พันธกานต์ปราณอัคคี - ตอนที่ 184 เหยื่อล่อมหึมา
มั่วชิงเฉินคิดไม่เข้าใจจริงๆ ก่อนหน้านี้แม้นางโยนคุณชายสี่ลงพื้นทีหนึ่ง กลับควบคุมความแรง ที่สำคัญเพราะร่างกายคุณชายสี่สูญเสียการปกป้องจากพลังวิญญาณจึงอ่อนแอลงมาก ทนการกระแทกไม่ไหวถึงหมดสติไป ทว่าตามที่นางคาดคะเน ไม่เกินหนึ่งชั่วยามคุณชายสี่ก็จะฟื้นขึ้นมาเอง ทว่าบัดนี้หลังจากนางตรวจดูถึงพบว่าคุณชายสี่ลมหายใจสงบนิ่ง ในร่างกายไม่มีอาการบาดเจ็บใดๆ หากจะพูดว่าหมดสติ ไม่สู้พูดว่าหลับไปจะดีกว่า
“ท่านหัวหน้าตระกูล ท่านดูนางยังมีสิ่งใดจะพูดอีก!” ผู้เฒ่าสามพูดด้วยสีหน้าอึมครึม
หัวหน้าตระกูลหวังตรวจสถานการณ์ของคุณชายสี่อีกทีเช่นกัน จ้องมั่วชิงเฉินด้วยสีหน้าคาดเดาไม่ถูก “แม่นางมั่ว เรื่องมาถึงขั้นนี้ เกรงว่าเจ้าต้องให้คำตอบตระกูลหวังเราเสียหน่อย ตระกูลหวังเราแม้เป็นตระกูลเล็กๆ กลับไม่อาจปล่อยให้คนมารังแกถึงบ้านได้”
สถานการณ์ที่คาดไม่ถึงของคุณชายสี่ออกจะเหนือความคาดหมายของมั่วชิงเฉิน ทว่านางยังคงถามด้วยสีหน้าเงียบสงบว่า “ไม่ทราบหัวหน้าตระกูลหวังอยากให้ผู้น้อยให้คำตอบเช่นไร?”
หัวหน้าตระกูลหวังมองดูมั่วชิงเฉิน ในตาเหมือนทอดถอนใจว่า “ตระกูลหวังเราไม่เข้าข้างกันอย่างไม่ลืมหูลืมตา ในเมื่อหวังสี่ล่วงเกินแม่นางมั่วอยู่ก่อน หากแม่นางมั่วสามารถทำให้เขาฟื้นมาได้ เรื่องนี้ก็ให้จบกันแค่นี้ หากหวังสี่ไม่ฟื้นขึ้นมาตลอดล่ะก็ ก็ได้แต่ให้แม่นางมั่วทนลำบากอยู่ตระกูลหวังแล้ว”
ความหมายนี้ก็คือจะกักขังนางแล้วเช่นนั้นหรือ? มั่วชิงเฉินแอบคิด
แล้วก็ได้ยินผู้เฒ่าสามฮึเสียงเย็นชาเสียงหนึ่ง “ท่านหัวหน้าตระกูล นี่ไม่สบายนางเด็กบ้านี่เกินไปซะหน่อยหรือ หวังสี่เป็นลูกหลานที่โดดเด่นที่สุดในรุ่นพวกเขาเชียวนะ เป็นคนที่มีความหวังที่สุดที่จะกลายเป็นผู้บำเพ็ญเพียรระดับก่อแก่นปราณคนที่สามในตระกูลหวัง หากถูกนางหนูนี่ทำลายแล้ว การลงโทษเช่นนี้ไม่ใช่สบายนางเกินไปหรอกหรือ!”
