พันธกานต์ปราณอัคคี - ตอนที่ 173 สิ่งที่สุภาพบุรุษพึงกระทำ
ผ่านเกาะชี้นำที่โผล่พ้นผิวทะเล การเดินทางกลับก็ง่ายขึ้นมากแล้ว ใช้เวลาเพียงไม่กี่วัน เกาะใจศักดิ์สิทธิ์ก็ปรากฏขึ้นต่อหน้าทุกคน
เห็นเกาะใจศักดิ์สิทธิ์ สีหน้าทุกคนปรากฏความปีติ คุณชายสี่หันหน้าบอกมั่วชิงเฉินว่า “แม่นางมั่ว นี่ก็คือเกาะใจศักดิ์สิทธิ์ที่ตระกูลหวังเราตั้งอยู่ ไม่ทราบแม่นางมั่วจะให้เกียรติไปพักที่ตระกูลหวังเราช่วงสั้นๆ ได้หรือไม่?”
เสวนากับคนคนนี้มานานถึงเพียงนี้ มีเพียงประโยคนี้ที่ถูกใจมั่วชิงเฉินนัก ถึงแม้ใช้นิ้วเท้าก็คิดได้ว่าคุณชายสี่ผู้นี้ต้องคิดมิดีมิร้ายต่อตนเป็นแน่ก็ตาม
ที่จริงเขาคาดหวังสิ่งใดมั่วชิงเฉินก็คิดออก จะมีอะไรนอกจากอยากบำเพ็ญเพียรคู่กับตนเท่านั้นแล
แน่นอนนางย่อมไม่หลงตัวเองถึงขั้นคิดว่าตนเป็นคนที่ใครเห็นใครรักดอกไม้เห็นยังผลิบานอยู่แล้ว สาเหตุที่คุณชายสี่อยากบำเพ็ญเพียรคู่กับตนมองปราดเดียวก็เข้าใจแจ่มแจ้ง มันคือการถูกตาต้องใจฐานะผู้บำเพ็ญเพียรระดับสร้างรากฐานของตนอยู่แล้ว
จากคำพูดไม่กี่คำของทุกคนก็สามารถรู้ได้ว่า ในเรือนคุณชายสี่ผู้นี้มีหญิงสาวอยู่ไม่น้อย ทว่าเห็นได้ชัดว่าเขาไม่ใช่คนหลงใหลอิสตรีมักมากในกาม กลับกันกลับเป็นคนประเภทเพื่อหนทางแห่งอายุยืนยาวแล้วไม่เลือกวิธีการต่างหาก
เช่นนี้ก็สรุปได้แล้วว่า คุณชายสี่ต้องเคยฝึกเคล็ดวิชาบำเพ็ญเพียรคู่บางสิ่งมาก่อน ถึงต้องการหญิงสาวมากเพียงนี้มาให้เขาใช้ในการบำเพ็ญเพียร
ความเร็วในการบำเพ็ญเพียรคู่ปกติเร็วกว่าการบำเพ็ญเพียรโดยลำพังไม่น้อย และหากอยากได้ประโยชน์ที่มากยิ่งขึ้น เช่นนั้นตบะของคู่ในการบำเพ็ญเพียรคู่ย่อมยิ่งสูงยิ่งดี
ในเมื่อมั่วชิงเฉินคิดจะไปตระกูลหวังสักครั้ง ย่อมเป็นไปไม่ได้ที่จะไม่เตรียมตัวเลย นางกำลังจะพยักหน้าตอบรับ คุณชายหกกลับแย่งพูดก่อนว่า “พี่สี่ ข้าและแม่นางมั่วยังมีธุระต้องไปเกาะสดับมุกสักครั้ง ขอตัวก่อนแล้ว” พูดจบก็ไม่รอให้คุณชายสี่ตอบ บังคับเรือบินเหินหาวไปแล้ว
“พี่สี่ จะทำเช่นไรดี?” คุณชายสิบเจ็ดถาม
คุณชายสี่สีหน้าบึ้งตึงจ้องทิศทางที่คุณชายหกจากไป ฮึเสียงเย็นว่า “ในเมื่อแม่นางมั่วยังมีธุระ พวกเราย่อมต้องรอให้นางทำธุระให้เสร็จก่อนค่อยเชื้อเชิญแม่นางมั่วมาเป็นแขกแล้ว”
คุณชายสิบเจ็ดร้อนใจว่า “พี่สี่ ท่านเชื่อคำพูดของหวังหกจริงหรือนี่ หากเขาบอกความจริงแก่แม่นางมั่วจะทำเช่นไรดี?”
