พันธกานต์ปราณอัคคี - ตอนที่ 185 ผลลัพธ์อันเหนือความคาดหมาย
“เจ้าพูดอีกครั้งสิ!” หัวหน้าตระกูลหวังจับไหล่มั่วชิงเฉินไว้ ผมเผ้าหนวดเคราขาวโพลนสั่นไหวแผ่วเบา
มั่วชิงเฉินเหลือบมองมือของหัวหน้าตระกูลที่วางอยู่บนไหล่ตนเองอย่างนิ่งเรียบปราดหนึ่ง หัวหน้าตระกูลหวังที่เคร่งขรึมสุขุมมาตลอดสีหน้าฉายแววเหนียมอายแวบหนึ่ง เขาได้ยินสามคำนั้นแล้วเสียกิริยาไปบ้างจริงๆ ขัดต่อท่วงท่าของนักบำเพ็ญเพียรระดับก่อแก่นปราณ
หัวหน้าตระกูลหวังบังคับตนให้ใจเย็นลง สูดหายใจเข้าลึกๆ อึดหนึ่ง แล้วถามอย่างระมัดระวังว่า “ไม่รู้ว่าแม่นางมั่วพูดถึงโอสถอายุวัฒนะเพราะเหตุใด หรือว่าแม่นางมั่วมีโอสถนี้อยู่?”
เขาไม่กล้ายืนยัน หากคำพูดที่มั่วชิงเฉินพูดออกมาได้ทำลายโอกาสเพียงหนึ่งเดียวของตน ตนจะตีนางตายโดยไม่สนใจเรื่องใดๆ หรือไม่
มั่วชิงเฉินรู้ว่ายามนี้ไม่ใช่เวลาอ้อมค้อม จึงเอ่ยอย่างสงบว่า “บนตัวผู้น้อยแม้ไม่มีโอสถอายุวัฒนะ ทว่า ผู้น้อยเคยโชคดีได้ผลอายุมาผลหนึ่ง ได้มอบมันให้อาจารย์แล้ว อาจารย์สัญญาว่าหากหลอมได้สำเร็จ จะมอบโอสถอายุวัฒนะให้ผู้น้อยเม็ดหนึ่ง”
“สหายน้อยช่างมีวาสนาเซียนที่ล้ำลึก!” หัวหน้าตระกูลฟังความหมายแฝงออกได้เล็กน้อย จึงเปลี่ยนสรรพนามอย่างไม่รู้ตัว
มั่วชิงเฉินได้ผลอายุสามผล เทียบโอสถของโอสถอายุวัฒนะและวัตถุดิบเสริมทั้งหมดในการหลอมโอสถอายุวัฒนะจากนักบำเพ็ญเพียรระดับสร้างรากฐานคนหนึ่งเมื่อนานมาแล้ว นางรู้ว่าโอสถฝืนลิขิตฟ้าเช่นโอสถอายุวัฒนะเช่นนี้ ต่อให้หลอมได้สมบูรณ์ก็ได้เพียงห้าเม็ด ในสถานการณ์ปกติได้สองสามเม็ดก็ไม่เลวแล้ว ผลอายุสามผลนี้ของนางหากหลอมสามเตาล่ะก็ ไม่กล้าพูดมาก คิดว่าโอสถอายุวัฒนะสามเม็ดอย่างไรก็รับประกันได้
แม้จะบอกว่ามอบโอสถอายุวัฒนะให้คนอื่นเม็ดหนึ่งจะปวดใจอยู่บ้าง ทว่าหากสมารถแลกด้วยความสงบสุขทั้งชีวิตของมั่วหนิงโหรว ก็คุ้มค่าแล้ว
“แปดปีให้หลัง ท่านหัวหน้าตระกูลหวังสามารถไปหาข้าที่พรรคเหยากวงได้ ผู้น้อยยินดีมอบโอสถอายุวัฒนะเม็ดนั้นให้ท่านผู้อาวุโส” มั่วชิงเฉินเอ่ยอย่างชัดถ้อยชัดคำ
หัวหน้าตระกูลหวังตาเป็นประกาย มือสั่นเทาอย่างควบคุมไม่ได้ “คำพูดนี้จริงหรือไม่?”
