พันธกานต์ปราณอัคคี - ตอนที่ 187 ปราณสีม่วงจากทิศตะวันออก
มั่วชิงเฉินทัดผมข้างหน้าไปหลังหูเบาๆ แล้วยิ้มอย่างจำใจ
“อย่าขยับ!” จู่ๆ หลี่จื้อหย่วนก็ตะโกนเสียงดัง ทำมั่วชิงเฉินตกใจสะดุ้งโหยง
แล้วก็เห็นในมือหลี่จื้อหย่วนมีพู่กันเพิ่มมาด้ามหนึ่ง จากนั้นยกมือขึ้นกระดาษม้วนสีขาวบริสุทธิ์ใบหนึ่งก็ปรากฏขึ้นกลางอากาศ
เขาถือพู่กันเขียนๆ วาดๆ บนม้วนกระดาษ เหล่มั่วชิงเฉินเป็นระยะ ผ่านไปครึ่งชั่วยามจู่ๆ ก็หยุดลง จ้องกระดาษตรงหน้าอย่างเหม่อลอย แล้วหันมาจ้องมั่วชิงเฉินเขม็งอีก
หากไม่เพราะในแววตาของหลี่จื้อหย่วนนอกจากความกระตือรือร้นแล้วไม่มีความหมายอื่น สายตาที่ร้อนแรงเช่นนี้เกรงว่ามั่วชิงเฉินต้องหนีหัวซุกหัวซุนแล้ว
มั่วชิงเฉินรู้สึกได้รางๆ ว่าบัดนี้หลี่จื้อหย่วนดูเหมือนเข้าสู่สภาพน่ามหัศจรรย์ชนิดหนึ่ง สภาพเช่นนี้สำหรับเขาแล้วสำคัญมาก ดังนั้นนางไม่กล้าขยับเขยื้อน กลัวว่าหากตนขยับก็จะทำให้เขาต้องพลาดโอกาสวาสนาไปต่อหน้าต่อตา
“ใช่แล้ว!” หลี่จื้อหย่วนดูเหมือนรู้แจ้งอะไรแล้ว ถือพู่กันวาดอย่างรวดเร็วบนกระดาษขึ้นมา เพียงชั่วครู่ก็เห็นเขาโยนพู่กันขนหมาป่าไว้ข้างหลัง ตนเองถือม้วนกระดาษเหม่อลอย
ในเวลานี้เองทันใดนั้นปราณสีม่วงสายหนึ่งมาจากทิศตะวันออก ตกลงเหนือศีรษะหลี่จื้อหย่วนตรงๆ ต่อจากนั้นรอบตัวเขาก็ถูกปราณสีม่วงห้อมล้อม กลายเป็นวังวนปราณสีม่วงใหญ่ๆ น้อยๆ เคลื่อนไหวเป็นระลอกๆ
มั่วชิงเฉินตะลึง เลื่อนขั้นเล็ก หลี่จื้อหย่วนจะทะลวงระดับสร้างรากฐานระยะต้นแล้ว!
ที่แท้การเลื่อนขั้นของนักบำเพ็ญเพียรปราชญ์ไม่นึกเลยว่าจะเป็นสภาพเช่นนี้? มั่วชิงเฉินรู้สึกได้เปิดหูเปิดตาในทันใด
นักบำเพ็ญเพียรที่กำลังดื่มชาทิพย์อยู่ในโถงในเวลาเดียวกันก็สังเกตได้ถึงปราณสีม่วงที่แวบผ่านเพียงแวบเดียวในอากาศ
“ปราณสีม่วงจากทิศตะวันออก?” หัวหน้าตระกูลหวังรู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย
ท่านโจวสีหน้าเปลี่ยนเล็กน้อย ขยับตัวพุ่งออกไป หัวหน้าตระกูลหวังและผู้เฒ่าสามมองตากันปราดหนึ่ง แล้วรีบตามหลังไป
เห็นสภาพในยามนี้ของหลี่จื้อหย่วน ท่านโจวสีหน้าปีตินัก ยืนอยู่ข้างๆ อย่างเงียบๆ คอยคุ้มกันให้ศิษย์
หัวหน้าตระกูลหวังและผู้เฒ่าสามต่างเป็นนักบำเพ็ญเพียรระดับก่อแก่นปราณ ย่อมเข้าใจกฎเกณฑ์ดี ต่อให้ในใจมีข้อสงสัยมากมาย ยามนี้ล้วนยืนรออยู่ที่เดิมอย่างสงบ
ผ่านไปสองชั่วยามเต็มๆ ปราณสีม่วงรอบกายหลี่จื้อหย่วนถึงค่อยๆ กระจายไป แล้วลืมตาขึ้นอย่างช้าๆ
แววตาของหลี่จื้อหย่วนค่อยๆ กลับมาสดใสดังเดิม มองดูผู้คนแล้วก้มหน้ามองดูมือตนเองอีก แล้วถามอย่างประหลาดว่า “อาจารย์ ข้า ข้าเลื่อนขั้นแล้ว?”