“เช่นนั้นตามความหมายของท่านผู้เฒ่าสามคือ?” หัวหน้าตระกูลหวังถาม ในใจกลับถอนใจเสียงหนึ่ง ผู้เฒ่าสามอยู่ที่ทะเลขนาบใจมานาน นิสัยความคิดหลีกเลี่ยงไม่ได้ที่จะสุดโต่งเกินไปสักหน่อย ไม่เข้าใจเหตุผลที่ว่าไม่ว่าเรื่องใดๆ ในโลกต้องเผื่อเหลือเผื่อขาดไว้บ้าง
ผู้เฒ่าสามตาเหยี่ยวฉายแสงเย็นเยียบ “ฆ่าคนชดใช้ชีวิตติดเงินใช้หนี้เป็นเหตุผลมาแต่โบราณ นางหนูนี่ทำลายหวังสี่ ย่อมต้องเอาชีวิตมาชดใช้ ทว่าในเมื่อหวังสี่ทำผิดอยู่ก่อน เช่นนั้นจึงให้ทางเลือกนางทางหนึ่ง ข้าดูนางอายุน้อยๆ กลับมีตบะระดับสร้างรากฐานระยะกลาง อีกทั้งยังสามารถกำราบหวังสี่อย่างง่ายดาย คิดว่าพรสวรรค์คงไม่เลว หากสามารถให้กำเนิดชนรุ่นหลังที่มีรากวิญญาณไม่เลวสักคนหนึ่งล่ะก็ เช่นนั้นก็ไว้ชีวิตนางสักครั้ง”
มั่วชิงเฉินเบิกตากว้างด้วยความตกตะลึง นางไม่อยากเชื่อจริงๆ ว่าผู้บำเพ็ญเพียรระดับก่อแก่นปราณท่านหนึ่งจะสามารถพูดเช่นนี้ออกมาได้ต่อหน้าผู้คน
หัวหน้าตระกูลหวังเพ่งพิศมั่วชิงเฉิน ทันใดนั้นรู้สึกว่าข้อเสนอข้อสองของผู้เฒ่าสามไม่เลวยิ่งนัก ทั้งไม่ต้องเอาชีวิตมั่วชิงเฉินล่วงเกินพรรคเหยากวง ยังสามารถเพิ่มชนรุ่นหลังที่มีรากวิญญาณคนหนึ่งให้ตระกูลหวัง หากรุ่นหลังคนนั้นเป็นผู้บำเพ็ญเพียรที่มีรากวิญญาณสูงกว่ารากวิญญาณคู่ล่ะ เช่นนั้นตระกูลหวังก็ไม่ต้องกลัดกลุ้มว่าไม่มีคนสืบทอดแล้ว นี่ช่างเป็นเรื่องดีที่โยนหินก้อนเดียวได้นกสองตัวจริงๆ
จึงถามทันทีว่า “แม่นางมั่วเจ้าว่า?”
มั่วชิงเฉินแอบกัดฟัน นางเติบใหญ่ในตระกูลบำเพ็ญเพียรแต่เล็ก ย่อมรู้ว่าความคิดที่จะปกป้องวงศ์ตระกูลสำหรับผู้บำเพ็ญเพียรพวกนี้สำคัญเพียงใด โดยเฉพาะหัวหน้าตระกูลที่แบกความรุ่งโรจน์ตกต่ำของตระกูลไว้บนบ่า เพื่อผลประโยชน์ของตระกูลถึงกับทำเรื่องบางเรื่องที่ขัดต่ออุดมการณ์ของตน
และคิดจะให้คนเช่นนี้เปลี่ยนความคิด ที่จริงก็ง่ายมาก นั่นก็คือเจ้าเสนอเงื่อนไขที่นำผลประโยชน์ที่มากขึ้นให้เขาและตระกูล!
ยังดี เงื่อนไขเช่นนี้นางยังสามารถเสนอได้ นึกถึงตรงนี้มั่วชิงเฉินเม้มปากยิ้มว่า “ท่านหัวหน้าตระกูลหวัง หากผู้น้อยไม่ว่าทางไหนก็ไม่อยากเลือกล่ะเจ้าคะ?”