พูดถึงตรงนี้สีหน้าก็กลับคืนสู่ความสงบอีก “สหายน้อย คำพูดนี้ของเจ้าทำให้ข้ายากจะเชื่อได้ ก่อนอื่น เหตุใดต้องกำหนดไว้แปดปีให้หลัง? อีกอย่าง ข้ารู้ว่าอาจารย์เจ้าเป็นคนรักษาคำพูด ทว่าการหลอมโอสถอย่างไรเสียก็มีส่วนของโชคช่วยอยู่ด้วย หากหลอมล้มเหลวนั่นจะทำเช่นไรอีก? สุดท้าย โอสถอายุวัฒนะเป็นโอสถศักดิ์สิทธิ์ที่นักบำเพ็ญเพียรทั้งหมดละเมอเพ้อหา เจ้ายอมตัดใจมอบให้ข้าจริงหรือ?”
มั่วชิงเฉินรู้ว่าที่หัวหน้าตระกูลหวังถามเช่นนี้ คือใจอ่อนไหวแล้ว นี่ก็อยู่ในความคาดหมายของนางนานแล้ว อย่าว่าแต่เป็นเขา ต่อหน้าโอสถอายุวัฒนะที่สามารถเพิ่มอายุขัยได้ต่อให้เป็นนักบำเพ็ญเพียรระดับก่อกำเนิดเกรงว่าก็ยากจะต้านความเย้ายวนได้
มั่วชิงเฉินมองหัวหน้าตระกูลหวังแล้วยิ้มนิ่งเรียบ “ในเมื่อท่านหัวหน้าตระกูลหวังสงสัย ผู้น้อยก็ขอพูดสักหน่อย ที่ต้องกำหนดไว้แปดปีให้หลัง เพราะอาจารย์ข้าช่วงนี้จำเป็นต้องกักตน ไม่มีเวลาว่างออกไปข้างนอก ส่วนการหลอมโอสถอายุวัฒนะต้องใช้หญ้าทิพย์ที่ชื่อว่าหญ้าดอกเหลืองชนิดหนึ่ง เกิดที่ปราณภูเขาไฟไหล ลักษณะเฉพาะของหญ้าทิพย์ชนิดนี้ที่ทำให้คนปวดศีรษะที่สุดก็คือหลังจากเด็ดออกมาแล้ว ไม่ว่าเก็บรักษาเช่นไรหากเกินเจ็ดวันฤทธิ์ยาจะหายไปโดยสิ้น ดังนั้นอาจารย์ข้าจำเป็นต้องมีเวลาว่างถึงสามารถไปปราณภูเขาไฟไหลได้”
หัวหน้าตระกูลหวังพยักหน้า นี่ก็ฟังดูมีเหตุผลแล้ว
“ส่วนข้อที่สอง เกรงว่าหัวหน้าตระกูลหวังไม่ทราบ อาจารย์ข้าเป็นยอดฝีมือการหลอมโอสถที่เลื่องชื่อของพรรคเหยากวง การหลอมโอสถที่ล้ำค่าเช่นโอสถอายุวัฒนะนั้น แม้ไม่กล้าพูดว่าไม่ผิดพลาดเลย ทว่าโอกาสการสำเร็จต้องสูงกว่าคนอื่นหลายส่วน หากโชคไม่ดีหลอมไม่สำเร็จ เช่นนั้นสัญญาที่ผู้น้อยให้ไว้ย่อมเป็นบุปผาในคันฉ่องจันทราในวารี[1] ทว่าหัวหน้าตระกูลหวังไม่ลองคิดสักหน่อยหรือ นอกจากแปดปีให้หลังมีความมั่นใจห้าส่วนในการได้โอสถอายุวัฒนะเม็ดหนึ่ง ท่านยังมีวิธีอื่นหรือไม่? จะยินยอมใช้เงื่อนไขไม่กี่ข้อตรงหน้าไปพนันโอกาสรอดสายหนึ่งในแปดปีให้หลังหรือไม่?” มั่วชิงเฉินมองหัวหน้าตระกูลหวัง ถามอย่างมั่นใจ
หัวหน้าตระกูลหวังสีหน้าเปลี่ยนไปเปลี่ยนมา สุดท้ายถอนใจยาวเสียงหนึ่งว่า “สหายน้อย เจ้าพูดต่อเถอะ”
