พันธกานต์ปราณอัคคี - ตอนที่ 188 ฤกษ์งามยามดีคู่ทิวทัศน์งดงาม
มั่วชิงเฉินกุมหน้าผาก หวังสี่ที่สมควรตาย หวังสี่ที่ไม่ได้ตายดี มิน่าพี่สิบสี่ถึงเชื่อเขาอย่างสุดจิตสุดใจ ที่แท้ก็ถูกคำพูดหวานหอมเสนาะหูหลอกลวงแล้ว เอาเป็นว่านางไม่มีทางเชื่อว่าผู้ชายที่ไม่เลือกวิถีทางเพื่อหนทางแห่งอายุยืนยาว จนสามารถทำลายขีดจำกัดทุกอย่างจะทำเพื่ออนุคนหนึ่งในจำนวนอนุมากมายไปแลกชีวิตกับนักบำเพ็ญเพียรระดับก่อแก่นปราณได้
ทว่าดูท่าทางจิตใจตุ้มๆ ต่อบๆ ของมั่วหนิงโหรว มั่วชิงเฉินกลืนคำพูดที่เอ่อขึ้นมาถึงริมฝีปากลงไป
ยามนี้บอกนางว่าคำสัญญาของผู้ชายคนนั้นไม่อาจเชื่อได้ เช่นนั้นไม่เท่ากับบอกว่าการเสียสละและอดทนของนางในหลายปีมานี้กลายเป็นเรื่องตลกเรื่องหนึ่งหรอกหรือ เช่นนั้นความยึดมั่นที่ค้ำชูนางตลอดมานี้จะพังทลายลงทันทีหรือไม่?
“น้องสิบหก เจ้าว่า เขา…เขาจะรักษาสัญญาหรือไม่?” มั่วหนิงโหรวถามอย่างลังเล
มั่วชิงเฉินถอนใจ “ข้าไม่รู้ ใจคนเปลี่ยนง่ายยากคาดเดาที่สุด ดังนั้นหากเป็นความหวังที่ชิงเฉินอยากให้เป็นจริง ก็จะพึ่งแต่ตนเองเท่านั้น”
มั่วหนิงโหรวสีหน้าซีดแล้วซีดอีก หลุบม่านตาลงถูนิ้วมือที่แห้งเ**่ยว พึมพำว่า “หลายปีมานี้ มีบางเวลาหนิงโหรวก็คิดอยู่ ว่าเขาหลอกข้าอยู่หรือไม่ เมื่อถึงระดับก่อแก่นปราณไม่มีทางแก้แค้นแทนข้าโดยสิ้นเชิง ทว่าทุกครั้งที่ปรากฏความคิดเช่นนี้ข้าก็จะพยายามสุดชีวิตกดลงไป น้องสิบหก เจ้าว่าข้าโง่มากใช่หรือไม่?”
