พันธกานต์ปราณอัคคี - ตอนที่ 167 เสียงเพลงเกี่ยววิญญาณ
เห็นมั่วชิงเฉินมองเขาอย่างงงงัน คุณชายหกที่รู้ตัวว่าทำเกินไปเสียงอ่อนโยนขึ้นมาว่า “แม่นางมั่ว เมื่อครู่ข้าเพิ่งออกจากแดนมายา ไม่ได้ควบคุมอารมณ์ให้ดี หากพูดหนักไปเจ้าจงอย่าใส่ใจ”
มั่วชิงเฉินส่ายศีรษะว่า “ไม่หรอก เป็นข้าที่ละลาบละล้วง คุณชายหกอย่าถือสาถึงจะถูก”
ในชั่วเวลาหนึ่งทั้งสองคนต่างรู้สึกกระอักกระอ่วนอยู่บ้าง ดีที่ในยามนี้คุณชายสี่ได้สติขึ้นมา ผ่านไปอีกไม่นานเท่าไร คุณชายสิบเจ็ดก็ดิ้นหลุดจากแดนครึ่งจริงครึ่งมายาแล้วเช่นกัน
มั่วชิงเฉินแอบว่าดูท่าแล้วแต่ละคนล้วนไม่ธรรมดา จะดูเพียงนิสัยที่แสดงออกภายนอกของคนคนหนึ่งแล้วดูถูกเขาไม่ได้เด็ดขาด
ในพริบตาที่คุณชายสิบเจ็ดฟื้นมา ความครึกครื้นทั้งหมดในตำหนักก็หยุดลงแต่เท่านั้น ทหารปูกุ้งพวกนั้น สาวมังกรนางหอยหายไปจนหมดสิ้น โถงใหญ่กลับคืนสู่สภาพยามที่ทุกคนเข้ามาอีกครั้ง
“พี่สี่ พวกท่านดู!” คุณชายสิบเจ็ดชี้ที่กำแพงว่า
มั่วชิงเฉินมองไปที่กำแพง พอดีเห็นนางหอยที่โฉมงามดุจบุปผาคนหนึ่งยิ้มละไม ในมือยกจานเงินยาวใบหนึ่ง ข้างๆ ใช้ตัวอักษรเล็กๆ เขียนอักษรไว้สองตัว ‘เสวี่ยเหนียง’
นี่นางถึงตกใจว่ายามที่เพิ่งก้าวเข้าโถงใหญ่สิ่งมีชีวิตที่มีชีวิตชีวาบนกำแพงนั่นนึกไม่ถึงเลยว่าก็คือเหล่าวิญญาณในงานเลี้ยง
ในใจมั่วชิงเฉินชั่วเวลาหนึ่งบอกไม่ถูกว่าเป็นเช่นไร ไม่นานก่อนหน้าหญิวสาวโฉมงามที่ให้การต้อนรับตนอย่างเต็มที่ ที่แท้ก็เป็นเพียงแค่คนในภาพ
เช่นนั้น เมื่อครู่คือคนในภาพมีชีวิตขึ้นมาแล้ว หรือว่าพวกเขาเดินเข้าจิตรกรรมฝาผนังกลายเป็นสมาชิกหนึ่งในภาพกันแน่?
เสวี่ยเหนียงที่รอยยิ้มดุจบุปผาในจิตรกรรมฝาผนังนี้ หากวันหลังตนมาอีกครั้ง กระตุ้นสิ่งต้องห้ามใหม่อีกครั้ง นางจะรู้จักหรือไม่รู้จักตนนะ?