คุณชายสี่หัวเราะฟู่ว่า “นั่นจะเป็นไรไป ในเมื่อแม่นางมั่วอยู่ทะเลขนาบใจ ยังสามารถบินออกจากฝ่ามือข้าได้เช่นนั้นหรือ?”
อีกด้านหนึ่ง มั่วชิงเฉินมองคุณชายหกใช้กำลังทั้งหมดที่มีเร่งเรือบินให้บินจากไปเร็วเหมือนดาวตกอย่างเหลอหลา ไม่รู้ตกลงเขาเป็นอะไรกันแน่ ไม่พูดถึงที่ปฏิบัติกับตนเดี๋ยวร้อนเดี๋ยวเย็นชา ยังทำเรื่องที่เหนือความคาดหมายเช่นนี้อีก
“คุณชายหก?” เหล่สีหน้าเย็นชาของคุณชายหกไปพลาง มั่วชิงเฉินเรียกอย่างหยั่งเชิงคำหนึ่ง
เรือบินหยุดลงโดยพลัน ลอยอยู่กลางอากาศ คุณชายหกมองมั่วชิงเฉินโดยไม่พูดอะไรสักคำ
มั่วชิงเฉินประสานสายตากับเขาอย่างสงบ รอเขาอธิบาย
ผ่านไปเนิ่นนาน ในที่สุดคุณชายหกก็เปิดปาก เอ่ยเสียงทุ้มต่ำว่า “แม่นางมั่ว ในเมื่อเจ้าได้ถุงหอมแล้ว ก็รีบจากไปเถอะ”
“จากไป?” มั่วชิงเฉินถามกลับ ไม่ค่อยเข้าใจความหมายของคุณชายหก
คุณชายหกมองดูหญิงสาวตรงหน้า แม้ผมด้านหน้าบังใบหน้าไปครึ่งใหญ่ กลับปิดความเฉลียวฉลาดมีชีวิตชีวาที่มีตามธรรมชาติไม่ได้ ลักษณะเลอะเลือนเล็กน้อยยิ่งทำให้นางดูเหมือนแม่นางน้อยที่ไม่รู้ประสีประสาเรื่องทางโลก
ไม่รู้เพราะเหตุใด คุณชายหกรู้สึกหงุดหงิด ตะโกนอย่างไม่อาจบังคับตนเองได้ว่า “ใช่น่ะสิ จากไป จากทะเลขนาบใจของเราไป เจ้าฟังไม่เข้าใจหรือไร?”
มั่วชิงเฉินเบิกตากว้างขึ้นแผ่วเบา เขา…เขาเป็นอะไรกันแน่?
แม้จะบอกว่าท่าทางเช่นนี้ของเขากลับดูจริงใจกว่าเมื่อเทียบกับรอยยิ้มที่มีมารยาทและเกรงใจก่อนหน้า ทว่าเห็นชัดว่ามั่วชิงเฉินไม่รู้สึกว่าทั้งสองคนสนิทกันถึงขั้นนี้แล้ว
คงเพราะได้ระบายอารมณ์ออกมา เห็นมั่วชิงเฉินนิ่งเงียบไม่พูด คุณชายหกค่อยๆ สงบลง เสียงแหบเล็กน้อยว่า “แม่นางมั่ว ขอโทษด้วย ข้าไม่ควรพูดกับเจ้าเช่นนี้”
“คุณชายหก เจ้ามีความในใจ?” มั่วชิงเฉินถามเสียงเบาว่า ไม่ใช่นางสอดรู้สอดเห็น หากแต่ท่าทางเขาเช่นนี้มันผิดปกติจริงๆ
คุณชายหกขมวดคิ้วแน่น ในที่สุดก็พูดออกมา “แม่นางมั่ว เจ้าฟังที่ข้าเกลี้ยกล่อมสักคำ รีบไปเถอะ ยิ่งเร็วยิ่งดี มิเช่นนั้นเกรงว่าจะไม่ทันการแล้ว”
มั่วชิงเฉินเม้มปาก “คุณชายหก เจ้าพูดเช่นนี้หมายความเช่นไร?”