มั่วชิงเฉินมองมั่วหนิงโหรวด้วยความสงสาร ไม่ได้พูดอะไร
มั่วหนิงโหรวพูดเองเออเองต่อว่า “ที่จริงถึงบัดนี้หนิงโหรวก็ไม่มีสิ่งใดต้องเสียใจภายหลังแล้ว มาถึงตระกูลหวัง ต่อให้ไม่กลายเป็นอนุของคุณชายสี่ ก็ต้องกลายเป็นของคนอื่น ชีวิตนี้ไม่สามารถตัดสินใจเองได้ตั้งแต่แรกอยู่แล้ว หลายปีมานี้คุณชายสี่ก็ไม่นับว่าปฏิบัติอย่างไม่เป็นธรรมกับข้า อีกทั้งยังมีลูกที่น่ารักเช่นเยี่ยนเยี่ยน ดังนั้นหนิงโหรวเต็มใจเชื่อคำพูดของคุณชายสี่ ถึงวันที่หลับตาลงวันนั้น อย่างน้อยก็มีสิ่งให้ยึดถือบ้าง”
เห็นมั่วชิงเฉินไม่พูดมั่วหนิงโหรวยิ้มอย่างขมขื่นว่า “น้องสิบหก เจ้ารังเกียจข้าไม่เอาไหนใช่หรือไม่? ตั้งแต่เด็กเจ้าก็เก่งกว่าข้า ก็เหมือนที่เจ้าพูด ของที่เจ้าอยากได้ก็จะพยายามเอามาด้วยตนเอง ส่วนหนิงโหรว กลับมักรอให้คนอื่นหยิบยื่นมาให้…”
มั่วชิงเฉินส่ายศีรษะ เอ่ยอย่างจริงจังว่า “พี่สิบสี่ นิสัยแต่ละคนไม่เหมือนกัน การกระทำก็ย่อมต่างกัน เจ้าไม่จำเป็นต้องดูถูกตนเองจนเกินไป ทว่ามีข้อหนึ่งเจ้าต้องทำให้ได้ นั่นก็คือมีชีวิตอยู่ต่อไปให้ดี ถึงวันที่เห็นตระกูลมั่วเราได้แก้แค้นอันใหญ่หลวงกับตา”
“ข้า…”
มั่วชิงเฉินโบกมือ ก็ปรากฏขวดหยกกล่องหยกใหญ่ๆ เล็กๆ ขึ้นบนต่าง จากนั้นชี้กล่องหยกสองใบขนาดเท่ากล่องเครื่องประดับว่า “ข้างในใบสีชมพูใส่ฝูหลิงเหลืองไว้ ข้างในใบสีมรกตใส่เม็ดบัวหิมะไว้ พี่สิบสี่ ทุกวันเจ้าต้องกินน้ำแกงฝูหลิงเม็ดบัวหนึ่งชาม รอสมุนไพรทิพย์สองกล่องนี้ใช้หมด ก็สามารถบำเพ็ญเพียรตามปกติได้แล้ว ในขวดหยกสีเขียวพวกนี้คือยาลูกกลอนรวมวิญญาณ ในขวดหยกสีขาวคือโอสถหน่อเหลือง โอสถพวกนี้พอให้เจ้าบำเพ็ญเพียรถึงระดับหลอมลมปราณขั้นสมบูรณ์แล้ว”
พูดถึงตรงนี้ยังไม่รอมั่วหนิงโหรวพูด ก็หยิบขวดหยกสีมรกตใบหนึ่งออกมายื่นไป พูดเบาๆ ว่า “ในนี้คือโอสถสร้างรากฐานสามเม็ด”
“หา!” มั่วหนิงโหรวอยู่ในความตะลึงตลอดเวลา ได้ยินโอสถสร้างรากฐาน ในที่สุดก็ตกใจร้องเสียงหลง
“รอกลายเป็นนักบำเพ็ญเพียรระดับสร้างรากฐาน ก็จะมีอายุขัยสามร้อยปี พี่สิบสี่ เจ้าสามารถทำได้ใช่หรือไม่?” มั่วชิงเฉินกุมมือของมั่วหนิงโหรวไว้
มั่วหนิงโหรวจ้องมือที่ขาวดั่งหยกของมั่วชิงเฉิน น้ำตาหยดลงไปหนึ่งหยด กลับเงยหน้าขึ้นว่า “น้องสิบหกเจ้าทำเพื่อข้าถึงเพียงนี้ หากหนิงโหรวไม่เอาถ่านอีก ต่อให้ตายไปก็ไม่มีหน้าไปพบท่านพ่อท่านแม่แล้ว”
มั่วชิงเฉินหัวเราะ “ดังนั้นเจ้าจะตายไม่ได้ ใช่แล้ว โอสถพวกนี้เป็นส่วนของเยี่ยนเยี่ยน พี่สิบสี่ฝากมอบให้แทนชิงเฉินด้วย”
