พันธกานต์ปราณอัคคี - ตอนที่ 171 ของวิเศษแบบเติบโต
“เจ้าชื่ออะไร?” เสียงปีศาจปลาเกี่ยววิญญาณแฝงไว้ด้วยความน่าเกรงขาม
“มั่วชิงเฉิน” มั่วชิงเฉินตอบอย่างไม่มีพลังต่อต้านแม้แต่น้อย
ทันใดนั้นปีศาจปลาเกี่ยววิญญาณทำท่าประหลาดท่าหนึ่ง ปากสวดอย่างชัดเจนว่า “ข้าตวนมู่จิ้งขอสาบานด้วยวาจาศักดิ์สิทธิ์ หากมีวันหนึ่งมั่วชิงเฉินมอบผลแย่งลิขิตให้ฆ่า ข้าจักบอกความลับการเลื่อนขั้นชั้นแยกดวงจิตแก่นาง ไม่ผิดคำพูดเด็ดขาด”
เพิ่งสิ้นเสียงมั่วชิงเฉินก็เห็นยันต์อักษรแสงวิญญาณสายหนึ่งหายเข้าไปบริเวณหน้าอกของปีศาจปลาเกี่ยววิญญาณ
“เป็นเช่นไร ทีนี้เจ้าวางใจได้หรือยัง เต็มใจทำการแลกเปลี่ยนนี้หรือไม่?” ปีศาจปลาเกี่ยววิญญาณถาม
มั่วชิงเฉินคารวะอย่างไม่ลังเลเลยแม้แต่น้อยว่า “ท่านผู้อาวุโสใจกว้างเช่นนี้ ข้าน้อยย่อมเต็มใจอย่างยิ่งเจ้าค่ะ”
ใช่น่ะสิ นี่เป็นเรื่องโชคดีที่หล่นจากฟ้าชัดๆ หาผลแย่งลิขิตไม่ได้นางไม่เสียหายใดๆ ทว่าหากเกิดโชคดีหาเจอแล้ว นางก็สามารถล่วงรู้ความลับที่ล้ำค่าถึงเพียงนั้นได้ คนที่ไม่รับปากพูดได้เพียงว่าสมองถูกเผาจนเสียหายแล้วเท่านั้น
ปีศาจปลาเกี่ยววิญญาณเผยรอยยิ้มไม่ผิดดั่งที่คาดไว้ออกมา โบกมือโยนของสิ่งหนึ่งเข้าไปในมือมั่วชิงเฉิน
เมื่อมั่วชิงเฉินเพ่งมอง ในมือคือของที่เหมือนผ้าไหม เบาเหมือนไร้น้ำหนัก สัมผัสเย็นดุจน้ำแข็ง
ปีศาจปลาเกี่ยววิญญาณชี้ของในมือนางว่า “นี่คือไหมเกล็ดน้ำแข็งที่ทอขึ้นจากเกล็ดหางปลาของข้าที่ลอกคราบออกมาเมื่อนานมาแล้ว ได้ยินมาว่าสำหรับผู้บำเพ็ญเพียรมนุษย์เช่นพวกเจ้าแล้วเป็นของวิเศษตามธรรมชาติ ทิ้งไว้ที่ข้านี่จนจะขึ้นราอยู่แล้ว ก็มอบให้เจ้าแล้วกัน หวังว่าจะเป็นกำลังให้เจ้าได้ ทำให้ข้าได้สมปรารถนาในเร็ววัน”
“ของวิเศษธรรมชาติ?” มั่วชิงเฉินมองไหมเกล็ดน้ำแข็งในมือ รู้สึกเพียงว่าจำนวนครั้งที่ตนตกตะลึงในวันนี้มากเหลือเกิน จนรู้สึกชินชาเสียแล้ว
เป็นที่รู้กัน มีเพียงผู้บำเพ็ญเพียรระดับก่อแก่นปราณขึ้นไปถึงสามารถใช้ของวิเศษได้ ผู้บำเพ็ญเพียรระดับสร้างรากฐานเช่นนางใช้ได้เพียงอาวุธเวทเท่านั้น