เขาไม่ยอมรับไม่ได้ว่านางหนูน้อยตรงหน้ามองจิตใจคนได้ปรุโปร่งนัก ตนอายุขัยใกล้เข้ามาแล้ว นอกจากจะมีโอกาสวาสนาอันใหญ่หลวงสามารถทะลวงได้ในเร็ววัน มิเช่นนั้นก็ได้แต่มรณะไปอย่างเศร้าสลดแล้ว อย่าว่าแต่ความมั่นใจห้าส่วนเลย ต่อให้เพียงหนึ่งสองส่วน เขาก็จะขอพนันสักตั้งอย่างไม่ลังเลแม้แต่น้อย
มั่วชิงเฉินเม้มปากยิ้มว่า “พูดถึงข้อสาม หึๆ ในเมื่อท่านหัวหน้าตระกูลหวังรู้ความสัมพันธ์ของข้าและพี่สิบสี่แล้ว ผู้น้อยก็ไม่จำเป็นต้องปิดบังอีกต่อไป ผู้น้อยปีนี้อายุสามสิบสี่ปี คิดว่าชั่วเวลาหนึ่งยังไม่ต้องใช้โอสถอายุวัฒนะ”
หัวหน้าตระกูลหวังจำมั่วหนิงโหรวไม่ได้เอาเสียเลย แม้ตัดสินใจว่าหลังจบเรื่องแล้วจะไปสืบสักหน่อย ยามนี้กลับไม่รู้อายุของมั่วหนิงโหรว ดังนั้นเมื่อมั่วชิงเฉินพูดอายุของนางออกมาด้วยตนเอง หัวหน้าตระกูลหวังตกตะลึงจนพูดไม่ออก ครึ่งค่อนวันถึงถอนใจยาวอย่างไม่รู้ความหมายเสียงหนึ่งว่า “สหายน้อยไม่เสียทีที่เป็นศิษย์รักของนักพรตหวงกวง ข้าดูออกแต่แรกแล้วว่าสหายน้อยอายุไม่มาก ทว่าคิดไม่ถึงว่าสหายน้อยเพียงแค่สามสิบเล็กน้อย กลับเป็นข้าที่มีมองผิดแล้ว”
มั่วชิงเฉินแม้จะรู้ว่าตนอายุน้อยเพียงนี้ก็อยู่ระดับสร้างรากฐานระยะกลาง ลือออกไปจะทำให้คนตกตะลึง กลับคนบ้านตนเองรู้เรื่องที่บ้านตนเอง หากไม่มีน้ำเต้าล้ำค่านั่นบวกโอกาสวาสนามากมาย ด้วยพรสวรรค์รากวิญญาณเทียมของตนเกรงว่าดึงจนหมดอายุขัยก็บำเพ็ญเพียรไม่ถึงตบะเช่นนี้ จึงถ่อมตนทันทีว่า “ท่านหัวหน้าตระกูลหวังชมเกินไปแล้ว ผู้น้อยเพียงแต่โชคดีสักหน่อยเท่านั้น”
หัวหน้าตระกูลหวังส่ายศีรษะ” ในโลกแห่งการบำเพ็ญเพียรมีใครไม่รู้บ้าง เดิมทีโชคก็คือส่วนหนึ่งของความสามารถ สหายน้อยไม่จำเป็นต้องถ่อมตน”
มั่วชิงเฉินไม่อยากพูดเรื่องนี้มาก จึงว่า “ท่านหัวหน้าตระกูลหวัง หากสามารถรับปากเงื่อนไขที่ผู้น้อยเสนอ ผู้น้อยยินดีสาบานต่อจิตมาร ขอเพียงอาจารย์ข้าหลอมโอสถอายุวัฒนะได้สำเร็จ ผู้น้อยต้องมอบเม็ดของตนให้ท่านผู้อาวุโสแน่นอน ท่านว่าเป็นเช่นไร?”
หัวหน้าตระกูลหวังแววตาเป็นประกาย “ไม่รู้ว่าสหายน้อยมีเงื่อนไขอันใด?”