รอถึงยามอาหารเย็น มั่วชิงเฉินหยิบมุกกันน้ำเม็ดหนึ่งและอาวุธเวทปิ่นหยกที่ได้มาตั้งแต่หลายปีก่อนมอบให้เยี่ยนเยี่ยนอีกถือเป็นการชดเชยของขวัญพบหน้า
ไข่มุกแสนสวยและปิ่นหยก แม่นางน้อยดีใจจนกระโดดโลดเต้น ล้อมหน้าล้อมหลังมั่วชิงเฉินพูดไม่หยุด
อยู่อีกสองวัน ในที่สุดมั่วชิงเฉินก็พูดถึงการจากลา
“พี่สิบสี่ เจ้าไม่ต้องส่งแล้ว ชิงเฉินไปบอกกล่าวหัวหน้าตระกูลหวังเสียงหนึ่งก็จะจากไปโดยตรงแล้ว” มั่วชิงเฉินมองท่าทางมั่วหนิงโหรวที่ร้องไห้จนดวงตาพร่าเลือน จึงเกลี้ยกล่อมเสียงเบา จากนั้นเสียงต่ำลงมาว่า “พวกเราพี่น้อง ต้องมีวันที่ได้พบกันแน่นอน”
มั่วหนิงโหรวพยักหน้าเบาๆ จับมือของเยี่ยนเยี่ยนไว้แน่น
มั่วชิงเฉินยื่นมือลืบศีรษะเยี่ยนเยี่ยน “เยี่ยนเยี่ยน ท่านแม่เจ้าสุขภาพไม่ดี เจ้าต้องดูแลนางดีๆ แทนน้าสิบหกนะ”
เยี่ยนเยี่ยนพยักหน้าแรงๆ เอ่ยเสียงหวานว่า “ท่านน้าสิบหกวางใจเจ้าค่ะ เยี่ยนเยี่ยนจะดูแลท่านแม่ให้ดี แล้วก็จะตั้งใจบำเพ็ญเพียรปกป้องท่านแม่ ท่านน้าสิบหก ท่านอย่าลืมเยี่ยนเยี่ยนนะ ยังต้องกลับมาเยี่ยมเยี่ยนเยี่ยนอีกนะเจ้าคะ”
มั่วชิงเฉินหยิกใบหน้าของเยี่ยนเยี่ยนอย่างเอ็นดู “แน่นอน หากเยี่ยนเยี่ยนเติบใหญ่แล้วเก่งแล้ว ก็ไปเยี่ยมน้าสิบหกได้เช่นกันนะ”
“อืม!” เยี่ยนเยี่ยนดวงหน้าน้อยๆ เป็นประกาย
มั่วชิงเฉินกวาดสายตาผ่านสาวใช้ฝาแฝดที่สีหน้าบอกไม่ถูก เอ่ยนิ่งเรียบว่า “ไห่อิง ไห่เอี้ยน นี่ข้าก็จะไปแล้ว วันเวลาเหล่านี้ขอบคุณที่พวกเจ้าดูแลข้าอย่างเอาใจใส่ ทำให้ข้าไม่ต้องกังวลเรื่องตั้งมากมาย ยาลูกกลอนรวมวิญญาณสองขวดนี้พวกเจ้ารับไว้ นับว่าเป็นน้ำใจเล็กน้อยจากข้า ฮูหยินสี่จิตใจเมตตาคิดว่าพวกเจ้าก็เห็นแล้ว หากเต็มใจ ก็อยู่ที่ซีสุ่ยเสี่ยวจู้คอยปรนนิบัตินางเถอะ”
พูดจบ มั่วชิงเฉินยกตัวกระโดดขึ้นเรือเล็ก
พี่น้องฝาแฝดถือโอสถทิพย์แล้วมองตากันอย่างงงๆ ปราดหนึ่ง ทันใดนั้นก็คุกเข่าลงต่อหน้ามั่วชิงเฉิน เอ่ยพร้อมกันว่า “แม่นางมั่ว ได้โปรดรับพวกเราไว้ด้วยเถอะเจ้าค่ะ”
มั่วชิงเฉินงงงันเล็กน้อย
พี่น้องฝาแฝดเห็นมั่วชิงเฉินไม่พูด ร้อนใจขึ้นมาทันที ศีรษะติดพื้น โขกดังปึงๆ ว่า “แม่นางมั่ว พวกเรารู้ว่าท่านไม่ชอบให้คนปรนนิบัติ พวกเราสองคนพี่น้องสามารถเก็บกวาดที่พำนักให้ท่านได้ ดูแลเรื่องจิปาถะ ดูแลสวนสมุนไพร หรือว่ากวาดพื้นก็ได้ ขอเพียงท่านรับพวกเราไว้ ให้พวกเราทำอะไรก็ได้เจ้าค่ะ”
มั่วชิงเฉินคิดไม่ถึงจริงๆ ว่าสองพี่น้องคู่นี้หลายวันมานี้ไม่ออกเสียงสักแอะ ในใจกลับตัดสินใจเช่นนี้แล้ว จึงอดถามไม่ได้ว่า “พวกเจ้ารู้หรือไม่ว่าข้าจากไปดินแดนเทียนหยวนครั้งนี้ ชั่วชีวิตนี้อาจไม่ได้กลับมาทะเลขนาบใจอีกแล้วก็ได้?
