พันธกานต์ปราณอัคคี - ตอนที่ 193 มักกลุ้มเพราะไร้รัก
มั่วชิงเฉินมองคนคนนั้นอย่างงงงัน รอยยิ้มของเขายังคงอ่อนโยนสำรวมเช่นนั้น คนกลับผ่ายผอมลงกว่าเดิม
“อาจารย์…” มั่วชิงเฉินพึมพำพลาง ขยับร่างกาย
ทว่าต่อจากนั้นก็เห็นเงาสีเหลืองดำสายหนึ่งควบไปเร็วดุจสายฟ้า กระแสอากาศที่กระเพื่อมขึ้นเกือบพัดมั่วชิงเฉินล้มลงกับพื้น
“เจ้านาย~~~~” อสูรเสือพายุทะลุฟ้าเปล่งเสียงออดอ้อนหวานจนเลี่ยน กอดกู้หลีเข้าเต็มๆ
กู้หลีตบหัวเสือของอสูรเสือพายุทะลุฟ้าเบาๆ เดินเข้ามาหามั่วชิงเฉินทีละก้าวๆ อสูรเสือพายุทะลุฟ้ากลับจับไว้แน่นไม่ปล่อย แขวนอยู่บนร่างกู้หลีแกว่งไปแกว่งมา
“ต้าฮวา…” ในที่สุดกู้หลีก็เรียกอย่างจำใจ
อสูรเสือพายุทะลุฟ้าถึงได้ปล่อยกรงเล็บอย่างน้อยใจ ตามอยู่หลังกู้หลีทุกฝีก้าว ถลึงตาใส่มั่วชิงเฉินเหมือนเตือน
ในสายตามั่วชิงเฉินกลับมีเพียงผู้ชายที่เดินมาหานาง
“ชิงเฉิน ข้ากลับมาแล้ว” กู้หลีมองดูศิษย์ที่ชะงักงันอยู่ อดหัวเราะไม่ได้
รอยยิ้มนั้นอบอุ่นสะอาด ไม่มีสิ่งอื่นใดเจือปน จู่ๆ ในใจมั่วชิงเฉินก็เกิดหวาดหวั่นขึ้นมา คำพูดมากมายติดอยู่ที่คอหอย ในที่สุดเพียงเรียกออกมาเบาๆ ว่า “อาจารย์”
กู้หลีตบไหล่มั่วชิงเฉิน “เพียงแค่ห้าปี เจ้าก็เลื่อนขั้นถึงระยะกลางแล้ว ช่างเหนือความคาดหมายของอาจารย์ มา เล่าสิ่งที่เจ้าประสบมาในหลายปีนี้ให้อาจารย์ฟังหน่อย” พูดพลางตวัดชายเสื้อขึ้น นั่งลงบนขั้นบันได
มั่วชิงเฉินรู้สึกเพียง ‘อาจารย์’ สองคำช่างทิ่มแทงหูเหลือเกิน ดันคนคนนั้นยังมองนางอย่างอ่อนโยนสงบ จึงอดกัดริมฝีปากล่างไม่ได้ว่า “อาจารย์ ท่านไม่มีอะไรจะพูดกับชิงเฉินหรือเจ้าคะ?”
กู้หลีชะงัก
มั่วชิงเฉินกัดฟัน แข็งใจว่า “อาจารย์ ท่านลงเขาไปหาข้าใช่หรือไม่เจ้าคะ?”
กู้หลีหรี่ตาขึ้นแผ่วเบา นิ้วมือเรียวยาวสางผ่านขนสีทองของอสูรเสือพายุทะลุฟ้า
“อาจารย์ ท่านไปนิกายเหอฮวนใช่หรือไม่เจ้าคะ ยัง…ยังฆ่านักบำเพ็ญเพียรที่ให้ร้ายชิงเฉินในยามนั้น?” มั่วชิงเฉินไม่เคยรู้สึกว่าการพูดลำบากได้ถึงเพียงนี้ แก้มร้อนผ่าวเป็นระลอก
“ชิงเฉิน เจ้าอยากพูดอะไร?” กู้หลีรู้สึกเพียงว่าไม่พบกันห้าปี ตนยิ่งไม่เข้าใจจิตใจของศิษย์ตัวน้อยแล้ว
มองดูแววตาที่กระจ่างทะลุปรุโปร่งของกู้หลี มั่วชิงเฉินรู้สึกถึงความสิ้นหวังอย่างไร้สาเหตุ ทว่าวันนี้หากนางไม่ถามให้รู้เรื่อง วันหลังเกรงว่าคงไม่มีความกล้าอีกแล้ว จึงสูดหายใจเข้าลึกๆ อึดหนึ่งว่า “อาจารย์ ท่าน…ไยท่านถึงดีกับชิงเฉินถึงเพียงนี้เจ้าคะ?”