ท่านโจวหัวเราะคิกคักถามว่า “เจ้าเด็กโง่ เลื่อนขั้นหรือไม่ตนเองไม่รู้หรือ?”
แน่นอนหลี่จื้อหย่วนย่อมรู้สึกได้ถึงความเปลี่ยนแปลงของร่างกาย เพียงแต่ทุกอย่างมาอย่างกะทันหันเกินไป เขายังไม่ค่อยอยากเชื่อ
ทันใดนั้นสายตาของท่านโจวตกไปอยู่บนกระดาษม้วนในมือหลี่จื้อหย่วน “นี่คือ…”
หลี่จื้อหย่วนซ่อนกระดาษม้วนไว้ข้างหลังด้วยปฏิกิริยาตอบโต้ แล้วมองท่านโจวเหมือนมองหัวขโมย
ท่านโจวโมโหจนหัวเราะแล้ว ยื่นมือใช้พัดเคาะศีรษะหลี่จื้อหย่วนว่า “เอาออกมา”
“ไม่” หลี่จื้อหย่วนออกแรงส่ายศีรษะ
“เอาออกมา” ท่านโจวโมโหจนหนวดกระดิกตาถลน
หลี่จื้อหย่วนร่างกายเกร็งแน่น ทำท่าพร้อมจะยกขาวิ่งได้ตลอดเวลา
หัวหน้าตระกูลหวังทนไม่ไหวกระแอมออกมาสองที
ท่านโจวหน้าแดงโดยพลัน เขาตื่นเต้นชั่วขณะจนลืมว่ารอบข้างยังมีคนอื่นอยู่
“พี่โจว ขอแสดงความยินดีด้วย หลานหลี่อายุน้อยๆ ก็เข้าสู่ระดับสร้างรากฐานระยะกลาง ท่านมีผู้สืบทอดแล้ว” หัวหน้าตระกูลหวังออกเสียงกู้สถานการณ์
ความดีใจที่ปิดไม่มิดบนหน้าท่านโจว ไม่มีใครเข้าใจดีไปกว่าเขา นักบำเพ็ญเพียรปราชญ์เลื่อนขั้นยากเพียงใด คำพูดของหัวหน้าตระกูลหวังพูดเข้าไปถึงส่วนลึกในใจของเขา
“ท่านหัวหน้าตระกูลหวัง ท่านผู้เฒ่าสาม ข้าและศิษย์มารบกวนนานแล้ว อีกทั้งศิษย์ก็ได้เลื่อนขั้นที่นี่อีก ข้าซาบซึ้งเหลือคณา บัดนี้เวลาไม่เช้าแล้ว ก็ขออำลา ณ ที่นี้เลยแล้วกัน” ท่านโจวกอบหมัด
“ท่านโจวเดินทางปลอดภัย” ทุกคนเอ่ยพร้อมกัน
ท่านโจวโยนพัดในมือขึ้นฟ้า พัดใหญ่ขึ้นในพริบตา แล้วลากหลี่จื้อหย่วนกระโดดขึ้นไปพร้อมกัน
“ไว้พบกันใหม่” ท่านโจวพยักหน้าแผ่วเบาให้ทุกคน อุตส่าห์กวาดสายตามองมั่วชิงเฉินปราดหนึ่ง ภาพม้วนนั้นแม้ถูกศิษย์ซ่อนขึ้นมา รายละเอียดในนั้นเขากลับเห็นนานแล้ว ถ้าเขาเดาไม่ผิด คนรูปโฉมสะคราญในภาพก็คือแม่นางมั่วที่ทำตัวค้อมต่ำตรงหน้าผู้นี้แล้ว
เช่นนี้แล้ว ศิษย์ของตนกลับติดค้างหนี้น้ำใจแม่นางมั่วผู้นี้แล้ว
“ไว้พบกันใหม่นะ!” หลี่จื้อหย่วนโบกมือให้มั่วชิงเฉินและคุณชายหก ยามที่กำลังพูดอยู่นั้นพัดที่อยู่ใต้เท้าก็พุ่งออกไปดั่งดาวตก เขายืนไม่นิ่งเกือบถูกแกว่งตกลงมา สองมือกอดขอบพัดไว้แน่น ร้องเสียงดังว่า “อาจารย์ ท่านเร่งอาวุธเวทเหตุใดไม่บอกกล่าวกันสักคำล่ะ”
จากไกลๆ ยังสามารถได้ยินท่านโจวฮึเสียงเย็นเยียบและเสียงขบเขี้ยวเคี้ยวฟันของหลี่จื้อหย่วน “อาจารย์ นี่ท่านต้องเอาคืนอยู่แน่ๆ…อ๊าก ช้าหน่อยสิ ให้ข้าขึ้นไป!”