ไห่อิงโขกศีรษะทีหนึ่งพูดว่า “แม่นางมั่ว พวกเราพี่น้องถูกตระกูลหวังซื้อไว้ตั้งแต่เยาว์วัยกลายเป็นสาวใช้สำรองของหอว่างไห่ หากไม่ใช่ครั้งแรกที่เข้าหอว่างไห่ก็ได้พบแม่นาง ช้าเร็วต้องเหมือนพวกพี่สาวก่อนหน้าถูกมอบให้แขกของหอว่างไห่เหมือนสิ่งของ ต่อให้ไม่เข้าหอว่างไห่อีก คุณชายสิบเจ็ดวันหลังก็ไม่ละเว้นพวกเรา แม่นางมั่ว ได้โปรดรับพวกเราไว้เถอะ ไม่ว่าท่านไปไหน พวกเราล้วนเต็มใจติดตามเจ้าค่ะ”
ไห่เอี้ยนที่อยู่ข้างๆ ไม่พูดสักแอะ เพียงแต่ยิ่งออกแรงโขกศีรษะ
มั่วชิงเฉินยกมือขึ้น ทำให้ทั้งสองคนลุกขึ้นยืนอย่าไม่ทันตั้งตัว ถึงว่า “ทะเลขนาบใจห่างจากดินแดนเทียนหยวนนับหมื่นลี้ ระหว่างทางไม่รู้ต้องพบเจออันตรายเท่าไร ข้าเป็นเพียงนักบำเพ็ญเพียรระดับสร้างรากฐาน เกรงว่ายากจะปกป้องพวกเจ้าพี่น้องได้ถี่ถ้วน”
ไห่เอี้ยนที่นิ่งเงียบมาตลอดจู่ๆ ก็เงยหน้าขึ้น พูดอย่างเด็ดเดี่ยวว่า “ขอเพียงแม่นางมั่วยอมให้ทางรอดอันริบหรี่แก่พวกบ่าว วันหลังจะเป็นจะตายล้วนเป็นบุญกรรมของพวกเรา จะไม่โทษเทวดาฟ้าดินแน่นอน ขอเพียงไปจากตระกูลหวังได้ อย่างไรเสียก็สะอาด…”
มั่วชิงเฉินครุ่นคิดเนิ่นนาน ในที่สุดถอนใจว่า “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ พวกเจ้าก็ตามข้าไปเถอะ”
พี่น้องสองคนประสานสายตากัน ใบหน้าเต็มไปด้วยความปีติ เอ่ยพร้อมกันว่า “ขอคุณหนูโปรดประทานชื่อ!”
