะของท่านไม่คิดว่าจะมาถึงที่นี่โดยลำพังได้ หรือว่าจะได้สมบัติวิเศษอะไรมาน่ะ?”
คุณชายสิบเจ็ดพูดออกมาปุ๊บ แววตาของคุณชายสี่ก็เป็นประกายเล็กน้อย
คำพูดนี่ช่างบาดใจจริงๆ! คุณชายหกเส้นเอ็นสีเขียวบนมือปูดขึ้น ถลึงตาใส่คุณชายสิบเจ็ดปราดหนึ่ง
ในตระกูลเขาและคุณชายสี่ไม่ถูกกันเสมอมา คุณชายสิบเจ็ดในฐานะผู้ติดตามคุณชายสี่ ย่อมแทบอยากจะเหยียบตนสักทีตลอดเวลา เพียงแต่ยามนี้การที่เขาพูดเช่นนี้ คือคิดจะฆ่าคนแย่งสมบัติหรืออย่างไร?
ในยามนี้เองกลับได้ยินเสียงใสไพเราะเสียงหนึ่งว่า “ใครว่าคุณชายหกตัวลำพังคนเดียว?” นึกไม่ถึงว่ามั่วชิงเฉินจะปรากฏตัวเดินออกมา
“แม่นางมั่ว…” คุณชายหกรีบเอ่ย
มั่วชิงเฉินยิ้มให้เขาทีหนึ่ง ส่งเสียงทางจิตว่า “หากพวกเจ้าตีกันขึ้นมาจริงๆ ข้าจะไม่ดูดำดูดีก็ไม่ได้อีก เช่นนั้นยังไม่สู้ออกมาดีกว่า เมื่อพวกเขาเกิดความยำเกรงขึ้นมาไม่แน่ก็ไม่ได้ออกแรงแล้ว”
การปรากฏตัวอย่างกะทันหันของมั่วชิงเฉินทำให้สองคนตกใจยกใหญ่ สายตาคุณชายสิบเจ็ดกวาดไปกวาดมาบนตัวมั่วชิงเฉิน ปากก็ว่า “จิ๊ๆ พี่หก ดูไม่ออกจริงๆ ว่าเจ้ายังมีฝีมือในด้านนี้หรือนี่ มุ่งหน้าไปทะเลเลื่อนไหลยังมีคนงามคอยเคียงข้างอีก”
สถานที่ที่ปีศาจปลาเกี่ยววิญญาณอยู่ถูกตระกูลหวังเรียกเป็นการภายในว่าทะเลเลื่อนไหล
“น้องสิบเจ็ด เจ้าพูดน้อยหน่อย” คุณชายสี่พูดจบสายตาก็ตกไปอยู่บนหน้ามั่วชิงเฉิน สายตาดูเหมือนมีพลังทะลุทะลวงก็ไม่ปานสามารถมองไปถึงในใจคนได้
มั่วชิงเฉินก็ไม่กระบิดกระบวน ยืนอยู่ตรงนั้นอย่างใจเย็นเป็นปกติปล่อยให้เขาพิจารณา ผู้บำเพ็ญเพียรที่สามารถบำเพ็ญเพียรถึงระดับสร้างรากฐาน จะมีสักกี่คนกันที่เป็นคนบุ่มบ่ามจริงๆ
แล้วก็เห็นสีหน้าคุณชายสี่ยิ่งมองยิ่งเคร่งขรึม ถึงสุดท้ายเก็บสายตากลับไปแล้วคารวะมั่วชิงเฉินด้วยมารยาทของรุ่นเดียวกัน “ขอบังอาจถามนามแม่นาง?”
มั่วชิงเฉินหัวเราะ นางรู้อยู่แล้วว่าคนที่นี่มองผู้บำเพ็ญเพียรหญิงคนหนึ่ง ฐานะต้องเป็นผู้หญิงก่อน แล้วค่อยเป็นผู้บำเพ็ญเพียร จึงตอบทันทีว่า “พวกเจ้าผู้บำเพ็ญเพียรที่นี่ ชอบถามชื่อผู้อื่นตั้งแต่ในการพบหน้ากันครั้งแรกเช่นนั้นหรือ?”
โลกแห่งการบำเพ็ญเพียรน้ำใจบางเบา ปกติต้องคบหากันอย่างเป็นทางการแล้ว ถึงบอกชื่อเต็มกัน หากเป็นการคบกันธรรมดา ก็จะบอกกันแค่สมญานาม ส่วนเช่นการพบกันโดยบังเอิญเช่นนี้ การถามชื่อเป็นเรื่องที่บุ่มบ่ามมาก
คุณชายสี่ชะงัก แต่สีหน้ากลับคืนสู่ปกติอย่างรวดเร็วแล้วหัวเราะว่า “ข้าน้อยเสียมารยาทแล้ว ข้าคือหวังสี่ ไม่ทราบแม่นางให้ขนานนามว่าเช่นไร?”