คุณชายหกกัดฟันว่า “หวังสี่เขาคิดแผนร้ายกับเจ้า ดังนั้นตระกูลหวังไม่เพียงแต่เจ้าไปไม่ได้ ต่อให้เป็นทะเลขนาบใจก็อยู่ต่อไม่ได้แล้ว มิเช่นนั้นด้วยอิทธิพลของเขา ต่อให้เจ้าไม่ยินยอมเขาก็จะ…”
พูดถึงตรงนี้สุดท้ายก็ยากจะเอ่ยปากต่อได้ มองมั่วชิงเฉินอย่างลำบากใจปราดหนึ่ง กลับพบว่านางหน้าไม่เปลี่ยนสีอย่างคาดไม่ถึง จึงอดตกใจไม่ได้ว่า “แม่นางมั่ว?”
มั่วชิงเฉินรู้สึกอบอุ่นในใจเล็กน้อย เผยรอยยิ้มจริงใจออกมาว่า “คุณชายหก ชิงเฉินขอขอบคุณที่เจ้าเตือน ณ ที่นี้แล้ว ทว่าแผนการของคุณชายสี่ ข้าก็พอเดาได้บ้าง”
ชิงเฉิน ที่แท้ชื่อของนางคือมั่วชิงเฉิน ช่างสมชื่อจริงๆ ความคิดนี้แวบผ่านในใจคุณชายหกไป แล้วเอ่ยอย่างร้อนรนว่า “แม่นางมั่ว หวังสี่เขาไม่ได้ชอบเจ้าจากใจจริง เขา…”
“เขาหมายตาตบะของข้าไว้สินะ?” มั่วชิงเฉินรับคำนิ่งเรียบ นี่ไม่ใช่หัวข้ออะไรที่จะทำให้คนดีใจได้จริงๆ
“เจ้า เจ้ารู้?” คุณชายหกเอ่ยอย่างเหลอหลา
มั่วชิงเฉินหัวเราะฟู่ออกมา นางแน่ใจได้เลยว่าในด้านนี้คุณชายหกทึ่มทื่อเป็นอย่างมาก จึงหัวเราะว่า “พี่สี่เจ้าคนนั้นในใจวางแผนอะไรไว้ แทบจะเขียนอยู่บนหน้าแล้ว ข้าไม่ได้ตาบอดเสียหน่อย”
“เช่นนั้นเหตุใดเจ้าไม่รีบจากไป?” พูดถึงตรงนี้คุณชายหกมองมั่วชิงเฉินอย่างประหลาดปราดหนึ่งว่า “เจ้าคงไม่ คงไม่ถูกใจ…”
มั่วชิงเฉินกระตุกมุมปาก รีบเอ่ยว่า “คุณชายหกเจ้าอย่าคิดมาก ที่ข้าไม่รีบจากไป ความจริงคือ…มีเหตุผลจำเป็นที่ต้องไปตระกูลหวังของพวกเจ้าสักครั้ง”
ทีนี้คุณชายหกไม่เข้าใจโดยสิ้นเชิงแล้ว “แม่นางมั่ว ถุงหอมเจ้าก็ได้ไปแล้ว…”
มั่วชิงเฉินมองคุณชายหก ในใจคิดไม่ตก ไม่รู้ว่าตกลงควรพูดออกมาหรือไม่
“แม่นางมั่ว เจ้ามีเหตุผลอะไรกันแน่ถึงต้องไปตระกูลหวังเราให้ได้?” คุณชายหกเอ่ยอย่างร้อนใจเล็กน้อย
มั่วชิงเฉินมองดูความร้อนใจที่เผยออกมาบนใบหน้าคุณชายหก ในใจแอบคิดว่า เขาน่าจะเชื่อใจได้กระมัง ไม่แน่อาจจะกลายเป็นกำลังสนับสนุนเพียงหนึ่งเดียวของตนตอนที่อยู่ตระกูลมั่วก็ได้นะ?