อะไรคือจริง อะไรคือเท็จ ยามที่จริงเป็นเท็จ เท็จก็เป็นจริง ยามที่เท็จเป็นจริงจริงก็เป็นเท็จ
จำได้ว่ายามที่ตนเพิ่งเข้าตระกูลมั่ว ท่านอาสิบสี่ก็เคยพูดกับตนว่า ทางแห่งการบำเพ็ญเพียรคือการให้ได้ซึ่งตัวข้าที่แท้จริง เป็นขั้นตอนการขจัดเท็จให้เหลือจริง
ใจกระจ่างเห็นนิสัย ตามหาใจเต๋าของตน ก็เพื่อมองต้นตอแหล่งฟ้าดินให้ชัดเจน ไม่สับสนเพราะไม่อาจแยกจริงเท็จได้อีกใช่หรือไม่นะ?
สีหน้าของมั่วชิงเฉินมืดมน ยืนอยู่ตรงนั้นไม่ขยับเขยื้อน รอบกายกลับมีแสงวิญญาณไหลเวียนรางๆ
“แม่นางมั่วนาง…” คุณชายสิบเจ็ดเห็นแล้วตะลึง
คุณชายหกรีบใช้สายตาห้ามไว้ แม้เขาไม่เคยประสบมาก่อนกลับรู้ว่ายามนี้มั่วชิงเฉินต้องไม่อาจถูกรบกวนเป็นแน่
“รู้แจ้ง ไม่นึกเลยว่านางจะรู้แจ้งแล้ว” คุณชายสี่รำพึงรำพันเสียงหลง สายตาที่มองไปที่มั่วชิงเฉินยิ่งร้อนแรงมากขึ้นอีก
ไม่รู้ผ่านไปนานเท่าใด ในที่สุดมั่วชิงเฉินก็ได้สติจากสภาพน่าพิศวงเช่นนั้น เห็นทั้งสามคนจ้องตนเขม็ง นี่ถึงนึกถึงที่ที่ตนอยู่ จึงอดเอ่ยเชิงขอโทษไม่ได้ว่า “ให้ทั้งสามท่านรอนานแล้ว”
“แม่นางเกรงใจไปแล้ว ข้าน้อยต่างหากควรขอบคุณแม่นางมั่ว ให้ข้าได้เปิดหูเปิดตาสักครา ที่แท้นี่ก็คือการรู้แจ้งที่เล่าลือกันหรือนี่” คุณชายหกรำพึงรำพันด้วยใบหน้าเปี่ยมด้วยความชื่นชมและเคารพ
คุณชายสี่เอ่ยว่า “แม่นางมั่ว เจ้าช่างทำให้คนประหลาดใจจริงๆ…” คำพูดข้างหลังไม่ได้พูดต่อ ระดับความร้อนแรงในตากลับทำให้มั่วชิงเฉินแอบกลัวในใจ
“ทั้งสองท่านเข้าใจผิดแล้ว ข้ารู้แจ้งอะไรที่ไหนกัน เพียงแต่โอกาสวาสนานำพาเข้าสู่สภาพน่าพิศวงแบบหนึ่ง สภาพจิตเกิดสูงขึ้นเท่านั้น ส่วนหลักการเต๋าอะไร นั่นไม่ได้ตระหนักเลยแม้แต่น้อย” มั่วชิงเฉินเอ่ย ส่วนจะเชื่อหรือไม่ นั่นก็ไม่ใช่สิ่งที่นางจะควบคุมได้แล้ว
เอาล่ะ เมื่อเป็นเช่นนี้ พวกเราก็เดินหน้าต่อเถอะ” คุณชายสี่เห็นมั่วชิงเฉินไม่อยากพูดมาก จึงเอ่ยว่า
ผ่านแดนมายาสองด่าน อีกาไฟที่อยู่ในถุงอสูรวิญญาณก็กระโดดออกมาอีก ตามทั้งสี่คนเดินสู่ส่วนลึกของตำหนักใหญ่ไปพลาง ฆ่าอสูรปีศาจในทะเลที่โผล่ออกมาเป็นระยะไปพลาง
การสู้กันอย่างจริงๆ จังๆ เช่นนี้ ก็รู้สึกอารมณ์ผ่อนคลายกว่าก่อนหน้ามาก
คุณชายสิบเจ็ดแอบส่งเสียงทางจิตว่า “พี่สี่ ท่านว่าแม่นางมั่วคนนั้น ตกลงรู้แจ้งสิ่งใดกันแน่?”