มั่วชิงเฉินกระตุกมุมปาก แล้วส่งเสียงทางจิตให้คุณชายหกว่า “พวกเจ้าคนตระกูลหวังล้วนเรียกตนเองเช่นนี้หรือ?”
คุณชายหกส่งเสียงทางจิตอย่างไม่เข้าใจว่า “ใช่น่ะสิ มันเป็นเช่นไรหรือ?”
“เช่นนั้นคุณชายแปด[1]ล่ะ?” มั่วชิงเฉินส่งเสียงทางจิตต่อ
คุณชายหกชะงักงัน ทนไม่ไหวต้องหัวเราะขึ้นมา
คุณชายสี่มองมั่วชิงเฉินและคุณชายหกไม่รู้ส่งเสียงทางจิตอะไรกันอยู่อย่างเย็นชา โตขนาดนี้ยังเป็นครั้งแรกที่รู้สึกว่าถูกเมินเฉย กลับฝืนทนความไม่พอใจในใจไว้ เพราะอย่างไรเสียฝีมือของน้องหกเขายังคงรู้ดี สามารถเดินมาถึงก้าวนี้ได้ หญิงสาวตรงหน้าดูถูกไม่ได้เด็ดขาด ยิ่งกว่านั้น…นางเป็นผู้บำเพ็ญเพียรหญิงระดับสร้างรากฐานเชียวนะ!
ผู้บำเพ็ญเพียรหญิงระดับสร้างรากฐาน…นึกถึงตรงนี้ คุณชายสี่เริ่มมีความคิดอะไรขึ้นมา
มั่วชิงเฉินเห็นปล่อยเขาไว้พอประมาณแล้ว นี่ถึงคารวะกลับว่า “คุณชายสี่ ข้าแซ่มั่ว”
หน้าตาที่หล่อเหล่าของคุณชายสี่ยิ้มว่า “แม่นางแซ่มั่ว? หึๆ ‘มั่ว’ แซ่นี้นับว่ามีไม่มากนะ”
มั่วชิงเฉินไม่แน่ใจว่าคำพูดนี้ของเขาหมายความว่าเช่นไร ก็ได้ยินคุณชายสิบเจ็ดที่อยู่ข้างๆ หัวเราะว่า “นั่นน่ะสิ พี่สี่ ท่านก็มีอนุคนหนึ่งแซ่มั่วมิใช่หรือ กับแม่นางมั่วผู้นี้ช่างมีวาสนากันจริงๆ เลยนะ”
“น้องสิบเจ็ด ห้ามพูดเหลวไหล แม่นางมั่วสูงส่งเพียงใด อนุเล็กๆ ของข้าคนหนึ่งจะเทียบได้เช่นไรกัน” คุณชายสี่เอ็ด น้ำเสียงกลับไม่หนักแน่นเลยสักนิด
มั่วชิงเฉินสีหน้าเย็นชาลง “ ‘มั่ว’ แม้ไม่เหมือนแซ่อื่นที่มีเกลื่อนถนนไปหมด ทว่าก็ไม่นับว่าหายาก หากเช่นนี้ก็เอาไปโยงว่ามีวาสนา เช่นนั้นผู้บำเพ็ญเพียรเช่นพวกเราก็ยิ่งไม่อาจโดดออกจากผลกรรมทางโลกแล้ว”
คุณชายหกก็โกรธว่า “น้องสิบเจ็ด อย่างไรเสียเจ้าก็เป็นผู้บำเพ็ญเพียรระดับสร้างรากฐาน พูดจาไม่รู้อะไรควรมิควรเช่นนี้ ทำขายหน้าตระกูลหวังต่อหน้าคนอื่นเปล่าๆ พี่สี่ เจ้าว่าใช่หรือไม่?”
“เจ้า!” คุณชายสิบเจ็ดยื่นนิ้วออกชี้คุณชายหกว่า
คุณชายสี่ตบๆ แขนเขา เมื่อพูดกับคุณชายหกก็นิ่งเรียบลงมากแล้ว “น้องหก น้องสิบเจ็ดเป็นคนตรงเสมอมา เหตุใดต้องถือสากับเขาด้วย?”
คุณชายหกยำเกรงตบะของเขา ไม่ได้พูดต่ออีก
ฟ้ามืดแล้ว มีคนเพิ่มมาสองคน พวกมั่วชิงเฉินสองคนย่อมไม่อาจนอนอย่างสบายใจได้ จึงต่างนั่งขัดสมาธิเข้าฌานขึ้นมา
ไม่ไกลออกไป คุณชายสี่และคุณชายสิบเจ็ดใช้จิตตระหนักคุยกันอยู่
“พี่สี่ ท่านว่าหวังหกรู้จักแม่นางมั่วผู้นั้นได้อย่างไร?”