เสียงหวานกังวาน ในที่สุดก็กลับมามีลักษณะของเด็กสาวที่ควรมีแล้ว
มั่วชิงเฉินนึกถึงเหตุการณ์ที่ปีนั้นท่านปู่หัวหน้าตระกูลประทานชื่อให้นาง ชื่อใหม่ชื่อหนึ่ง ก็หมายถึงการเริ่มต้นชีวิตใหม่กระมัง
“ใครๆ ก็ว่าฤกษ์งามยามดี ทิวทัศน์งดงาม จิตใจเบิกบาน ความอภิรมย์ ทั้งสี่ยากจะครบได้ ข้าไม่ละโมบ ก็ขอรับสองสิ่งก่อนแล้วกัน ไห่อิงชื่อว่าเหลียงเฉิน[1] ไห่เอี้ยนชื่อว่าเหม่ยจิ่ง[2] พวกเราไปเถอะ” มั่วชิงเฉินโบกมือให้มั่วหนิงโหรวแม่ลูก พาสาวใช้สองคนนั่งเรือจากไป
มั่วชิงเฉินร่ำลาหัวหน้าตระกูลหวัง ส่งยันต์ส่งสารให้คุณชายหกใบหนึ่ง รออยู่ครึ่งชั่วยามไม่เห็นเงาของเขา จึงบังคับเรือเล็กบินออกจากเกาะใจศักดิ์สิทธิ์
ตามองเกาะใจศักดิ์สิทธิ์เล็กลงเรื่อยๆ จนค่อยๆ กลายเป็นจุดดำเล็กๆ จุดหนึ่งอย่างช้าๆ มั่วชิงเฉินถอนใจ อยู่ที่นี่มานานปานนี้ ในที่สุดบัดนี้ก็จากไปได้แล้ว ทว่าสถานที่แห่งนี้วันหลังก็คงจะกลายเป็นหนึ่งในสิ่งที่นางคำนึงถึงกระมัง
“แม่นางมั่ว แม่นางมั่ว…” เสียงเรียกอันร้อนรนของคุณชายหกดังมาจากด้านหลัง
มั่วชิงเฉินหยุดเรือเล็กไว้บนฟ้า ไม่นานนักก็เห็นคุณชายหกบังคับเรือบินรุดมา
“แม่…แม่นางมั่ว เหตุใดไม่รอข้ากล่าวลา ก็จากมาทั้งเช่นนี้แล้ว?” คุณชายหกเหนื่อยจนหอบแฮ่กๆ เห็นชัดว่าสูญเสียพลังวิญญาณไปไม่น้อย
มั่วชิงเฉินยิ้มหวาน “พบกันจากลาฟ้ากำหนด วาสนาดั่งลม คุณชายหก เราพบกันคราวหน้าก็เหมือนกันมิใช่หรือ ใยจำต้องกล่าวลาด้วยล่ะ?”
คุณชายหกหน้าบึ้ง “ได้ๆ พวกเจ้าล้วนอิสระผึ่งผายกว่าข้า ข้ามันก็คนยึดติดตนหนึ่ง พอใจหรือยัง? เช่นนั้นดีเลย ของขวัญที่ข้าเตรียมไว้ก็ไม่จำเป็นต้องให้แล้ว ไหนๆ พวกนี้ก็ล้วนเป็นก้อนเมฆใช่ไหมล่ะ”
มั่วชิงเฉินสนุกขึ้นมาแล้ว ถึงยามนี้นางถึงพบว่าคุณชายหกก็เป็นคนตลก รีบเอ่ยว่า “คุณชายหก ไม่รู้ว่าก้อนเมฆที่เจ้าเตรียมไว้คืออันใด ให้ข้าคนยึดติดคนนี้ดูสักหน่อยสิ
คุณชายหกถึงพอใจ ยื่นกระดาษหนังวัวม้วนหนึ่งให้ว่า “ไม่ใช่ของมีราคาอะไร เพียงแต่รู้สึกว่ามอบให้แม่นางมั่วเหมาะสมที่สุดแล้ว”
มั่วชิงเฉินยื่นมือรับมาใช้จิตตระหนักกวาดดู แล้วอดดีใจไม่ได้ ไม่นึกเลยว่าในนี้บันทึกวิธีหมักสุราทิพย์ไว้สิบกว่าชนิด เป็นของขวัญที่ถูกใจมากจริงๆ เพียงแต่ คุณชายหกรู้ได้อย่างไรว่าตนชอบดื่มสุราหมักสุราล่ะ?