เพิ่งสิ้นเสียงก็ได้ยินผู้เฒ่าสามตะคอกว่า “นางเด็กบ้า นี่ไม่ได้ขึ้นอยู่กับเจ้า!” พูดพลางเปลือกหอยในมือก็อ้าออกอีก คลื่นพลังวิญญาณที่ส่งผ่านมาจากสมบัติวิเศษรุนแรงกว่าก่อนหน้านี้อีก
หลี่จื้อหย่วนเข้าไปขวางหน้ามั่วชิงเฉินทันที จ้องผู้เฒ่าสามตรงๆ ว่า “ท่านผู้เฒ่าสาม ผู้น้อยก็เข้าร่วมในการต่อสู้กับคุณชายสี่และคุณชายสิบเจ็ด หากคิดจะลงโทษ เช่นนั้นก็เชิญลงโทษด้วยกันเถอะ”
“คุณชายหลี่!” มั่วชิงเฉินเรียกอย่างคาดไม่ถึงเสียงหนึ่ง
หลี่จื้อหย่วนหันหน้ามายิ้มอย่างปลอบโยนให้นาง ต่อให้มั่วชิงเฉินที่ในใจคิดแผนไว้นานแล้วเห็นรอยยิ้มนี้เข้า ก็รู้สึกอุ่นใจขึ้นมาก
คุณชายหกสีหน้าแย่มาก กำหมัดแน่นจนเอ็นเขียวปูดขึ้น ในที่สุดก็กัดฟันยืนเคียงไหล่กับหลี่จื้อหย่วนว่า “ท่านผู้เฒ่าสาม ยังมีข้า…”
เสียงไม่ดัง กลับมีพลังของการรุดไปข้างหน้าอย่างมีคุณธรรม เห็นชัดว่าทำใจสำหรับผลที่แย่ที่สุดไว้แล้ว
“เจ้า พวกเจ้า!” ผู้เฒ่าสามโมโหจนสะบัดแขนเสื้ออย่างแรง หวังหกก็ช่างเถอะ หลังเรื่องจบแล้วย่อมมีกฎตระกูลจัดการ เฉพาะเจาะจงศิษย์หัวแก้วหัวแหวนของท่านโจวท่านนั้นยื่นมือเข้ามา ช่างทำให้คนอึดอัดเสียจริง!
หัวหน้าตระกูลหวังก็ปวดศีรษะเช่นกัน คบหากับท่านโจวผู้บำเพ็ญเพียรสายปราชญ์มานานถึงเพียงนี้ เขาย่อมดูออกว่าคนคนนั้นปกป้องลูกศิษย์เพียงใด
เพราะเรื่องของหวังสี่ลงโทษมั่วชิงเฉินก็ชั่งเถอะ เพราะอย่างไรเสียมังกรแกร่งไม่กดขี่งูเจ้าถิ่น ขอเพียงไม่ทำร้ายถึงชีวิตมั่วชิงเฉิน เขาไม่เชื่อว่าพรรคเหยากวงจะถ่อมาไกลหมื่นลี้เพื่อจัดการกับตระกูลหวังเพราะเรื่องนี้ ทว่าท่านโจวก็ยืนดูอย่างข้างๆอย่างจะยิ้มก็ไม่ยิ้ม หากล่วงเกินผู้บำเพ็ญเพียรระดับก่อแก่นปราณอีกคนหนึ่ง เช่นนั้นจะได้ไม่คุ้มเสียแล้ว
หัวหน้าตระกูลหวังกำลังใคร่ครวญอยู่ว่าจะจัดการเรื่องนี้เช่นไรดี ก็เกิดเรื่องไม่คาดคิดอีก