ทว่าของวิเศษธรรมชาติกลับไม่เหมือนกัน ต่อให้เป็นผู้บำเพ็ญเพียรระดับสร้างรากฐานก็สามารถใช้ได้ เพียงแต่ถูกจำกัดด้วยตบะ ฤทธิ์เดชของของวิเศษที่สำแดงออกมามีเพียงหนึ่งในสิบหรือกระทั่งหนึ่งในร้อยเท่านั้น ต่อให้เป็นเช่นนี้ ก็ยังมีพลานุภาพมากกว่าอาวุธเวทชั้นสุดยอดมาก
ที่สำคัญที่สุดคือ ของวิเศษธรรมชาติสามารถเก็บเข้าตันเถียนเหมือนของวิเศษประจำกายที่หลอมขึ้นหลังจากผู้บำเพ็ญเพียรก่อแก่นปราณ ของวิเศษธรรมชาติเลี้ยงไว้ที่ตันเถียนของผู้บำเพ็ญเพียรทุกวัน พลานุภาพจะเพิ่มขึ้นและแข็งแกร่งขึ้นตามตบะของผู้บำเพ็ญเพียร เป็นของวิเศษแบบเติบโตที่เหล่าผู้บำเพ็ญเพียรละเมอเพ้อหา
ปีศาจปลาเกี่ยววิญญาณมองท่าทางเหลอหลาของมั่วชิงเฉินแล้วหัวเราะเบาๆ จากนั้นวาดนิ้วหนึ่งที แสงวิญญาณสายหนึ่งก็หายเข้าไปในสมองของมั่วชิงเฉิน
มั่วชิงเฉินสะดุ้งเฮือก แล้วก็ได้ยินปีศาจปลาเกี่ยววิญญาณว่า “เมื่อครู่ข้าซัดแสงวิญญาณที่ผนึกข่าวคราวเกี่ยวกับผลแย่งลิขิตไว้ หากมีวันหนึ่งเจ้าสามารถพบผลแย่งลิขิต ข่าวคราวนี้ก็จะถูกปลดปล่อยออกมา เจ้าก็จะรู้ทันทีว่าผลไม้ทิพย์ตรงหน้านั้นใช่แล้ว”
มั่วชิงเฉินรู้สึกทันทีว่าฝีมือมหัศจรรย์ของยอดฝีมือช่างอัศจรรย์เหลือเกิน ในใจก็รู้สึกกลัวไม่หายอีก ปีศาจปลาเกี่ยววิญญาณนี้นับว่าใจกว้างแล้วล่ะ มิเช่นนั้นหากคิดจะฆ่าตนนั้นง่ายกว่าบี้มดตัวเล็กๆ ตัวหนึ่งเสียอีก
นึกถึงตรงนี้ก็รู้สึกถึงความสำคัญของพลังอย่างลึกซึ้ง แอบเตือนตนเองว่าหากคิดจะหลุดพ้นจากการเป็นลูกไก่ในกำมือใครก็ตาม ก็มีเพียงพยายามแข็งแกร่งขึ้นเท่านั้น
“ใช่แล้ว น้ำตาที่ข้ามอบให้เจ้าก่อนหน้านี้เจ้าคิดจะจัดการเช่นไร?” ปีศาจปลาเกี่ยววิญญาณถามอีก
มั่วชิงเฉินตอบตามตรงว่า “ข้าน้อยคิดจะมอบให้ผู้บำเพ็ญเพียรตระกูลหวังที่มาพร้อมกัน หวังว่าด้วยสิ่งนี้จะแลกโอสถวิเศษของตระกูลหวังได้เม็ดหนึ่ง”
ปีศาจปลาเกี่ยววิญญาณกระดกมุมปากขึ้นแล้วส่ายศีรษะ “เจ้ารู้หรือไม่ น้ำตานี้ข้าไหลออกมาด้วยตนเอง หากใช้เป็นกระสายยา ฤทธิ์โอสถทิพย์ที่หลอมได้ไม่เพียงแต่สามารถทะลวงคอขวดของเขตแดนเล็กของระดับสร้างรากฐาน ยังสามารถเพิ่มโอกาสในการก่อแก่นปราณได้ด้วย?”