มั่วชิงเฉินยอมสาบานต่อจิตมาร เขาย่อมไม่ต้องกังวลอีก เพียงแต่เงื่อนไขที่นางเสนอออกมาเกรงว่าก็คงไม่ง่ายกระมัง?
มั่วชิงเฉินเห็นหัวหน้าตระกูลหวังสีหน้าเป็นห่วงว่านางจะโลภมาก จึงเม้มปากยิ้มว่า “ท่านหัวหน้าตระกูลหวังน่าจะรู้แล้ว คุณชายสี่เพียงแต่ถูกอสูรวิญญาณของข้าสาป จะหมดสติหลับไปช่วงระยะเวลาหนึ่ง เช่นนั้น…”
“ในเมื่อไม่ได้ทำร้ายหวังสี่จนถึงแก่ชีวิต เรื่องนี้ย่อมแล้วกันไป” หัวหน้าตระกูลหวังพูดอย่างไม่ลังเล ในใจกลับแอบเบ้ปาก ช่วงระยะเวลาหนึ่ง ช่วงระยะเวลาหนึ่งคือสิบปีแปดปีเลยนะ สำหรับนักบำเพ็ญเพียรระดับสร้างรากฐานที่อยู่ในวัยที่กำลังรุ่งโรจน์พลังแฝงไร้ขีดจำกัดคนหนึ่ง แทบจะทำลายวันเวลาที่ดีที่สุดของเขา
เพียงแต่ความเสียหายเหล่านี้เทียบกับตระกูลหวังสามารถมีนักบำเพ็ญเพียรระดับก่อกำเนิดท่านหนึ่งนั้น ย่อมเทียบกันไม่ได้ หัวหน้าตระกูลหวังที่แยกแยะหนักเบาออกแน่นอนย่อมไม่ลังเลในช่วงจังหวะที่สำคัญเช่นนี้
มั่วชิงเฉินชอบคบหากับคนเช่นนี้นี่แหละ จึงเอ่ยต่อว่า “เดิมทีผู้น้อยมาถึงทะเลขนาบใจโดยบังเอิญ ได้รู้ว่าพี่สิบสี่ข้ากลายเป็นอนุของคุณชายสี่อย่างไม่ได้ตั้งใจ หึๆ ไม่ปิดท่านหัวหน้าตระกูลหวัง ตระกูลมั่วเราแม้ไม่ใช่ตระกูลใหญ่โตอะไร พี่สิบสี่กลับเป็นคุณหนูสายเลือดโดยตรงอย่างสง่าผ่าเผย นางมีสามรากวิญญาณ พี่สาวคลานตามกันมามีพรสวรรค์ยอดเยี่ยมรากวิญญาณคู่ ดังนั้นผู้น้อยก็อยากลองดูสักหน่อย ว่าผู้ชายแบบไหนที่พี่สิบสี่ไม่คู่ควร เป็นได้เพียงอนุเท่านั้น”
ในเมื่อพี่สิบสี่ไม่ยินยอมจากตระกูลหวังไป เช่นนั้นก็ช่วยให้นางมีฐานะและพลังอำนาจเถอะ หวังว่าเช่นนี้ นางจะใช้ชีวิตได้อย่างมีความสุขสักหน่อย
มีชีวิตอยู่มาหลายร้อยปี หัวหน้าตระกูลหวังที่เหมือนจิ้งจอกเฒ่ามีนัยอันใดที่ฟังไม่ออก ได้ยินดังนั้นจึงเอ่ยทันทีว่า “หวังสี่ยังไม่แต่งงาน ในเมื่อเขาหมดสติไม่ฟื้น ข้าในฐานะหัวหน้าตระกูลก็ขอออกหน้าแทนเขา แต่งคุณหนูสิบสี่แห่งตระกูลมั่วอย่างถูกต้อง เจ้าดูเป็นเช่นไร?”