กู้หลียิ้มแล้ว ในดวงตามีแสงดาวระยิบระยับ สิ่งที่หลั่งไหลออกมากลับเป็นความเอ็นดูที่ตนก็ไม่รู้ “เด็กโง่ ข้าเป็นอาจารย์ของเจ้านะสิ”
“เพียงเท่านี้หรือเจ้าคะ?” สีหน้ามั่วชิงเฉินค่อยๆ ซีดลง เม้มริมฝีปากแน่นมองตากู้หลีอย่างไม่ขยับเขยื้อน
ทันใดนั้นกู้หลีก็ถูกตาคู่นั้นมองจนใจเต้น นึกอะไรขึ้นได้รางๆ กลับรีบกดความคิดเหลวไหลนั่นลงไปทันที เสียงเย็นชาขึ้นอย่างไม่รู้สึกตัว “ชิงเฉิน ข้าเพิ่งออกมาจากโถงลงทัณฑ์ มีเรื่องบางอย่างต้องสะสางสักหน่อย รอวันหลัง เราศิษย์อาจารย์ค่อยคุยกันดีๆ แล้วกัน” พูดจบเม้มปาก เดินไปทางเรือนไม้ไผ่
มั่วชิงเฉินเหมือนถูกรดน้ำเย็นกะละมังหนึ่งลงเหนือศีรษะ รดจนนางรู้สึกหนาวใจ มองเงาหลังที่สันโดษนั้นแล้วกัดปาก ถึงไม่ได้ให้น้ำตาไหลลงมา
นางเหลือบมองเหลียงเฉินเหม่ยจิ่งที่งงงันมาตลอดปราดหนึ่ง ถึงหนีหัวซุกหัวซุนไปน้ำตกหลังเขา ถือกระบี่ไม้ชิงมู่ร่ายเคล็ดวิชาพันบุปผาแปลงไม้ครั้งแล้วครั้งเล่า
“เหม่ยจิ่ง คุณหนูนาง นางใช่…” เหลียงเฉินแม้ปากไวใจเร็ว กลับไม่ขาดความละเอียดอ่อนของสาวน้อย
เหม่ยจิ่งถลึงตาใส่เหลียงเฉินปราดหนึ่ง “เหลียงเฉิน นี่ไม่ใช่เรื่องที่เราควรกังวล วันนี้งานในสวนสมุนไพรยังทำไม่เสร็จ ไปเถอะ”
เหลียงเฉินตามเหม่ยจิ่งเดินไปทางสวนสมุนไพร ลังเลอยู่ครึ่งค่อนวันยังคงทนไม่ไหวว่า “ข้ารู้สึกเสมอมาว่าคุณหนูเป็นบุตรที่ได้รับความโปรดปรานจากสวรรค์ บัดนี้ถึงพบว่าคุณหนูก็มีสิ่งที่ทุกข์ใจเช่นกัน…”
“อุปายาส พลัดพรากจากสิ่งที่รัก ปรารถนาสิ่งใดไม่ได้สิ่งนั้น ในโลกนี้มีใครที่สามารถหลุดพ้นได้อย่างแท้จริงล่ะ?” เหม่ยจิ่งถอนใจเบาๆ ใช้จอบยากำจัดวัชพืชขึ้นมาอย่างระมัดระวัง
เขาไม่เข้าใจจิตใจของตนจริงๆ หรือแกล้งไม่รู้?
มั่วชิงเฉินรำกระบี่พลาง ถูกความถามนี้รบกวนจนใจเจ็บจี๊ดเป็นระลอก
หนึ่งรอบ สองรอบ สามรอบ..