“เพิ่มโอกาสในการก่อแก่นปราณ?” มั่วชิงเฉินพูดอย่างเหม่อลอย เมื่อนึกถึงว่าทำได้เพียงมอบน้ำตานี้ให้คนอื่น ก็ปวดใจจนแทบกระอักเลือด
ปีศาจปลาเกี่ยววิญญาณสาดเกลือใส่บาดแผลของมั่วชิงเฉินต่อว่า “ถูกต้อง สามารถเพิ่มประมาณสามส่วน”
“สามส่วน!” มั่วชิงเฉินกระอักเลือดแล้ว
ปีศาจปลาเกี่ยววิญญาณหัวเราะคิกคักขึ้นมา ไม่หยอกนางอีก “เจ้ามีเพลิงแก้วใจกระจ่างอยู่กับตัว หากข้าคาดไม่ผิด เจ้าน่าจะเชี่ยวชาญการหลอมโอสถกระมัง?”
พูดถึงที่สุด การที่มันรู้สึกดีต่อผู้บำเพ็ญเพียรที่หลอมโอสถได้จากจิตใต้สำนึก เพราะบุพเพของมันกับคนผู้นั้นถูกผูกไว้ด้วยกันเพราะสิ่งนี้เช่นนั้นหรือ?
มั่วชิงเฉินใจเย็นลง “ข้าน้อยรู้ทางแห่งการหลอมโอสถเพียงผิวเผินจริงๆ ทว่าโอสถทิพย์เฉพาะของตระกูลหวัง ข้าน้อยไม่มีวัตถุดิบ ยิ่งไม่มีเทียบโอสถ จึงเป็นได้เพียงสะใภ้ที่ต่อให้มีความสามารถก็หุงข้าวไม่ได้ถ้าไม่มีข้าวสาร[1]”
ปีศาจปลาเกี่ยววิญญาณยกมือขึ้น ฝาหอยขนาดเท่าจานหยกอันหนึ่งปรากฏขึ้นกลางอากาศ ต่อจากนั้นก็โยนม้วนคัมภีร์หยกมาม้วนหนึ่งอีก
“ท่านผู้อาวุโส หรือว่านี่ก็คือเทียบโอสถนั่น?” มั่วชิงเฉินร้องอย่างตกใจ นางไม่โง่ เพียงใช้จิตตระหนักกวาดม้วนคัมภีร์หยกปราดหนึ่งก็ดูออกว่าเป็นเทียบโอสถใบหนึ่ง และยามนี้ที่ปีศาจปลาเกี่ยววิญญาณให้ตนได้ ก็ควรจะเป็นเทียบโอสถของโอสถทิพย์ตระกูลหวังอย่างไม่ต้องสงสัย
ปีศาจปลาเกี่ยววิญญาณพยักหน้าว่า “ถูกต้อง เทียบโอสถนี้และเมล็ดหญ้าทิพย์ที่สำคัญในการหลอมโอสถทิพย์นี้ เดิมทีก็คือยามที่ผู้บำเพ็ญเพียรน้อยคนหนึ่งมาที่ข้านี่เมื่อพันปีก่อน ข้าเห็นเขาเจริญตาจึงมอบให้เขาตามสบาย ใครจะคิดว่าเขาจะตั้งรกรากอยู่ที่ทะเลขนาบใจนี่ อีกทั้งยังสร้างชนรุ่นหลังกลุ่มหนึ่งมาแก้เบื่อให้ข้าและคนในเผ่าเป็นระยะระยะ”
มั่วชิงเฉินพูดอะไรไม่ออก ปีศาจปลาเกี่ยววิญญาณนี่ตกลงมีของดีเท่าไรกันแน่ เทียบโอสถที่มอบให้คนอื่นตามสบาย ก็เป็นโอสถทิพย์ที่สามารถทะลวงเขตแดนเล็กได้ โอสถทิพย์เช่นนี้หากปรากฏในโลกบำเพ็ญเพียรเมื่อใดต้องแย่งกันหัวร้างข้างแตกเลยนะ