มั่วชิงเฉินพยักหน้า ทันใดนั้นนึกถึงคุณชายหกขึ้นมา ในใจเกิดความคิดว่า “หากพี่สิบสี่ข้าอยู่ในตระกูลหวัง ยังขอให้ท่านหัวหน้าตระกูลหวังดูแลพวกนางแม่ลูกให้ถี่ถ้วน หากมีวันหนึ่งนางอยากจากตระกูลหวังไป หรือได้พบคนดี ก็ขอให้ท่านหัวหน้าตระกูลหวังและคนในตระกูลอย่างทำให้นางต้องลำบากใจ”
หัวหน้าตระกูลหวังมองมั่วชิงเฉินอย่างไม่เข้าใจปราดหนึ่ง ถึงพยักหน้าว่า “เรื่องนี้แน่นอน เราตระกูลนักบำเพ็ญเพียร เดิมทีก็ไม่เหมือนตระกูลในโลกฆราวาส นักบำเพ็ญเพียรบำเพ็ญเพียรคู่ก็เน้นหนักที่ต่างฝ่ายต่างยินยอมอยู่แล้ว”
มั่วชิงเฉินแอบถอนใจอึดหนึ่ง พี่สิบสี่ ที่ชิงเฉินทำเพื่อเจ้าได้ก็มีเพียงเท่านี้แล้ว ส่วนต่อไปเจ้าจะสามารถมีชีวิตที่มีความสุขเช่นที่เจ้าอยากได้หรือไม่ เช่นนั้นก็ต้องพึ่งตัวเจ้าเองแล้ว
“สหายน้อย เจ้ายังมีเงื่อนไขอื่นอีกหรือไม่?” หัวหน้าตระกูลหวังเห็นมั่วชิงเฉินนิ่งเงียบขึ้นมา จึงถามว่า
มั่วชิงเฉินเม้มปาก “ยังมีเงื่อนไขสุดท้ายข้อหนึ่ง ข้าน้อยได้ยินว่าคุณชายสิบเจ็ดผ่านการทดสอบตามหากระสายยาได้สำเร็จ จะได้รับแบ่งโอสถจากในตระกูลหนึ่งเม็ด ผู้น้อยอยากได้โอสถเม็ดนั้นของเขา”
หัวหน้าตระกูลหวังสีหน้าเปลี่ยนเล็กน้อยว่า “สหายน้อยทำไปเพื่อเหตุใด?”
มั่วชิงเฉินเอ่ยเสียงเย็นชาว่า “หรือว่าท่านหัวหน้าตระกูลหวังไม่ทราบ คุณชายสิบเจ็ดใช้กำลังบังคับสาวใช้ที่ปรนนิบัติข้าคนหนึ่ง สาวใช้อีกคนหนึ่งก็กระโดดทะเลสาบ หากไม่เพราะผู้น้อยรุดไปทันท่วงที เกรงว่าพวกนางสองพี่น้องล้วนดอกไม้ร่วงโรยหยกงามแตกหักแล้ว”
“มีเรื่องเช่นนี้หรือ?” สีหน้าหัวหน้าตระกูลหวังย่ำแย่ เขาเร่งรุดมาถึงสวนปี้ซิ่วก็ถูกเรื่องของหวังสี่ดึงความสนใจไป ไม่ได้ใส่ใจว่าสาวใช้ตัวเล็กๆ พวกนั้นเป็นเช่นไร
มั่วชิงเฉินยิ้มเยาะว่า “ผู้น้อยยังพูดจาส่งเดชได้หรือเช่นไร? ท่านหัวหน้าตระกูลหวัง แม้สาวใช้คู่นั้นเป็นคนของตระกูลหวังท่าน ทว่าอย่างไรเสียก็จัดสรรมาปรนนิบัติข้างกายข้า คุณชายสิบเจ็ดทำเรื่องไร้ยางอายต่อพวกนางเช่นนี้ เคยเห็นข้าอยู่ในสายตาหรือไม่?”