ผู้คนในศาลาต่างมองหน้ากัน มั่วชิงเฉินและคุณชายหกหัวเราะออกมาเบาๆ หัวหน้าตระกูลหวังสีหน้าเคร่งขรึม ในใจกลับแอบคิดว่า ตนก็ควรรับศิษย์สักคนแล้วใช่หรือไม่?
ส่งอาจารย์ศิษย์สองคนไปแล้ว มั่วชิงเฉินจึงร่ำลาจากไป
คุณชายหกกำลังจะถอยลงไป ทันใดนั้นหัวหน้าตระกูลหวังเอ่ยว่า “หวังหก เจ้ารอสักครู่”
“ท่านหัวหน้าตระกูลมีอันใดจะสั่งการขอรับ?” คุณชายหกถามอย่างนอบน้อม ในใจกลับตีกลองอยู่
หัวหน้าตระกูลหวังเหลือบมองคุณชายหกปราดหนึ่ง ถึงว่า “เมื่อครู่เกิดอะไรขึ้น?”
ยังคงถามตามคาดจริงๆ คุณชายหกแอบถอนใจอยู่ในใจ ปากก็ว่า “เมื่อครู่พวกเราสามคนดื่มสุราอยู่ในศาลา จู่ๆ คุณชายหลี่ก็เกิดอารมณ์สุนทรีย์ ถือพู่กันวาดภาพหนึ่ง ต่อจากนั้นก็เห็นปราณสีม่วงสายหนึ่งมาจากทิศตะวันออก แล้วเขาก็เข้าสู่สภาพเลื่อนขั้นขอรับ”
“วาดภาพหนึ่ง? ภาพอะไร?” หัวหน้าตระกูลหวังรีบถาม ดูท่าจุดสำคัญที่หลานหลี่ผู้นั้นเลื่อนขั้นก็อยู่ที่ภาพนั้น
คุณชายหกชะงักทีหนึ่งถึงว่า “ข้าน้อยไม่ทราบขอรับ พวกเรายังไม่ทันได้เห็นภาพนั้น เขาก็เข้าสู่สภาพเลื่อนขั้น พวกเราจึงไม่กล้าขยับส่งเดช หลังจากนั้นท่านหัวหน้าตระกูลพวกท่านก็รุดมาแล้วขอรับ”
“เช่นนั้นช่างเถอะ เจ้าถอยไปเถอะ” หัวหน้าตระกูลหวังโบกมือ
คุณชายหกโล่งใจ รีบถอยออกไป
“หัวหน้าตระกูล เหตุใดข้ารู้สึกว่าเจ้าเด็กหวังหกนั่นรู้รายละเอียดบนภาพนั่นล่ะ?” ผู้เฒ่าสามเอ่ยอย่างไม่พอใจ
ตั้งแต่หวังสี่เกิดเรื่อง หวังหกและแม่นางมั่วก็สนิทสนมกันมาก เขาจึงมองเจ้าเด็กนั่นขวางหูขวางตา ช่วยไม่ได้ที่หัวหน้าตระกูลบอกว่าบัดนี้ในตระกูลไม่มีรุ่นหลังที่โดดเด่น หวังหกนับว่าไม่เลวแล้ว เขาจึงได้แต่อดทนไว้
“ในเมื่อเขาไม่อยากพูด เรื่องของเด็กๆ ก็ปล่อยพวกเขาไปเถอะ” หัวหน้าตระกูลหวังเอ่ยนิ่งเรียบ
คุณชายหกที่เดินออกจากประตูมากลับต้องเช็ดเหงื่อเย็น พูดปดต่อหน้าหัวหน้าตระกูล แรงกดดันช่างมากเหลือเกิน
แน่นอนเขาย่อมรู้รายละเอียดในภาพนั้นอยู่แล้ว ก็เพราะว่ารู้ถึงไม่กล้าพูดออกมา
ในพริบตาที่เห็นโฉมหน้าที่แท้จริงของมั่วชิงเฉิน เขาที่คิดว่าพลังการควบคุมตนเองของตนแข็งแกร่งมากมาตลอดยังลืมหายใจ มีความรู้สึกอยากใช้กำลังยึดความสวยงามตรงหน้าไว้เป็นของตน นั่นไม่เกี่ยวกับความรัก หากแต่เป็นความละโมบตามธรรมชาติของคน