เมื่อคิดว่าไม่แน่ตนอาจหลอมโอสถทิพย์ที่เพิ่มโอกาสก่อแก่นปราณได้สามส่วนด้วยตนเองได้ มั่วชิงเฉินก็ตื่นเต้นอย่างบอกไม่ถูก
สามส่วนหรือนี่ ฟังแล้วไม่มาก ทว่าวางไว้ในเรื่องก่อแก่นปราณแล้วต้องเป็นข่าวที่น่าตกใจแน่ๆ ต้องรู้ว่าโอสถชำระโลกีย์ที่ผู้บำเพ็ญเพียรใช้ยามทะลวงระดับก่อแก่นปราณ ก็เหมือนกับโอสถสร้างรากฐานที่ผู้บำเพ็ญเพียรระดับหลอมลมปราณใช้สร้างรากฐาน นับว่าเป็นโอสถที่จำเป็นต้องเตรียมไว้ และก็เพิ่มโอกาสความสำเร็จได้เพียงหนึ่งส่วนเท่านั้น
ยามที่ผู้บำเพ็ญเพียรที่มีความสามารถหรือฐานะมั่งคั่งบางคนเตรียมตัวก่อแก่นปราณ นอกจากโอสถชำระโลกีย์แล้วยังค้นหาโอสถอื่นที่ช่วยในการก่อแก่นปราณหรือของวิเศษในฟ้าดิน ทว่าเท่าที่นางรู้ ของล้ำค่าที่พบได้ตามบุญวาสนาพวกนั้นสามารถเพิ่มโอกาสการก่อแก่นปราณได้ครึ่งส่วนก็ถือว่าไม่เลวแล้ว
มีโอสถทิพย์ที่สามารถเพิ่มโอกาสการก่อแก่นปราณสามส่วนแล้ว มั่วชิงเฉินเชื่อว่าต่อให้ด้วยพรสวรรค์สี่รากวิญญาณของตน การก่อแก่นปราณก็ไม่ใช่เรื่องเพ้อฝันอีกต่อไป
“เอาล่ะ เจ้าเสียเวลาอยู่ที่ข้านี่ไม่น้อยแล้ว ควรกลับไปแล้ว หวังว่าจะมีวันที่ได้พบกันอีก” ปีศาจปลาเกี่ยววิญญาณพูดพลางสะบัดข้อมือทีหนึ่ง
ตรงหน้ามั่วชิงเฉินปรากฏแสงสีขาวเรืองรองทันที ในยามที่สติสัมปชัญญะกำลังจะเลอะเลือน เสียงไพเราะของปีศาจปลาเกี่ยววิญญาณลอยมา “ใช่แล้ว ลืมบอกเรื่องหนึ่ง น้ำตาสองหยดนั้นหากเจ้าวางไว้ในตาตนเอง จากนี้ไปก็จะสามารถมองทะลุภาพมายาทุกอย่าง ตกลงจะเลือกทางไหน เจ้าตัดสินใจเอาเองแล้วกัน”
ด้านหนึ่งคือมองทะลุภาพมายาทั้งปวง ด้านหนึ่งคือโอสถที่เพิ่มโอกาสความสำเร็จในการก่อแก่นปราณสามส่วน มั่วชิงเฉินพร้อมด้วยความรู้สึกคิดไม่ตกหล่นลงในความมืดมิดทันที
บนเกาะเล็กกลางทะเลสาบ ผู้ชายสามคนยืนอยู่
คุณชายหกในชุดเขียวมองไปรอบๆ ปากพึมพำว่า “เหตุใดแม่นางมั่วยังไม่ออกมาอีก?”