เห็นเพียงคนกลุ่มหนึ่งวิ่งออกจากสวนปี้หยวน หญิงสาวที่นำหน้ามาสีหน้าสลด รูปร่างผ่ายผอม ราวกับเพียงลมพัดมาก็สามารถพัดนางปลิวได้ นางวิ่งโซซัดโซเซถึงหน้าทุกคนแล้วคุกเข่า ‘ตึง’ ลง สะอื้นว่า “ท่านหัวหน้าตระกูล ได้โปรดปล่อยน้องสิบหกของข้าไปเถอะเจ้าค่ะ บ่าว…บ่าวยินยอมชดใช้ด้วยชีวิต!” พูดถึงตรงนี้ก็หอบแฮ่กๆ แล้ว กลับมองหัวหน้าตระกูลหวังอย่างมุ่งมั่น
มั่วชิงเฉินถอนใจเบาๆ เสียงหนึ่ง พี่สิบสี่ยังคงไร้เดียงสาเช่นนั้น ไม่รู้ว่าการที่นางปรากฏตัวขึ้นนี้กลับทำให้ตนเสียเปรียบ หากไม่เพราะตนวางแผนไว้ก่อนแล้ว ด้วยลูบหน้าปะจมูกก็ได้แต่ปล่อยให้ตระกูลหวังลงโทษตามอำเภอใจแล้ว
“เจ้าคือ…” หัวหน้าตระกูลหวังกระทั่งจำไม่ได้ว่าหญิงสาวผู้นี้คือใคร
มั่วชิงเฉินรู้สึกสลดแทนมั่วหนิงโหรวอยู่ในใจ ฐานะของอนุ เกรงว่าในสายตาของคนพวกนั้นคงไม่ต่างอะไรกับมดปลวกกระมัง
นางเดินเข้าไปพยุงมั่วหนิงโหรวว่า “พี่สิบสี่ ท่านสุขภาพไม่ดี รีบลุกขึ้นมาเถอะ ไม่จำเป็นต้องทำเช่นนี้”
มั่วหนิงโหรวกลับเหมือนไม่ได้ยิน มองหัวหน้าตระกูลหวังตรงๆ ว่า “บ่าวเป็นอนุของคุณชายสี่ กับชิงเฉินเป็นพี่น้องตระกูลเดียวกัน ท่านหัวหน้าตระกูล เห็นแก่ที่บ่าวให้กำเนิดเด็กผู้หญิงคนหนึ่งให้ตระกูลหวัง ได้โปรดอนุญาตให้บ่าวชดใช้ชีวิตให้คุณชายสี่ ละเว้นน้องสิบหกของข้าเถอะเจ้าค่ะ!”
หัวหน้าตระกูลหวังเบนสายตาไปที่มั่วชิงเฉิน “แม่นางมั่ว ที่หญิงผู้นี้พูดเป็นเรื่องจริงหรือไม่?”
มั่วชิงเฉินฝืนพยุงมั่วหนิงโหรวขึ้นมา ยืนตัวตรงพูดกับหัวหน้าตระกูลหวังว่า “ถูกต้อง เราสองคนเป็นพี่น้องตระกูลเดียวกันจริงๆ”
หัวหน้าหวังหน้าบึ้งทันที “ที่แท้แม่นางมั่วมาตระกูลหวังเรา มีจุดประสงค์อื่นอยู่แล้ว”
มั่วชิงเฉินยิ้ม “นี่อาจเป็นลิขิตสวรรค์กระมัง ท่านหัวหน้าตระกูลหวัง บัดนี้จัดการเรื่องของคุณชายสี่และคุณชายสิบเจ็ดก่อนเป็นเช่นไร?”
หัวหน้าตระกูลหวังถามเสียงเย็นว่า “แม่นางมั่วคิดจะจัดการเช่นไร?”