คุณชายสี่ตอบว่า “ข้าจะไปรู้ได้อย่างไร”
คุณชายสิบเจ็ดหัวเราะแหะๆ ว่า “รอต่อไปกลายเป็นพี่สะใภ้สี่แล้ว พี่สี่ท่านก็รู้แล้วไม่ใช่หรือ”
ผ่านไปพักใหญ่ เสียงของคุณชายสี่ถึงส่งมาว่า “ครั้งนี้ เกรงว่าจะไม่ง่ายขนาดนั้น ความเป็นมาของแม่นางมั่วคนนี้เกรงว่าจะไม่ธรรมดา ทว่าในเมื่อนางมาถึงทะเลขนาบใจของเราแล้ว ต่อให้นางมีคนหนุนหลังใหญ่โตแค่ไหนก็แส้ไกลเกินเอื้อม[1] นาง ข้าเอาแน่แล้ว!”
“พี่สี่ มีที่ที่ใช้น้องได้เชิญว่ามาเต็มที่ แหะๆ ขอเพียงวันหลังพวกท่านสามีภรรยาบำเพ็ญเพียรคู่ เสียงพิณสอดประสาน อย่าลืมน้องก็พอ” คุณชายสิบเจ็ดส่งเสียงทางจิตว่า
คุณชายสี่ส่งตอบว่า “นั่นแน่นอน ทว่าครั้งนี้ที่สำคัญคือเจ้าหวังหกนั่น”
คุณชายสิบเจ็ดชะงัก “หวังหก?”
“ถูกต้อง เห็นได้ชัดว่าหวังหกยืนอยู่ข้างแม่นางมั่วนั่น หากไม่ลากเขามาเป็นพวก คิดจะได้แม่นางมั่วก็ยากแล้ว แม่นางมั่วคนนั้นอยู่ในบรรดาผู้บำเพ็ญเพียรระดับสร้างรากฐานระยะกลาง ความสามารถต้องเป็นบุคคลอันดับหนึ่งอันดับสองแน่นอน ยิ่งไม่ต้องพูดถึงว่านางยังมีอสูรวิญญาณที่พลังไม่อาจคาดเดาได้” คุณชายสี่วิเคราะห์ว่า
คุณชายสิบเจ็ดเสียงแฝงไว้ด้วยความเจ้าเล่ห์สายหนึ่ง “พี่สี่ หรือว่าหวังหกจะมีใจให้แม่นางมั่วคนนี้เป็นพิเศษหรืออย่างไร?”
คุณชายสี่ฮึเสียงเย็นทีหนึ่ง “เจ้าไม่ใช่ไม่รู้ใจตลอดมาของหวังหกเสียหน่อย!”
คุณชายสิบเจ็ดเอ่ยอย่างมีนัยลึกซึ้งว่า “ก็นั่นน่ะสิ หากสามารถทำให้เขาสมใจปรารถนา เขายังสามารถปฏิเสธข้อเสนอของพี่สี่ได้หรืออย่างไร?”
คุณชายสี่ชะงัก “เจ้าหมายถึง…” จากนั้นเสียงยิ่งเย็นเยียบลงแล้ว “ไม่ได้ นั่นมิเหลวไหลหรอกหรือ ถึงเวลาข้าหวังสี่มิต้องเมฆเขียวครอบหัวหรอกหรือ?”