คุณชายสิบเจ็ดหัวเราะว่า “นางอาจออกมาไม่ได้แล้วก็ได้นะ”
คุณชายหกแสดงสีหน้าโกรธทันที “เจ้ายังออกมาได้ เหตุใดแม่นางมั่วจะออกมาไม่ได้?” ในที่สุดก็ไม่ปิดบังความดูแคลนในน้ำเสียงอีกต่อไป
“เจ้า!” ไม่มีคนนอกอยู่ด้วย คุณชายสิบเจ็ดก็ขี้เกียจรักษากิริยาเช่นกัน กรรไกรใหญ่ในมือสำแดงออกมา
คุณชายสี่ตะโกนห้ามว่า “พวกเจ้าไม่ต้องเถียงกันแล้ว พวกเรารอแม่นางมั่วอีกครึ่งชั่วยาม”
ทั้งสามคนนิ่งเงียบชั่วครู่ จู่ๆ คุณชายสี่ก็ว่า “น้องหก มีเรื่องหนึ่งข้าอยากปรึกษาเจ้าสักหน่อย”
คุณชายหกชะงักเล็กน้อย จากนั้นว่า “พี่สี่เชิญพูด”
คำพูดที่กำลังจะหลุดปากหมุนอยู่ที่ปลายลิ้นคุณชายสี่รอบหนึ่ง เขายังคงทนไม่ไหวพูดออกมาว่า “แม่นางมั่วคนนั้น…เจ้าชอบหรือไม่?”
คุณชายหกโคนหูแดงก่ำ โกรธเล็กน้อยว่า “พี่สี่เจ้าหมายความว่าอย่างไร หวังหกแม้ไม่เอาไหน กลับไม่ใช่คนจาบจ้วงเสเพลเช่นนั้น”
คุณชายสิบเจ็ดพูดแทรกว่า “คนหนุ่มคนไหนไม่มากรักบ้าง เกิดความรู้สึกรักชอบต่อหญิงสาวนางหนึ่ง จะนับว่าจาบจ้วงได้เช่นไร?”
คุณชายหกพูดสู้สองคนไม่ได้ โมโหว่า “เอาเป็นว่าข้าไม่มีความรู้สึกอื่นกับแม่นางมั่วก็แล้วกัน!”
คุณชายหกตบมือว่า “เช่นนั้นก็ดี!”
คุณชายหกชะงัก “พี่สี่เจ้าคิดจะทำอะไร?”
คุณชายสี่เหลือบมองคุณชายสิบเจ็ดปราดหนึ่ง คุณชายสิบเจ็ดรับว่า “พี่หก พี่สี่ถูกใจแม่นางมั่วเข้าแล้ว”
คุณชายหกตกใจหน้าถอดสีทันที “พี่สี่ เจ้า เจ้าคิดมิดีมิร้ายกับแม่นางมั่วได้เช่นไร!”
คุณชายสี่หน้าบึ้งลง “น้องหกพูดเกินไปแล้ว ข้ารักชอบแม่นางมั่วจากใจจริง อยากเป็นสามีภรรยาร่วมบำเพ็ญเพียรคู่ด้วยกัน จะบอกว่าคิดมิดีมิร้ายได้เช่นไร?”
“เป็นสามีภรรยา? อนุเจ้าก็มีตั้งเจ็ดแปดคน ยังไม่นับประเภทต้นห้องกับหรูติ่งอีก” คุณชายหกทนไม่ไหวว่า ตีให้ตายเขาก็ไม่เชื่อว่าหวังสี่จะจริงใจต่อแม่นางมั่ว
คุณชายสี่หัวเราะฟู่ว่า “น้องหกเจ้ายังเด็กจริงๆ อนุพวกนั้นไม่ได้แต่งงานถูกต้องตามประเพณีเสียหน่อย คิดมากไปไย ถึงเวลาไล่ไปก็สิ้นเรื่อง ในเมื่อเจ้าไม่ได้คิดอะไรกับแม่นางมั่ว เหตุใดถึงมีปฏิกิริยารุนแรงเช่นนี้ กับเรื่องที่ข้าคิดจะขอนางแต่งงาน?”
หากไม่เพราะกำลังสู้ไม่ได้ คุณชายหกแทบอยากจะตัดลิ้นคุณชายสี่ออกมา โกรธว่า “ไล่ไป? เช่นนั้น เช่นนั้นนางจะทำเช่นไร? ยิ่งกว่านั้นเจ้าคิดจะขอแต่งงาน ก็ต้องดูว่าแม่นางมั่วเต็มใจหรือไม่!”