มั่วชิงเฉินไม่พูดอะไร เดินวนคุณชายสี่รอบหนึ่ง ปากก็พึมพำว่า “แปลก”
ในยามนี้เองจู่ๆ อีกาไฟก็บินถลาออกจากมุมอับ ตาขาวคู่หนึ่งกวาดมองหัวหน้าตระกูลหวังและผู้เฒ่าสามอย่างระแวง แล้วเขยิบไปข้างๆ มั่วชิงเฉินอย่างระมัดระวัง
พวกหัวหน้าตระกูลหวังสองคนย่อมดูออกว่านี่เป็นอสูรวิญญาณของมั่วชิงเฉิน
“อู๋เย่ว์?” มั่วชิงเฉินเรียกเสียงหนึ่ง
อีกาไฟแค่กๆ สองที กระมิดกระเมี้ยนเล็กน้อยว่า “ข้า ข้ารู้แล้วว่าเหตุใดเขาถึงไม่ฟื้นขึ้นมา”
“เพราะเหตุใด?” ทุกคนถามขึ้นพร้อมกัน
อีกาไฟตกใจจนบินไปอยู่บนไหล่มั่วชิงเฉิน เอ่ยเสียงเบาว่า “ข้าสาปเอง”
ทุกคนฟังไม่เข้าใจความหมาย มั่วชิงเฉินกลับเข้าใจในพริบตาแล้ว หันหน้าไปว่า “อู๋เย่ว์ เจ้าพูดให้ชัดเจนหน่อย”
ขาคู่หนึ่งของอีกาไฟสลับกันเหยียบไหล่มั่วชิงเฉิน ร้องแว้ดๆ สองทีว่า “ยามนั้นพวกเจ้าล้วนวิ่งไปสวนปี้ซิ่วแล้ว ข้าเห็นเขาถูกแขวนอยู่บนต้นไม้ใหญ่ จึงบินเข้าไปดู จากนั้นเผลอปากพูดไปว่า ‘สมน้ำหน้า ทางที่ดีหลับไปสักสิบปีแปดปี’”
เห็นทุกคนยังจ้องมันอยู่ อีกาไฟกระแอมแล้วว่า “ก็เป็นเช่นนี้แหละ”
“น่าขันสิ้นดี!” ผู้เฒ่าสามสะบัดแขนเสื้อ
คุณชายสิบเจ็ดที่ถูกอัดจนเป็นหัวหมูตามพวกมั่วหนิงโหรวรีบรุดมากลับเหมือนเข้าใจอะไรในทันทีชี้อีกาไฟว่า “ถูกต้อง ถูกต้อง วันนั้นข้าก็ถูกเจ้าเดรัจฉานขนแบนนี่สาปให้ตกลงไปในน้ำวนในทะเล ท่านหัวหน้าตระกูล พี่สี่ต้องถูกมันทำร้ายเป็นแน่ขอรับ ท่านต้องจับเจ้าเดรัจฉานขนแบนนี่ถอนขนแล้วย่างกินให้ได้!”
หัวหน้าตระกูลหวังกลับมองมั่วชิงเฉินด้วยความตะลึงว่า “อสูรวิญญาณแปรผัน!”
เขาเดินทางไปฝึกตนที่ดินแดนเทียนหยวนหลายครั้ง เคยฆ่าผู้บำเพ็ญเพียรนิกายเจิ้นโซ่วคนหนึ่ง รื้อม้วนคัมภีร์หยกจากถุงเก็บวัตถุออกมาได้ม้วนหนึ่ง ในนั้นบันทึกสภาพการณ์ของอีกาไฟไว้ รู้ว่าอสูรวิญญาณชนิดนี้ปัญญาวิญญาณเปิดเร็ว ถึงชั้นสองก็สามารถพูดภาษาคนได้ หากมีพลังในการสาปแช่ง นั่นต้องเป็นอสูรวิญญาณแปรผันที่ในหมื่นตัวก็หาไม่ได้สักตัวเป็นแน่!