คุณชายสิบเจ็ดหัวเราะว่า “พี่สี่ คนนั้นเป็นเพียงแค่อนุเท่านั้น จะนับว่าเมฆเขียวครอบหัวได้อย่างไร มอบอนุเป็นของขวัญต่อให้อยู่ในทางโลกฆราวาสก็ถูกเรียกว่าเป็นเรื่องดีงาม ในโลกบำเพ็ญเพียรของพวกเรายิ่งไม่คุ้มค่าแก่การพูดถึง รอท่านและพี่สะใภ้สี่น้อยบำเพ็ญเพียรสำเร็จทางแห่งอายุยืนยาว จะมีใครกล้านินทาอีก หึๆ ต่อให้เป็นคนที่นินทาในเวลานั้นก็กลายเป็นธุลีดินกอบหนึ่งตั้งนานแล้ว”
คำพูดนี้ของคุณชายสิบเจ็ดพูดถึงสิ่งที่อยู่ลึกเข้าไปในใจของคุณชายสี่พอดี โดยเฉพาะ ‘ทางแห่งอายุยืนยาว’ ยิ่งทำให้เขารู้สึกตื่นเต้น
หญิงสาวนางนี้ อาจจะเป็นโอกาสที่ดีที่สุดที่สวรรค์ส่งมาให้เพื่อให้เขาสำเร็จก่อแก่นปราณทองคำก็เป็นได้ เขาไม่เสียดายที่ต้องแลกด้วยอะไรก็ตาม ต้องได้นางมาให้ได้!
มั่วชิงเฉินไม่รู้ถึงเจตนาร้ายที่ซ่อนเร้นอยู่ในใจของคุณชายสี่ ยิ่งคิดไม่ถึงข้อเสนอบ้าบอคอแตกของคุณชายสิบเจ็ด ความคิดของนางยังอยู่ที่มั่วหนิงโหรวนั่น
เดินทางร่วมกับคุณชายสามคนจากตระกูลหวัง จากคำพูดไม่กี่คำที่พวกเขาพูดมาอย่างไรก็สามารถสรุปความจริงอะไรได้บ้าง
ยามนั้นคุณชายหกตกเข้าไปในแดนมายา ปากร้องเรียก ‘โหรวเอ๋อร์’ เสียงดังพลางฟื้นมา นางจำได้ว่าคุณชายสี่สีหน้าอึมครึม คุณชายสิบเจ็ดสีหน้าประหลาด นี่แสดงว่า พี่สิบสี่กับพวกเขา โดยเฉพาะกับคุณชายสี่ คุณชายหกสองคนล้วนมีความสัมพันธ์ที่ลึกซึ้งมากใช่หรือไม่?
คำพูดที่คุณชายสิบเจ็ดเคยพูดไว้เปรียบดังฟ้าร้องดังขึ้นในสมองมั่วชิงเฉิน “พี่สี่ ท่านมีอนุคนหนึ่งก็แซ่มั่วมิใช่หรือ กับแม่นางคนนี้ช่างมีวาสนาจริงๆ เลย”
อนุแซ่มั่ว ‘โหรวเอ๋อร์’ ในปากคุณชายหก สีหน้าอึมครึมของคุณชายสี่ เรื่องเหล่านี้ในที่สุดก็ต่อเข้าด้วยกัน ทว่าความจริงที่ต่อติดขึ้นมากลับทำให้มั่วชิงเฉินเกือบกดริมฝีปากแดงสดแตก
พี่สิบสี่ นางนิสัยอ่อนแอขี้กลัว จิตใจกลับดีและบริสุทธิ์ยิ่งกว่าวังบาดาลนี้อีก พี่สิบสี่ที่คาดหวังตั้งแต่เล็กว่าจะได้พบคนรักเหมือนสาวน้อยธรรมดาในโลกฆราวาส พี่สิบสี่ที่เจอเคราะห์กรรมอนาถฆ่าล้างตระกูลบิดามารดาเสียชีวิตทั้งคู่ ซัดเซพเนจรมายี่สิบกว่าปี ไม่นึกว่าจะกลายเป็นอนุของชายคนหนึ่งเช่นนั้นหรือ?
ยิ่งกว่านั้นชายคนนั้น ดูไม่เหมือนคนให้ความสำคัญกับความรักชายหญิงสักเท่าใด ในใจของเขา เกรงจะมีแต่หนทางแห่งอายุยืนยาวสายนั้นเท่านั้นกระมัง
ส่วนชายอีกคนหนึ่งที่ดูเหมือนไม่เลว กลับมีฐานะที่กระอักกระอ่วนเช่นนั้น เช่นนั้นชีวิตพี่สิบสี่ตลอดยี่สิบกว่าปีมานี้ต้องผ่านมาอย่างทุกข์ทรมานเช่นไร?