มั่วชิงเฉินร่ายเคล็ดวิชาพันบุปผาแปลงไม้ไม่หยุดท่ามกลางน้ำตกที่หนาวเย็น พลังวิญญาณในร่างกายหลั่งไหลออกอย่างรวดเร็ว ทว่ากลับมีความรู้สึกสะใจอย่างพูดไม่ถูก
ท่านปู่พูดได้ถูกต้อง ความรักเป็นจุดอ่อนที่ใหญ่ที่สุดของนักบำเพ็ญเพียรหญิงจริงๆ นางอดนึกถึงคำสอนของมั่วต้าเหนียนเมื่อนานมากแล้วไม่ได้
ตามการร่ายรำกระบี่รอบแล้วรอบเล่า มั่วชิงเฉินค่อยๆ สัมผัสได้ถึงความรู้สึกที่คนและกระบี่รวมเป็นหนึ่งเดียว ราวกับในมือตนไม่ได้ถือกระบี่ หากแต่กระบี่และมือสายเลือดและชีพจรเชื่อมกัน กระบี่ก็คือมือ มือก็คือกระบี่
ความรู้สึกมหัศจรรย์เช่นนี้ทำให้มั่วชิงเฉินลืมสิ้นทุกสิ่ง สมองขาวโพลนไปหมด เคล็ดกระบี่กลับร่ายไปอย่างไม่รู้สึกตัว การเชื่อมต่อกันระหว่างกระบวนท่าแต่เดิม ความรู้สึกติดขัดเช่นนั้นหายไปไม่เหลือหลอ
หากมีคนอยู่ก็จะเห็นได้ว่า มั่วชิงเฉินที่ยืนอยู่กลางน้ำตกร่ายรำกระบี่ไหลลื่นดั่งสายน้ำ ราวกับกลายเป็นร่างเดียวกับน้ำตก
ความตระหนักของมั่วชิงเฉินค่อยๆ ว่างเปล่าทันใดนั้นรู้สึกได้ถึงกระบี่ไม้ในมือส่งเสียงครวญเบาๆ ต่อจากนั้นก็เห็นแสงสีเขียวเจิดจ้า ตรงหน้าปรากฏม่านฟ้าสีเขียวขึ้นผืนหนึ่ง
หลังจากนั้น ม่านฟ้าผืนนั้นแตกออกเป็นแสงวิญญาณละเอียดยิบยับในทันใด มั่วชิงเฉินที่ผลาญพลังวิญญาณในร่างจนสิ้นถูกกระแสน้ำไหลแรงของน้ำตกซัดจนขาอ่อนล้มลง
ในชั่วพริบตาที่มั่วชิงเฉินล้มลงรู้สึกได้ว่าหล่นเข้าไปในอ้อมกอดที่อบอุ่นแห้งกร้าน กลิ่นอายสดชื่นที่ปนด้วยกลิ่นหอมสุราอ่อนๆ ถาโถมเข้ามา
“อาจารย์” มั่วชิงเฉินยื่นมือออก กอดเอวกู้หลีไว้เบาๆ
กู้หลีร่างกายแข็งทื่อ ก้มหน้ามองมั่วชิงเฉิน หญิงสาวในอ้อมกอดผมข้างหน้าเปียกปอนด้วยน้ำ เผยให้เห็นดวงตาดอกท้อสดใสอย่างชัดเจน นัยน์ตามีประกายที่ทำให้เขาไม่กล้าจ้องมอง
กู้หลีรีบวางมั่วชิงเฉินไว้บนเตียง เอ่ยต่ำๆ ว่า “พักผ่อนดีๆ” พูดจบก็รีบจากไปดุจลม
“มั่วชิงเฉิน เจ้ามันโง่ ใครให้เจ้าถลำเข้าไปทั้งตัว ยังจะดึงคนเขาถามให้รู้เรื่องให้ได้อย่างไร้ยางอาย” มั่วชิงเฉินหยิกหน้าตนเองอย่างแรงทีหนึ่ง พลิกมือหยิบขวดน้ำเต้าสุราออกมาใบหนึ่งแหงนหน้าดื่มขึ้นมา
“ดื่มหมดแล้ว?” มั่วชิงเฉินเขย่าขวดน้ำเต้าสุรา โยนขวดน้ำเต้าเปล่าไว้บนพื้น แล้วหยิบขวดน้ำเต้าออกมาอีกใบหนึ่งดื่มต่อ
ไม่นานนัก บนพื้นก็กองขวดน้ำเต้าไว้สิบกว่าใบ
“ปิดประตู จันทร์เย็นกลับถิ่นเก่า
เพ่งมองไป หญ้าเ**่ยวเฉากลางหมอกควัน
หมอกควันเปลวไฟหนึ่งอึก ดื่มไม่สิ้น ร้อนรุ่มในคอความทรงจำช่วงใด
…
มองหิมะหมื่นลี้ ซ่อนชุดเขียว
คนละฟากฟ้า ไม่หวังการพบเจอ
สาดสุราเซ่นไหว้ เมาถามฟ้าดิน
…”
มั่วชิงเฉินร้องเพลงที่ไม่รู้ได้ยินโดยบังเอิญจากชาติไหนขึ้นมาเบาๆ รู้สึกเพียงวิงเวียนศีรษะ
“เฮ้ย เฮ้ย อย่าร้องอีกเลย”
“ใคร?” มั่วชิงเฉินถามด้วยสายตาเมามาย
อีกาไฟในถุงอสูรวิญญาณร้องแว้ดๆ สองที “ข้าน่ะสิ เจ้าอย่าดื่มคนเดียวเลย อย่างไรก็เหลือให้ข้าบ้างเถอะ?”