หัวหน้าตระกูลหวังมองมั่วชิงเฉินอย่างลึกล้ำปราดหนึ่ง เขาคิดไม่ถึงจริงๆ ว่านางหนูน้อยคนหนึ่งจะมีอสูรวิญญาณแปรผันได้ แม้จะบอกว่าเผ่าพันธุ์ด้อยไปเสียหน่อย ทว่าพลังแฝงของอสูรวิญญาณแปรผันกลับไม่อาจคาดเดาได้
มั่วชิงเฉินจับความเปลี่ยนแปลงของแววตาหัวหน้าตระกูลหวังได้ ไม่อยากให้เกิดเรื่องไม่คาดคิดอีก จึงเปิดปากว่า “ท่านหัวหน้าตระกูลหวัง ผู้น้อยอยากคุยกับท่านเป็นการส่วนตัว”
หัวหน้าตระกูลหวังชะงัก เห็นสีหน้ามั่วชิงเฉินสงบ เกิดคิดอะไรขึ้นมาได้ จึงสะบัดแขนเสื้อทีหนึ่งกั้นเขตอาคมกันเสียงขึ้นมา ถึงเอ่ยว่า “เจ้าพูดเถอะ”
ผู้บำเพ็ญเพียรคนหนึ่งกั้นเขตอาคมกันเสียง ผู้บำเพ็ญเพียรระดับเดียวกันจะไม่อาจแอบฟังได้
มั่วชิงเฉินสีหน้ายิ่งผ่อนคลายลง ที่นางกลัวเสมอมาไม่ใช่คนที่เมื่อพบเจอปัญหาจะพิจารณาใคร่ครวญอย่างลึกซึ้งและรอบคอบเช่นหัวหน้าตระกูลหวัง กลับเป็นคนที่ทำสิ่งใดตามอำเภอใจ ไม่คำนึงถึงผลลัพธ์เช่นผู้เฒ่าสามต่างหาก
เพ่งพิศผมขาวข้างหูของหัวหน้าตระกูลหวัง มั่วชิงเฉินกระดกมุมปากเล็กน้อยว่า “ท่านหัวหน้าตระกูลหวัง หากผู้น้อยดูไม่ผิด ตบะของท่านน่าจะเป็นระดับก่อแก่นปราณโดยสมบูรณ์ใช่หรือไม่เจ้าคะ?”
หัวหน้าตระกูลหวังไม่รู้ว่าคำพูดนี้ของมั่วชิงเฉินหมายความว่าเช่นไร จึงเอ่ยนิ่งเรียบว่า “ถูกต้อง”
มั่วชิงเฉินยิ้ม “ได้โปรดอภัยที่ผู้น้อยละลาบละล้วงถามอีกประโยคหนึ่ง บัดนี้ท่านเกรงว่าจะอายุขัยเหลือไม่มากกระมังเจ้าคะ?”
หัวหน้าตระกูลหวังสีหน้าเปลี่ยนทันที จ้องมั่วชิงเฉินเขม็ง แล้วก็ได้ยินมั่วชิงเฉินถามเนิบๆ ว่า “ขาดเพียงก้าวเดียวก็สามารถก้าวเข้าระดับก่อกำเนิด หากต้องดับสูญอย่างน่าสลดเพราะอายุขัยใกล้แล้ว ท่านไม่รู้สึกเสียดายหรือไร?”
หัวหน้าตระกูลหวังเยือกเย็นสุขุมเพียงไรก็อดเผยสีหน้าโกรธไม่ได้ ระยะนี้เขารู้สึกว่าตนรู้แจ้งถึงการก้าวเข้าระดับก่อกำเนิดได้รางๆ แล้ว ถ้าน้อยอาจจะยี่สิบปี มากอาจสามสิบปี เขาก็สามารถเข้าระดับก่อกำเนิดแล้ว ทว่าเฉพาะเจาะจงอายุขัยเหลือเพียงสิบกว่าปีเท่านั้น รสชาติเช่นนี้ทำให้คนรู้สึกหดหู่จริงๆ มั่วชิงเฉินกลับดันยังจะพูดออกมา
มั่วชิงเฉินมองสีหน้าหัวหน้าตระกูลหวังด้วยสีหน้าไม่เปลี่ยน คำพูดที่พูดออกมาเมื่อเข้าไปในหูหัวหน้าตระกูลหวังกลับเหมือนฟ้าผ่า “ไม่ทราบว่าท่านหัวหน้าตระกูลหวังเคยได้ยินโอสถอายุวัฒนะหรือไม่?”