มั่วชิงเฉินแอบตัดสินใจ ตระกูลหวัง ไม่ไปสักคราไม่ได้เสียแล้ว
ในที่สุดคนทั้งขบวนก็เดินถึงสุดทางตำหนักแล้ว หลังจากร่วมมือกันจัดการอสูรปีศาจชั้นสี่ตัวหนึ่งแล้ว ประตูใหญ่ที่ปิดผนึกไว้ก็ค่อยๆ เปิดออก
มั่วชิงเฉินกลั้นหายใจ กลับต้องตกตะลึงกับทัศนียภาพข้างหน้า
ด้านหลังประตูหลังตำหนัก ไม่นึกว่าจะเป็นทะเลสาบเล็กๆ ที่สงบสวยงาม ตรงกลางทะเลสาบมีเกาะเล็กเกาะหนึ่ง สามารถเห็นเงาที่สวยงามเงาหนึ่งรางๆ นั่งอยู่บนโขดหินแหงนหน้ามองฟ้า เสียงเพลงดุจเสียงสวรรค์ลอยมาตามลม
มีชั่วพริบตาหนึ่งที่มั่วชิงเฉินรู้สึกเลือนราง จากนั้นเพลิงแก้วใจกระจ่างที่ตันเถียนแผ่ซ่านออกมาเหมือนน้ำค้างใสเย็น ทำให้นางได้สติกลับมาทันที
ทว่าสิ่งที่เห็นต่อจากนั้นกลับทำให้นางตกใจ พวกคุณชายหกสามคนไม่นึกเลยว่าจะเหมือนถูกมนตร์สะกดก็ไม่ปานเดินสู่กลางทะเลสาบไปทีละก้าวๆ คุณชายสิบเจ็ดที่รูปร่างเตี้ยหน่อยยามนี้ได้ถูกน้ำในทะเลสาบท่วมถึงเอวแล้ว
“คุณชายหก!” มั่วชิงเฉินตะโกนเสียงร้อนรน
คุณชายหกเหมือนไม่ได้ยิน เดินหน้าต่อไปทีละก้าวๆ
“คุณชายสี่!” มั่วชิงเฉินลองตะโกนเรียกเสียงหนึ่ง
คุณชายสี่ร่างกายหยุดชะงัก จากนั้นเสียงเพลงที่ยิ่งไพเราะเสนาะหูลอยมาอีก เขาจึงเดินสู่กลางทะเลสาบต่อ
มั่วชิงเฉินรีบอัญเชิญอาวุธเวทรูปชามออกมา ใครจะรู้ว่าอาวุธเวทรูปชามไปถึงบนฟ้าเหนือทะเลสาบแล้วก็หดลงเหลือขนาดเท่าฝ่ามือร่วงกลับเข้ามือมั่วชิงเฉินอย่างรวดเร็ว
แย่แล้ว ไม่สามารถใช้อาวุธเวทเหินหาวได้!
ไม่ทันได้คิดมาก มั่วชิงเฉินยกตัวกระโดดลงในทะเลสาบ
น้ำในทะเลสาบหนาวเสียดกระดูก ด้วยร่างกายผู้บำเพ็ญเพียรระดับสร้างรากฐานของนางยังรู้สึกว่าทนไม่ไหว มั่วชิงเฉินกัดฟันพยายามว่ายไปทางคุณชายหกอย่างเต็มที่ ในใจแอบคิดว่าดีที่ตนไม่ใช่เป็ดแห้งแล้ง[2]
ยามที่น้ำในทะเลสาบท่วมถึงหน้าอกคุณชายหกนั้น ในที่สุดมั่วชิงเฉินก็ว่ายมาถึงข้างกายเขา จับแขนของเขาไว้ทันทีว่า “คุณชายหก เจ้าตื่นหน่อย!”