นึกถึงตรงนี้มั่วชิงเฉินถอนใจเบาๆ เสียงหนึ่ง เอ่ยเบาๆ ว่า “หญิงสาวคนนั้น…ชื่อมั่วหนิงโหรวสินะ?”
“เจ้าว่าอะไรนะ?” คุณชายหกตกใจหน้าถอดสี อดจับแขนมั่วชิงเฉินไว้ไม่ได้
มั่วชิงเฉินดึงแขนออกมาอย่างไม่กระโตกกระตาก มองออกไปไกล “ข้าบอกว่า วันนั้นหญิงสาวที่ปรากฏในแดนครึ่งจริงครึ่งมายา ชื่อมั่วหนิงโหรวใช่หรือไม่?”
“เหตุใจเจ้า รู้ได้เช่นไร?” น้ำเสียงของคุณชายหกตื่นเต้นอยู่บ้าง อ้อมไปที่ทิศทางที่มั่วชิงเฉินมองไปแล้วจ้องหน้านางตรงๆ
มั่วชิงเฉินยิ้มอย่างขมขื่นทีหนึ่ง “เพราะว่า นางคือพี่สาวที่พลัดพรากจากกันนานหลายปีของเข้า หน้าตาของนางเหมือนมารดาของนางเหมือนโขกกันออกมา”
นี่ก็คือสาเหตุที่นางและมั่วหนิงโหรวไม่ได้พบกันยี่สิบกว่าปี วันนั้นกลับจำได้ในปราดเดียว
มั่วหนิงโหรวและมั่วหร่านอีแม้เป็นพี่น้องร่วมมารดาเดียวกัน หน้าตากลับต่างกันอย่างมาก
มั่วหร่านอีหยาดฟ้ามาดิน พี่แปดเคยบอกว่าแม้นางอายุยังน้อยรูปโฉมกลับมีชื่อเสียงในสี่ตระกูลใหญ่ ส่วนพี่สิบสี่มั่วหนิงโหรวแม้ก็เป็นคนงามแต่กำเนิด กลับไม่ใช่งามแบบตกตะลึงเช่นนั้น หากแต่เป็นความงามเหมือนสายฝนที่ทำให้สรรพสิ่งชุ่มชื้นอย่างเงียบๆ ก็เหมือนสาวงามในที่เล็กๆ ประเภทนั้น น่ารักน่าเข้าหา
ท่านป้าสามของมั่วชิงเฉิน หรือก็คือมารดาของมั่วหนิงโหรว ก็มีลักษณะเช่นนั้นแล
“นี่ นี่จะเป็นไปได้เช่นไร?” คุณชายหกเอ่ยอย่างไม่อยากจะเชื่อ
มั่วชิงเฉินไม่รู้ว่าระหว่างคุณชายหกและพี่สิบสี่มีความเกี่ยวข้องอะไรกันแน่ ทว่าในเมื่อเปิดอกพูดออกมาแล้ว เรื่องบางเรื่องจะไม่ถามก็ไม่ได้แล้ว “คุณชายหก เจ้าบอกข้าได้หรือไม่ พี่สิบสี่ข้ามาถึงตระกูลหวังของพวกเจ้าได้เช่นไร?”