มั่วชิงเฉินปล่อยอีกาไฟออกมา ยื่นขวดน้ำเต้าสุราใบหนึ่งข้ามไป “เจ้าพูดได้ถูกต้อง สุราก็ควรดื่มสองคน เอื้อก ผิดแล้ว มีอีกาดื่มเป็นเพื่อน ก็ดีกว่าคนเดียวอยู่ดี”
อีกาไฟค้อนมั่วชิงเฉินควักใหญ่ “ข้าว่า วันนี้เจ้าไม่ได้ไม่สบายนะ?”
มั่วชิงเฉินหัวเราะอย่างขมขื่นเสียงหนึ่ง “อู๋เย่ว์ วันนี้ข้าไม่อยากเถียงกับเจ้า ข้า…ในใจข้าทรมานเหลือเกิน…”
อีกาไฟหัวเราะฟู่เสียงหนึ่ง “ดังนั้นข้าถึงว่าเจ้าไม่สบายไงล่ะ ก็เพียงเจ้าชอบอาจารย์เจ้าเขาไม่ชอบเจ้ามิใช่หรือ แล้วเป็นเช่นไรล่ะ เจ้าก็จะไม่อยู่แล้วเช่นนั้นหรือ ไม่บำเพ็ญเพียรแล้วเช่นนั้นหรือ? อาศัยสุราดับทุกข์ทั้งวันเช่นนั้นหรือ?”
มั่วชิงเฉินพึมพำว่า “ข้าเปล่า…เจ้า เจ้าไม่เข้าใจหรอก”
อีกาไฟฮึเสียงเย็นชาว่า “เจ้านี่คือการดูถูกชัดๆ อีกาก็ไม่มีความรักหรือไร? นึกถึงปีนั้นแม่นางข้าถูกคนที่ชอบปฏิเสธรวดเดียวสิบกว่าคน ก็ยังมีชีวิตอยู่อย่างดีมิใช่หรือไร”
“สิบกว่าคน?” มั่วชิงเฉินเงยหน้าขึ้น ลืมตาดอกท้อเสียกว้างมองอีกาไฟอย่างแปลกใจ
อีกาไฟเอียงหัวไปข้างๆ “สิบกว่าคนแปลกอะไร แม่นางข้าชอบเขาคนหนึ่ง เขาไม่สนใจ ผ่านไปพักหนึ่งก็ชอบอีกคนหนึ่งน่ะสิ ปีนั้นหากไม่ใช่เจ้าพาข้าออกจากหุบเขาโยวเล่อ ข้าคิดว่า อย่างไรก็ต้องมีคนชอบข้าสักคนแหละ ฮึ!”
“หึๆ เจ้าก็คิดตกดีนะ” มั่วชิงเฉินหัวเราะต่ำๆ จู่ๆ ในใจก็รู้สึกดีขึ้นมากโข
อีกาไฟทำตาเหลือก “นี่ยังต้องคิดหรือ เจ้าชอบคนไหนเป็นเรื่องของเจ้า คนเขาหากไม่ชอบเจ้า ก็ไม่เกี่ยวกับเขาเลยสักนิด เจ้าร้องไห้งอแงเช่นนี้ให้ใครดูกัน?”