“น้องหก เจ้าและแม่นางมั่วมีสัมพันธ์กันอยู่บ้าง ขอเพียงเจ้าเชิญแม่นางมั่วไปเป็นแขกที่ตระกูลหวังของเรา ข้าย่อมมีวิธีขอให้นางเห็นด้วย” ในที่สุดคุณชายสี่ก็พูดแผนการออกมา
“เป็นไปไม่ได้!” คุณชายหกปฏิเสธอย่างเด็ดขาด
คุณชายสิบเจ็ดหัวเราะแหะๆ ว่า “พี่หก เจ้านี่ช่างสมองทึ่มทื่อจริงๆ พี่สี่แต่งงานกับแม่นางมั่วแล้ว ก็จะไล่สาวๆ พวกนั้นไป ถึงเวลาเจ้าก็ได้สมดังใจแล้วมิใช่หรือ?”
คุณชายสี่พยักหน้าว่า “ถูกต้อง น้องหก ขอเพียงเจ้าช่วยครั้งนี้ ข้าก็จะมอบหนิงโหรวให้เจ้า”
คุณชายหกหน้าบึ้งจนน่าตกใจ ตะคอกว่า “ไร้ยางอายสิ้นดี!” พูดพลางอัญเชิญง่ามปลาออกมา แทงไปที่คุณชายสี่
พระจันทร์เสี้ยววงหนึ่งบินออกทันที ชนเข้ากับง่ามปลา แสงวิญญาณกระเด็นไปทั่วคุณชายหกถอยหลังไปหลายก้าวอย่างทุลักทุเล สีหน้าซีดเซียว
ในยามนี้เองมั่วชิงเฉินปรากฏขึ้นกลางอากาศ เห็นสถานการณ์นี้แล้วถามอย่างสงสัยว่า “สามท่านนี่เป็นอะไรไป?”
“ไม่มีอะไร แม่นางมั่วไม่ปรากฏตัวเสียที พวกเราฆ่าเวลาเท่านั้น” คุณชายสี่เอ่ยอย่างหน้าไม่เปลี่ยนสี แล้วมองคุณชายหกปราดหนึ่งเป็นการเตือน
มั่วชิงเฉินมองดูสีหน้าซีดเซียวของคุณชายหก เป็นห่วงว่า “คุณชายหก เจ้าไม่เป็นไรนะ?”
คุณชายหกมองมั่วชิงเฉินปราดหนึ่งด้วยสีหน้าซับซ้อน แล้วส่ายศีรษะ
ทั้งสี่คนออกจากเกาะเล็กกลางทะเลสาบ มั่วชิงเฉินพบว่าข้อจำกัดต่างๆ ยามมาบัดนี้ล้วนหายไปสิ้น พวกเขากลับมาถึงผิวทะเลอย่างรวดเร็ว แล้วนั่งเรือบินจากไป
ไม่นานนัก คนทั้งหมดก็ร่อนลงที่เกาะเล็กที่ทั้งสองฝ่ายพบเจอกันตอนนั้น มั่วชิงเฉินกวาดสายตามองคุณชายหกปราดหนึ่งอย่างแปลกใจ
คุณชายหกว่า “แม่นางมั่ว ยังจำเกาะชี้นำที่ข้าพูดกับเจ้าได้หรือไม่ มันต้องถึงเดือนสามปีหน้าถึงจะลอยขึ้นผิวทะเล”
มั่วชิงเฉินเข้าใจแล้ว ก็หมายความว่า นางจะต้องอยู่บนเกาะเล็กๆ ที่ไก่ไม่ถ่ายนกไม่ออกไข่[2]ไปหลายเดือนกับสามคนนี้
——
[1] สะใภ้ที่มีความสามารถก็หุงข้าวไม่ได้ถ้าไม่มีข้าวสาร เป็นการเปรียบเทียบว่า ต่อให้คนที่เก่งกาจแค่ไหน หากขาดเงื่อนไขที่จำเป็น ก็ยากจะทำงานให้ดีได้
[2] ไก่ไม่ถ่ายนกไม่ออกไข่ หมายถึง สถานที่ที่ห่างไกลผู้คน กันดาร จนไม่มีใครไปอยู่