หัวหน้าตระกูลหวังถอนใจอึดหนึ่ง “ก็ทำตามที่สหายน้อยว่ามาแล้วกัน”
ในชั่วพริบตาหนึ่งจู่ๆ เขาก็เกิดหดหู่ขึ้นมา รุ่นใหม่ในตระกูลหวัง หวังสี่ที่มีหวังที่สุดต้องนอนหลับสิบกว่าปี สิ้นเปลืองช่วงเวลาที่มีค่าที่สุดของนักบำเพ็ญเพียร หวังสิบเจ็ดก็ไม่เอาถ่านเช่นนี้อีก หากไม่ใช่ลูกหลานตระกูลหวัง แม้แต่เขาก็แทบอยากจะฆ่าเขาทิ้ง
เมื่อเปรียบเทียบกับแม่นางมั่วที่อยู่ตรงหน้านี้อีก ยิ่งรู้สึกว่าคนเก่งของตระกูลหวังเ**่ยวเฉาโรยรา
คิดอีกทีหนึ่ง หัวหน้าตระกูลก็นึกถึงอีกว่าหากตนเข้าสู่ระดับก่อกำเนิด ก็จะมีอายุขัยเพิ่มขึ้นอีกพันปี ย่อมมีเวลามากมายในการฟูมฟักลูกหลานที่พรสวรรค์ไม่เลวของตระกูลหวัง
เมื่อคิดเช่นนี้ หัวหน้าตระกูลหวังสงบจิตใจ กับมั่วชิงเฉินต่างสาบานต่อจิตมารของตน
สองคนประสานสายตากันแล้วยิ้ม หัวหน้าตระกูลหวังโบกมือถอนเขตอาคมกันเสียงออก
ผู้คนที่อยู่ด้านนอกรอคอยอย่างร้อนรน เห็นสองคนใบหน้าเปื้อนยิ้มออกมา ต่างมีความคิดในใจ
หัวหน้าตระกูลหวังค่อยๆ กวาดสายตามองทุกคนที่สีหน้าต่างๆ กัน ถึงเอ่ยว่า “นับแต่วันนี้ แม่นางมั่วก็คือแขกคนสำคัญของตระกูลหวังข้า ไม่ว่าใครก็ห้ามละเลย หากขัดคำสั่ง ก็ไล่ออกจากตระกูลหวัง”
“ท่านหัวหน้าตระกูล!” ผู้เฒ่าสามและคุณชายสิบเจ็ดเรียกขึ้นพร้อมกัน
พวกหลี่จื้อหย่วนก็ตกใจต่อการเปลี่ยนแปลงครั้งนี้
หัวหน้าตระกูลหวังไม่ได้สนใจ เอ่ยต่อว่า “หวังสี่ต้องนอนหลับไปหลายปี ก็ยกกลับสวนปี้ซิ่วไป นางมั่วหนิงโหรวอ่อนโยนฉลาดเฉลียว อีกทั้งยังให้กำเนิดทายาทให้ตระกูลหวัง จึงมีข้าตัดสินใจแทนแต่งให้หวังสี่เป็นภรรยา ลูกหลานในตระกูลห้ามระรานพวกนางแม่ลูก หากนางมั่วหนิงโหรวคิดจะจากไป คนอื่นก็ห้ามขัดขวาง”
“ท่านหัวหน้าตระกูล!” คุณชายสิบเจ็ดได้ยินดังนั้นตกใจหน้าถอดสี เขารู้มาตลอดว่าคุณชายสี่ไม่เคยใส่ใจอนุกลุ่มนั้นเลย
หัวหน้าตระกูลหวังถลึงตาใส่คุณชายสิบเจ็ดอย่างเย็นชาปราดหนึ่งว่า “หวังสิบเจ็ด เจ้ากำเริบเสิบสาน ทำให้ตระกูลหวังต้องอับอาย นับแต่วันนี้ไปให้กักตนสำนึกผิด สิบปีห้ามออกจากที่พำนักแม้ครึ่งก้าว นอกจากนี้ โอสถในตระกูลส่วนของเจ้าจะโอนไปให้แม่นางมั่ว ชดเชยที่เจ้าล่วงเกินสาวใช้ข้างกายนาง!”
“ท่านหัวหน้าตระกูล!” คุณชายสิบเจ็ดร้องอย่างตกใจอย่างไม่อยากเชื่อ ในที่สุดก็สลบไปอย่างสวยงามพร้อมใบหน้าที่บวมเป็นหัวหมู
——
[1] บุปผาในคันฉ่องจันทราในวารี อุปมาถึงสิ่งสวยงามที่จับต้องไม่ได้