ในที่สุดเขาก็เข้าใจแล้วว่าเหตุใดแม่นางมั่วมักไว้ผมข้างหน้าหนาๆ ทำให้คนมองหน้าตาไม่ชัด
หากนางเปิดเผยหน้าตาที่แท้จริงต่อหน้าผู้คน นักบำเพ็ญเพียรระดับสร้างรากฐานทั่วไปจิตใจยังฝึกฝนไม่พอ เห็นแล้วไม่รู้ว่าจะก่อให้เกิดหายนะมากน้องเพียงใด
เกรงว่าแม่นางมั่วอย่างน้อยต้องถึงระดับก่อแก่นปราณ ถึงสามารถไม่สนใจสายตาของผู้อื่นได้กระมัง
นักบำเพ็ญเพียรระดับตั้งแต่ก่อแก่นปราณขึ้นไป จิตใจมั่นคง ยากมากที่จะหวั่นไหวเพราะรูปลักษณ์ภายนอกอีก ส่วนนักบำเพ็ญเพียรตั้งแต่ระดับก่อแก่นปราณลงมา ย่อมไม่กล้าตอแยนักบำเพ็ญเพียรระดับก่อแก่นปราณที่แข็งแกร่ง
นึกถึงตรงนี้ คุณชายหกยิ่งสงสารและนับถือมั่วชิงเฉินขึ้นอีก หญิงสาวคนใดไม่อยากเปิดเผยด้านที่สวยงามที่สุดต่อหน้าผู้คนล่ะ? ส่วนนางกลับสามารถยับยั้งชั่งใจนิสัยตามธรรมชาติได้ ตั้งใจฝักใฝ่เต๋า
หากมั่วชิงเฉินรู้ความคิดของคุณชายหก เกรงว่าจะพูดไม่ออกบอกไม่ถูก นางไม่เคยรู้สึกว่าที่ตนเองเป็นเช่นนี้ไม่ได้รับความเป็นธรรม เหตุการณ์ที่ต้วนชิงเกอถูกนักบำเพ็ญเพียรชายนับไม่ถ้วนไล่ตามต้องกลัดกลุ้มอย่างยิ่งในปีนั้นทำให้นางยังกลัวไม่หาย รู้สึกโชคดีมาตลอดว่าตนมีสายตาที่มองเหตุการณ์ล่วงหน้าออก
เจ็ดวันให้หลัง ยามที่มั่วชิงเฉินเดินเล่นอยู่ข้างทะเลสาบ คุณชายหกได้ส่งมุกจื่อหวาสงบจิตคู่หนึ่งที่สลักคาถาเร้นลับแล้วมาให้ แววตามองไปยังซีสุ่ยเสี่ยวจู้อย่างไม่รู้ตัว
มั่วชิงเฉินแอบถอนใจเสียงหนึ่ง ดูท่าทางคุณชายหกต้องมีใจให้พี่สิบสี่อย่างลึกซึ้ง
“คุณชายหก ไม่สู้ไปนั่งที่ซีสุ่ยเสี่ยวจู้สักครู่?” มั่วชิงเฉินถาม
นัยน์ตาคุณชายหกฉายแววมืดมนแวบหนึ่ง แล้วยิ้มอย่างระทมว่า “ไม่แล้ว ข้ายังมีธุระ” พูดจบก็ร่ำลาจากไป
มั่วชิงเฉินมองดูเงาหลังที่จากไปไกลของเขา มักรู้สึกว่าออกจะทุลักทุเลอยู่บ้าง
หลังอาหาร มั่วชิงเฉินและมั่วหนิงโหรวเอนอยู่บนต่างคุยสัพเพเหระกันตามอำเภอใจ
“วันนี้คุณชายหกมาแน่ะ” จู่ๆ มั่วชิงเฉินก็เอ่ยขึ้น
มั่วหนิงโหรวชะงักงัน จากนั้นสีหน้ากลับคืนสู่ความสงบ
มั่วชิงเฉินกัดริมฝีปาก ในที่สุดก็ทนไมไหวว่า “พี่สิบสี่ เจ้าคิดเช่นไรต่อคุณชายหก?”