คุณชายหกแววตาเลื่อนลอย ไม่มองมั่วชิงเฉินสักปราด เดินไปข้างหน้าต่อ
มั่วชิงเฉินร้อนรนเป็นการใหญ่ มือหนึ่งดึงแขนของเขาไว้แน่น ยื่นมืออีกข้างหนึ่งออกมาโบกไปที่หน้าเขาเต็มแรง
ได้ยินเพียงเสียงผลัวะดังขึ้นเสียงหนึ่ง ร่างกายคุณชายหกส่ายไปมา ลืมตาขึ้นแล้ว
หลังจากงุนงงชั่วสั้นๆ คุณชายหกเข้าใจสภาพของตนที่ตกอยู่ในอันตราย จึงเอ่ยอย่างซาบซึ้งว่า “แม่นางมั่ว ขอบคุณ” พูดพลางกวาดสายตามองริมฝีปากที่หนาวจนเป็นสีม่วงของมั่วชิงเฉินปราดหนึ่งอย่างห้ามตัวเองไม่ได้
อย่างไรเสียมั่วชิงเฉินก็เป็นหญิงสาว ยามนี้อยู่ในทะเลสาบหนาวจนตัวสั่นแล้ว ชี้ทางด้านคุณชายสี่นั่นว่า “พวกเขาทำเช่นไร?”
พูดตามใจจริงนางแล้ว นางขี้เกียจจะช่วยพวกเขา ใครจะรู้ว่าวันหลังจะถูกแว้งกัดหรือไม่ล่ะ
แม้จะบอกว่านางมีหลักการข้อหนึ่งคือไม่ละทิ้งสหายของตน ทว่าสองคนนี้นับไม่ได้ว่าเป็นสหายโดยสิ้นเชิง
บนใบหน้าคุณชายหกเผยให้เห็นถึงการดิ้นรนเช่นกัน
ในยามนี้นี่เอง ไม่รู้ว่าเพราะความเคลื่อนไหวของทางมั่วชิงเฉินนี่หรือว่าคุณชายสี่ได้เตรียมตัวไว้ก่อน ไม่คิดว่าเขาจะได้สติขึ้นมา กวาดมองทางนี้ปราดหนึ่ง แล้วก็ลากคุณชายสิบเจ็ดที่เกือบถูกน้ำในทะเลสาบท่วมจะมิดศีรษะแล้วไว้ พูดกับพวกมั่วชิงเฉินสองคนว่า “อยู่ในน้ำทะเลสาบนี่นานไปเราจะทนไม่ไหว รีบขึ้นไปบนเกาะ” พูดพลางอัญเชิญเรือบินออกมา แล้วกระโดดขึ้นไป
อาวุธเวทเรือเล็กของคุณชายหกก็เช่นกันทั้งสามารถเหินหาวทั้งแล่นอยู่บนผิวน้ำได้เหมือนเรือเล็กจริงๆ ขึ้นเรือเล็กของเขาแล้ว มั่วชิงเฉินอดตัวสั่นเทาไม่ได้ รีบเสกคาถาอบเสื้อผ้าบนตัวให้แห้ง กลับยังคงรู้สึกหนาวถึงกระดูก
คุณชายหกหยิบเสื้อขนกระต่ายหิมะตัวหนึ่งคลุมให้นาง แล้วก็ได้ยินคุณชายสี่ว่า “น้องหก เจ้ายังช่างทะนุถนอมอิสตรีเสียจริงนะ”
——
[1] แส้ไกลเกินเอื้อม เป็นการเปรียบเทียบว่า เหนือบ่ากว่าแรง หรือ เกินอำนาจของตนเอง เข้าไปยุ่งเกี่ยวไม่ได้
[2] เป็ดแห้งแล้ง ใช้เรียกเยาะเย้ยคนที่ว่ายน้ำไม่เป็น