มั่วชิงเฉินกำขวดน้ำเต้าสุราไว้แน่น ตาโค้งขึ้น “ข้าต้องฝันอยู่แน่ๆ ไม่คิดว่าจะถูกอีกาตัวหนึ่งสั่งสอนเสียแล้ว หึๆ ทว่าเจ้าพูดได้ถูกต้อง ข้าชอบใคร เดิมทีก็เป็นเรื่องของข้าเองอยู่แล้ว ไม่เกี่ยวกับผู้อื่น เหตุใดถึงเลอะเลือนชั่วขณะ เหตุผลพื้นๆ เช่นนี้ก็ลืมเสียได้ วันนี้ข้าไม่สบายจริงๆ นั่นแหละ…”
“จู้จี้!” อีกาไฟเบิ่งตาใส่มั่วชิงเฉินที่เอนอยู่บนเตียงปราดหนึ่ง ปีกสองข้างกอบขวดน้ำเต้าสุราแล้วดื่มเอื้อกๆ ขึ้นมา
วันที่สอง มั่วชิงเฉินตื่นมา รู้สึกเพียงว่าปวดศีรษะแทบแตก จึงออกแรงนวดขมับแล้วว่า “ที่แท้เมาสุรามันทรมานเช่นนี้นี่เอง”
“คุณหนู ท่านตื่นแล้วหรือเจ้าคะ?” มั่วชิงเฉินเดินออกจากห้อง เหลียงเฉินเหม่ยจิ่งทักทาย
มั่วชิงเฉินอมยิ้มพยักหน้า กวาดสายตามองไป
“คุณหนู ท่านรอสักครู่” เหลียงเฉินกุลีกุจอวิ่งไปห้องครัวเล็กจากนั้นยกถาดรองวิ่งกลับมา ยิ้มว่า “นี่เป็นอาหารเช้าที่นักพรตทำไว้ สั่งให้พวกเรารอท่านตื่นแล้วยกให้ท่านรับประทานเจ้าค่ะ”
พูดจบพี่น้องสองคนแอบเพ่งพิศมั่วชิงเฉิน กลับเห็นมั่วชิงเฉินสีหน้าไม่เปลี่ยนแล้วยกโจ๊กขึ้นชามหนึ่ง พลางดื่มพลางถามว่า “อาจารย์ล่ะ?”
“นักพรตเพิ่งออกไปเจ้าค่ะ ดูเหมือนเร่งรีบมากทีเดียว” เหม่ยจิ่งเอ่ยอย่างลังเล
มั่วชิงเฉินพยักหน้าว่า “รู้แล้ว พวกเจ้าไปพักผ่อนก่อนเถอะ วันนี้ข้าจะไปหาวิชายุทธ์ที่เหมาะให้พวกเจ้าบำเพ็ญเพียร” พูดจบกินโจ๊กอย่างช้าๆ
เหลียงเฉินเหม่ยจิ่งดีใจมากขึ้นมาทันที เอ่ยพร้อมกันว่า “ขอบคุณคุณหนูเจ้าค่ะ”
มั่วชิงเฉินยังกินโจ๊กไม่หมดชาม กู้หลีก็กลับมาแล้ว เห็นนางนั่งอยู่ตรงนั้น แล้วหยุดชะงักทีหนึ่ง
มั่วชิงเฉินกลับแหงนหน้าขึ้น ยิ้มว่า “อรุณสวัสดิ์เจ้าค่ะ อาจารย์”
กู้หลีเม้มปาก ถึงเดินมาถึงข้างกายมั่วชิงเฉิน แล้วยื่นถุงเก็บวัตถุใบหนึ่งให้ว่า “เจ้าลองดูว่าชุดไหนเหมาะ?”
มั่วชิงเฉินรับมาอย่างสงสัย กวาดจิตตระหนักดู ไม่คิดว่าข้างในจะเก็บเสื้อผ้าเครื่องประดับไว้จนเต็ม จึงอดงงงันไม่ได้ว่า “อาจารย์?”
บนใบหน้ากู้หลีดูเหมือนฉายแววกระอักกระอ่วนแวบหนึ่ง “วันนี้อาจารย์ปู่เจ้าจัดพิธีฉลองการเลื่อนขั้น ขอเพียงเป็นศิษย์ของเขาชิงมู่ข้าทุกคนต่างสามารถแต่งตัวเต็มยศ…”
มั่วชิงเฉินหน้าบึ้งขึ้น “อาจารย์ปู่จัดพิธีฉลองการเลื่อนขั้น? วันนี้?”
กู้หลีกระแอมเบาๆ เสียงหนึ่ง พยักหน้า
“เช่นนั้นไยท่านไม่พูดให้เร็วกว่านี้?” มั่วชิงเฉินถามชัดถ้อยชัดคำ
กู้หลีชะงักทีหนึ่ง ครึ่งค่อนวันถึงหลุดออกมาสองคำ “ข้าลืม”
เห็นมั่วชิงเฉินหน้าบึ้งขึ้นกว่าเดิม รีบว่า “ชิงเฉิน เจ้ารีบไปเปลี่ยนเสื้อผ้า ขืนไม่ไปอีกเกรงว่าจะสายแล้ว ข้าจะไปเอาของเล็กน้อย” เพิ่งสิ้นเสียงก็แวบเข้าห้องตนเองไป