เห็นสายตาประหลาดใจของมั่วชิงเฉิน คุณชายหกยิ้มว่า “ได้ยินโหรวเอ๋อร์พูดโดยบังเอิญว่านางมีน้องสาวคนหนึ่งชอบดื่มสุราตั้งแต่เด็ก มีพรสวรรค์ในด้านหมักสุราเป็นพิเศษ ข้าเห็นแม่นางมั่วคอแข็งไม่อาจประมาณได้ คิดว่าน้องสาวที่โหรวเอ๋อร์พูดคนนั้นต้องเป็นเจ้าแน่แล้ว”
ความอบอุ่นไหลเวียนอยู่ในใจมั่วชิงเฉิน มองรอยยิ้มจริงใจที่เผยออกมาในตาคุณชายหก ทันใดนั้นจึงว่า “คุณชายหก มีเรื่องบางเรื่องเจ้าไม่พูดคนอื่นก็ไม่อาจรู้ได้ โชคดีหรือโชคร้าย บางทีอยู่แค่ชั่วความคิดของเจ้า”
เพิ่งสิ้นเสียง เรือเล็กก็จากไปไกลดั่งดาวตก ทำให้เกิดลำแสงสีเขียวสายหนึ่ง
คุณชายหกที่หยุดอยู่ที่เดิมเหลอหลาชั่วครู่ จู่ๆ มุมปากก็กระดกขึ้น แล้วบังคับเรือบินเหินไปทางตระกูล
เพราะว่ามีสาวใช้เพิ่มขึ้นมาสองคน พวกนางที่อยู่ระดับหลอมลมปราณขั้นสี่นั่งอาวุธเวทเหินหาวยังจำเป็นต้องมีพลังวิญญาณคุ้มกาย การเดินทางจึงช้ากว่าที่คาดคะเนไว้มากนัก
ดีที่มั่วชิงเฉินอยู่ระดับสร้างรากฐานระยะกลางแล้ว การจู่โจมมีก้อนอิฐและเถาวัลย์ และเคล็ดวิชาพันบุปผาแปลงไม้ที่อานุภาพเพิ่มมากขึ้นทุกวัน การป้องกันมีไหมเกล็ดน้ำแข็ง บวกกับอีกาไฟชั้นสองเป็นผู้ช่วย อสูรปีศาจที่พบเจอตลอดทางที่เดินทางมาล้วนกลายเป็นหินวิญญาณที่ส่งมาถึงหน้าบ้าน
น่านน้ำพิเศษบริเวณนั้นไม่สามารถใช้อาวุธเวทเหินหาวได้ เพราะว่ามีถุงหอมพิเศษอยู่ในมือ อสูรปีศาจในน่านน้ำจ้องตาเป็นมันกลับไม่กล้าเข้าใกล้ มั่วชิงเฉินจึงข้ามทะเลได้อย่างง่ายดาย
ผ่านตรงนั้นไป นางเหินหาวอย่างเต็มกำลังอีกครึ่งเดือนกว่า ก็ถึงน่านน้ำน้ำตื้นแล้ว เห็นคนธรรมดาไม่น้อยนั่งเรือจับปลา และก็มีนักบำเพ็ญเพียรจับอสูรปีศาจชั้นต่ำด้วยเช่นกัน
มั่วชิงเฉินไม่หยุดเลยแม้แต่น้อย บินตรงไปยังเทือกเขาฟางจู
ในวันนี้ หน้าประตูพรรคเหยากวงมีเรือเล็กลำหนึ่งร่อนลงอย่างเนิบๆ หญิงสาวสามนางเดินลงมาจากด้านบน
——
[1] เหลียงเฉิน หมายถึง ฤกษ์งามยามดี
[2] เหม่ยจิ่ง หมายถึง ทิวทัศน์งดงาม