คุณชายหกนิ่งเงียบชั่วครู่ แล้วนั่งลงมา “แม่นางมั่ว เรานั่งลงพูดเถอะ”
ทั้งสองคนนั่งอยู่บนเรือบินที่ลอยอยู่กลางอากาศด้วยกัน ลมฤดูใบไม้ผลิเดือนสามยังคงแฝงไว้ด้วยความหนาวเย็น มั่วชิงเฉินดึงแขนเสื้อให้มิด
“หญิงสาวที่มีรากวิญญาณในทะเลขนาบใจมีน้อยมาก ส่วนผู้บำเพ็ญเพียรก็น้อยนักที่จะยอมผูกสัมพันธ์กับหญิงสาวธรรมดา ข้อนี้แม่นางมั่วคงเข้าใจกระมัง?” คุณชายหกเปิดปากอย่างเนิบๆ
มั่วชิงเฉินพยักหน้า เป็นเพียงที่ทะเลขนาบใจที่เดียวซะที่ไหน ต่อให้เป็นดินแดนเทียนหยวน ผู้บำเพ็ญเพียรก็ผูกสัมพันธ์กับผู้บำเพ็ญเพียรด้วยกันเองเช่นกัน แน่นอนเป็นการคิดเพื่อชนรุ่นหลัง
คุณชายหกยิ้มระทมทีหนึ่ง “ตระกูลหวังเราอยู่ที่ทะเลขนาบใจมานับพันปี ที่นี่แม้ขาดแคลนทรัพยากร กลับเพียงพอให้ตระกูลหนึ่งสืบลูกสืบหลานที่นี่ได้ ในตระกูลมีผู้บำเพ็ญเพียรไม่น้อย ทว่าหากพวกเขาคิดจะหาคู่ที่เหมาะสมกลับยากลำบากมาก ผู้อาวุโสในตระกูลใช้วิธีอะไรข้าไม่อาจรู้ได้ รู้เพียงว่าผ่านไปทุกยี่สิบปี ก็จะมีคนพาเด็กผู้หญิงที่พรสวรรค์ไม่เลวกลุ่มหนึ่งส่งมาถึงตระกูลหวัง โหรวเอ๋อร์ก็มาตระกูลหวังด้วยวิธีนี้”
มั่วชิงเฉินในใจบีบรัดคราหนึ่ง หรือว่าในปีนั้นพี่สิบสี่ถูกลักมาที่นี่?
จึงหยั่งเชิงทันทีว่า “คุณชายหก ดูท่าทางเจ้าและพี่สิบสี่ข้าความสัมพันธ์ไม่เลว?”
คุณชายหกชะงักทีหนึ่ง รู้ว่ามั่วชิงเฉินเป็นหญิงสาวที่คิดอะไรได้ทะลุปรุโปร่ง จึงพูดตรงๆ ว่า “ข้าจำได้ว่ายามที่พบโหรวเอ๋อร์ครั้งแรก นางยังเป็นแม่นางน้อยอายุแปดเก้าขวบ ยามนั้นข้าเพิ่งสร้างรากฐานได้ไม่นาน นางถูกแบ่งมาดูแลความเป็นอยู่ของข้า…”
ในใจถอนใจว่า ยามนั้นตนเองช่างโง่จริงๆ ก้มหน้าก้มตาบำเพ็ญเพียรตลอด กระทั่งไม่รู้ว่านางเป็นเด็กหญิงที่ในตระกูลซื้อมาเลี้ยงต้อย ส่วนหลังจากนั้นกลับอะไรๆ ล้วนสายไปหมดแล้ว…
รู้ถึงสาเหตุที่มั่วหนิงโหรวมาทะเลขนาบใจ มั่วชิงเฉินไม่อยากซักไซ้ไล่เลียงต่อไป เรื่องบางเรื่อง ปล่อยให้พี่สิบสี่บอกนางด้วยตนเองดีกว่า จึงเอ่ยว่า “คุณชายหก รบกวนเจ้าพาข้าไปตระกูลหวังด้วยเถอะ”
“แม่นางมั่ว ในเมื่อเจ้ารู้แผนการของหวังสี่แล้ว หากยังไปตระกูลหวังละก็ไม่ต่างอะไรกับเนื้อเข้าปากเสือ ส่วนโหรวเอ๋อร์เกรงว่านางก็คงไม่ยอมให้เจ้าไปเสี่ยงอันตรายเพราะนาง ยิ่งกว่านั้นเจ้าลำพังตัวคนเดียว ต่อให้มีความคิดอะไรก็ยากจะทำให้เป็นจริงได้” คุณชายหกเกลี้ยกล่อมว่า