มั่วหนิงโหรวเบิกตากว้าง “คุณชายหกเป็นคนดีมากนะ เป็นอันใดหรือ น้องสิบหกเจ้า?”
สวรรค์ ดูความหมายของนางเช่นนี้ช่างไม่รู้ถึงความรู้สึกที่คุณชายหกมีต่อนางเสียเลย!
มั่วชิงเฉินยิ้มอย่างจำใจ เบนหัวข้อว่า “พี่สิบสี่ บัดนี้สุขภาพของเจ้าแม้ยังรีบบำเพ็ญเพียรไม่ได้ กลับบำรุงรักษาจนดีขึ้นแล้ว ดังนั้นชิงเฉินกะว่าอีกไม่กี่วันก็จะไปจากทะเลขนาบใจ”
มั่วหนิงโหรวหน้าซีด “เร็วปานนี้เชียว? น้องสิบหก เจ้าจะไปไหน?”
มั่วชิงเฉินกุมมือนางไว้ว่า “ข้าจากสำนักมาห้าปีกว่าแล้ว ในใจคิดถึงยิ่งนัก อยากกลับไปดูในเร็ววัน พี่สิบสี่ ชิงเฉินขอถามเจ้าอีกครั้งหนึ่ง เจ้าไม่ยอมไปกับข้าจริงหรือ?”
มั่วหนิงโหรวส่ายศีรษะ “น้องสิบหก ข้าเคยบอกไว้นานแล้ว ข้าไปไม่ได้”
มั่วชิงเฉินโกรธแล้ว “เหตุใดไม่ได้ หวังสี่มีอะไรดี ต่อให้เป็นเยี่ยนเยี่ยน ข้ามองดูอย่างคนภายนอกก็ไม่รู้สึกว่าเขาจะเห็นความสำคัญสักเพียงไหน”
นางรู้ว่าตนพูดเช่นนี้หนักไปสักหน่อยแล้ว ทว่าดูท่าทางเอื่อยเฉื่อยของมั่วหนิงโหรวเช่นนี้แล้ว ทนไม่ไหวจริงๆ
มั่วหนิงโหรวกัดริมฝีปากมองหน้าแฝงไว้ด้วยความโกรธของมั่วชิงเฉิน แล้วหลุบหน้าลงช้าๆ เอ่ยเบาๆ ว่า “ข้าไม่อาจไม่รักษาคำพูดต่อเขาได้”
“หมายความว่าเช่นไร?”
มั่วหนิงโหรวนิ่งเงียบชั่วครู่ ในที่สุดก็เอ่ยเนิบๆ ว่า “ปีนั้นข้ารับปากเป็นอนุของเขา เขาจึงสาบานว่าหากมีวันหนึ่งกลายเป็นนักบำเพ็ญเพียรระดับก่อแก่นปราณ ก็…ก็จะช่วยข้าแก้แค้น”
มั่วหนิงโหรวพูดถึงตรงนี้แล้วหลับตาลง เหตุการณ์ในปีนั้นค่อยๆ ปรากฏชัดเจนขึ้นมา
“ถึงข้าตายก็ไม่เป็นอนุ!” สาวน้อยชุดชมพูถลึงตาใส่ผู้ชายหล่อเหลาตรงหน้า ใบหน้าฉายแววมุ่งมั่นแวบหนึ่ง
ผู้ชายยิ้มว่า “หากเจ้ารับปาก ข้าก็จะทำความหวังของเจ้าให้เป็นจริงข้อหนึ่ง”
สาวน้อยพิจารณาผู้ชายอย่างลังเล ในที่สุดก็ทนความเย้ายวนไม่ไหวบอกความหวังที่อยู่ลึกเข้าไปในใจออกมา
ผู้ชายชะงัก จากนั้นว่า “หากข้าเลื่อนขั้นเข้าระดับก่อแก่นปราณ ก็จะไปช่วยเจ้าแก้แค้น เพียงแต่เจ้าก็ต้องรับปากเงื่อนไขข้าข้อหนึ่ง หลังจากเป็นอนุของข้าแล้ว เจ้าไม่อาจหย่อนการบำเพ็ญเพียรได้ ต้องพยายามเพิ่มตบะให้สูงขึ้นอย่างสุดความสามารถ”
“ข้ารับปาก” สาวน้อยไม่รู้สึกว่านี่นับว่าเป็นเงื่อนไข
ผู้ชายมองสาวน้อยที่โฉมดั่งบุปผาที่อ่อนเยาว์ หัวเราะเสียงกังวาน แล้วอุ้มสาวน้อยโยนลงบนเตียงใหญ่อันสวยงาม…