คุณชายสี่หลับตาอยู่พลางว่า “ยามนี้กังวลเรื่องนี้ไปก็ไร้ประโยชน์ รอกลับไปสืบดูก็รู้แล้ว น้องสิบเจ็ด ต่อจากนี้เจ้าต้องสำรวมหน่อย อย่าล่วงเกินแม่นางผู้นั้นเข้าล่ะ”
คุณชายสิบเจ็ดชะงัก “เพราะเหตุใด พี่สี่ หรือว่าเราจะไปพร้อมพวกเขา?”
คุณชายสี่ตอบว่า “เหตุใดจะไม่ได้ เจ้าไม่สังเกตหรือว่าพวกเรามาถึงที่นี่อย่างง่ายดายขึ้นไม่น้อย ต้องเพราะพวกเขาฆ่าอสูรปีศาจไปไม่น้อยก่อนหน้าแล้วเป็นแน่”
คุณชายสิบเจ็ดชมว่า “พี่สี่คิดได้รอบคอบ ท่านอยู่ระดับสร้างรากฐานระยะกลาง หวังหกต้องไม่กล้าปฏิเสธเป็นแน่ พวกเราก็ตามพวกเขาไปด้วยกัน รอได้น้ำตาของปีศาจปลาเกี่ยววิญญาณแล้ว ก็…”
คุณชายสี่น้ำเสียงเคร่งครัดว่า “ข้าไม่สนว่าเจ้าจะจัดการกับหวังหกเช่นไร แม่นางมั่วผู้นั้น เจ้าห้ามทำร้ายนางแม้ขนสักเส้นเดียว!”
“พี่สี่?”
คุณชายสี่กลับไม่ได้อธิบาย แต่เอ่ยอย่างแข็งกร้าวว่า “เจ้าจำข้อนี้ไว้ก็พอแล้ว รอกลับไป พี่สี่ย่อมไม่ให้เจ้าต้องน้อยหน้าแน่นอน!”
ในใจแอบคิดว่า แม่นางมั่วผู้นั้นเป็นผู้บำเพ็ญเพียรระดับสร้างรากฐานเชียวนะ ทั่วทั้งทะเลขนาบใจ เขายังไม่เคยพบผู้บำเพ็ญเพียรหญิงระดับสร้างรากฐานคนที่สองมาก่อน
ยิ่งกว่านั้น พวกเขาสองคนเด็กหนุ่มไม่ประสีประสาดูไม่ออก เขาที่ผ่านผู้หญิงมานับไม่ถ้วนมองปราดเดียวก็ดูออก แม่นางมั่วผู้นี้ไม่เพียงแต่เป็นสาวพรหมจรรย์ ยิ่งกว่านั้นอายุต้องไม่เกินสี่สิบปีเด็ดขาด!
อายุสามสิบกว่าก็สร้างรากฐานแล้ว เทียบกับตนแล้วก็ไม่ห่างกันเท่าไร หากบำเพ็ญเพียรคู่กับนาง บำเพ็ญเคล็ดวิชาลับบำเพ็ญเพียรคู่ชุดนั้นด้วยกัน อย่าว่าแต่ระดับสร้างรากฐานระยะปลายเลย ต่อให้เป็นระดับก่อแก่นปราณไม่แน่ก็อาจมีความหวัง!
คุณชายสี่คิดพลางกวาดสายตาที่เร่าร้อนมองมั่วชิงเฉินปราดหนึ่ง เห็นนางหลับตานั่งเงียบๆ หน้าตาแม้ถูกผมข้างหน้าบังไว้ ท่วงท่าที่อรชรสง่างามกลับปิดไม่มิด ในใจจึงยิ่งร้อนรุ่มขึ้นมา
มั่วชิงเฉินดูเหมือนสัมผัสอะไรได้ลืมตาขึ้นกวาดสายตาไปที่คุณชายสี่ปราดหนึ่ง เกิดความคิดขึ้นมา
คุณชายสิบเจ็ดผู้นั้นดูเหลาะแหละกลับไม่กลัวสิ่งใดเลย ส่วนคุณชายสี่ผู้นี้ภายนอกท่วงท่าสง่างาม ทว่าแววตาที่แสดงออกมาเป็นครั้งคราวกลับทำให้คนกลัว ดูท่าระหว่างทางนี้ตนต้องระวังตัวให้มากแล้ว
ส่วนอีกด้านหนึ่ง คุณชายหกที่หลับตาปรับลมหายใจถอนหายใจอย่างเบาจนแทบไม่ได้ยินอึดหนึ่ง
ทั้งสี่คนต่างมีความคิดของตนนั่งอยู่เงียบๆ ฟ้าใกล้จะสว่างแล้ว
——
[1] คุณชายแปด ลูกหลานในตระกูลหวังเรียกตนเองด้วยแซ่ ตามด้วยลำดับ คุณชายแปดก็คือ หวังแปด ในภาษาจีน คือ ‘หวังปา’ ซึ่งเป็นคำด่าหมายถึงไอ้ลูกเต่า