ฟังออกถึงความหมายในคำพูดของคุณชายหก มั่วชิงเฉินยิ้มว่า “คุณชายหก ที่เจ้าพูดข้าเข้าใจ ทว่ามีคำพูดประโยคหนึ่งคิดว่าเจ้าก็เคยได้ยิน สุภาพบุรุษมีสิ่งที่พึงกระทำ มีสิ่งที่ไม่พึงกระทำ ชิงเฉินแม้เป็นเพียงหญิงสาวคนหนึ่ง รับหน้าที่สำคัญจากสวรรค์ไม่ไหว ทว่ารู้ว่าญาติมิตรอยู่ในความลำบาก กลับไม่อาจทำเป็นไม่รู้เรื่องได้”
หลังจากนั้นครึ่งวัน หน้าประตูใหญ่ของตระกูลหวังเกาะใจศักดิ์สิทธิ์คนสองคนค่อยๆ ร่อนลง ชายหนุ่มชุดเขียว สง่าผ่าเผย หญิงสาวชุดกระโปรงสีเขียวมรกต งามหมดจดไม่ธรรมดา สองคนยืนเคียงไหล่กัน เหมาะสมดังกิ่งทองใบหยก
เด็กรับใช้สองคนหน้าประตูเข้าไปคารวะว่า “คุณชายหก” พูดพลางแอบเหล่หญิงสาวข้างๆ ปราดหนึ่ง
คุณชายหกพยักหน้าแผ่วเบา ยื่นมือว่า “แม่นางมั่วเชิญ”
สองคนก้าวเท้าเข้าไป เด็กรับใช้คนหนึ่งบอกอีกคนหนึ่งว่า”เจ้าเฝ้าอยู่นี่ ข้าไปรายงานคุณชายสี่”
เด็กรับใช้อีกคนหนึ่งมองเด็กรับใช้ที่ทะยานเข้าไปในลานบ้านอย่างคึกคัก แล้วแบะปาก ฮึเสียงเย็นว่า “เจอเรื่องดีๆ ที่จะได้รางวัล วิ่งเร็วกว่าใครเพื่อนเลย”
ยามนี้ผู้ชายแต่งตัวเหมือนเด็กรับใช้คนหนึ่งเดินออกมา หากมั่วชิงเฉินอยู่ต้องจำได้แน่นอน คนคนนี้ไม่คิดเลยว่าจะเป็นหยางปี้อู่ที่เก็บมุก
หยางปี้อู่ถามเด็กรับใช้ที่เฝ้าอยู่ว่า “พี่จาง เป็นอันใดหรือ?”
เด็กรับใช้คนนั้นบุ้ยปากว่า “ก็คุณชายสี่กำชับไว้น่ะสิ เห็นคุณชายหกกลับมาแล้วให้รีบไปส่งข่าว แหะๆ คุณชายสองท่านแย่งหญิงสาวคนเดียวกัน ที่นี่มีหนังสนุกให้ดูแล้ว”
หยางปี้อู่เออออห่อหมกตามไม่กี่คำ แล้วเดินกลับไปอย่างไม่กระโตกกระตาก
ด้านนั้นคุณชายสี่ได้ข่าว รู้สึกค่อนข้างเหนือความคาดหมาย เดิมทีเขาจัดเตรียมคนเฝ้าไว้ที่เกาะสดับมุก คอยรายงานความเคลื่อนไหวของมั่วชิงเฉินตลอดเวลา กลับไม่เห็นมีคนมาเสียที ใครจะคิดว่าหวังหกกลับกลับมาพร้อมแม่นางมั่วแล้ว หรือว่าในนี้มีเรื่องผิดปกติอะไร?
“พี่สี่ เป็นอันใดหรือ?” คุณชายสิบเจ็ดถามว่า
คุณชายสี่หัวเราะว่า “มีแขกสำคัญมาเยือน ย่อมต้องทำหน้าที่เจ้าบ้านให้เต็มที่น่ะสิ ไป”