พันธกานต์ปราณอัคคี - ตอนที่ 197 ถ้ำน้ำแข็งหมายเลขแปด
โถงลงทัณฑ์?
ได้ยินสามคำนี้ ศิษย์ที่อยู่ที่นี่หดศีรษะอย่างไม่รู้ตัว นี่เป็นสถานที่ที่ไม่น่ารื่นรมย์จริงๆ แต่ก่อนรู้สึกว่าโถงลงทัณฑ์ห่างไกลกับพวกเขาเหลือเกิน ทว่าระยะนี้ถึงพบว่า คนที่เข้าออกบ่อยๆ ไม่คิดเลยว่าจะเป็นคนในแวดวงพวกเขา เมื่อคิดเช่นนี้แล้ว จึงต่างอดเป็นห่วงความเป็นไปของตนขึ้นมาไม่ได้ หูกลับกางไว้ สายตายิ่งอาลัยอาวรณ์ไม่ยอมเบนออกแม้ครึ่งส่วน
มั่วชิงเฉินหน้ามืด สามปี? นางเพิ่งกลับมาได้สามวันรู้หรือไม่ ไม่รู้ว่าจากไปยามนี้ยังทันหรือไม่?
“ท่านน้า…” หรวนหลิงซิ่วน้ำตาคลอเบ้ามองหรูอวี้เจินจวิน รอยก้อนอิฐบนใบหน้ากลับสะดุดตาเหลือเกิน มองไปเห็นเพียงความตลก หาใช่ความบอบบาง
หรูอวี้เจินจวินหน้าบึ้งเล็กน้อย หันหน้าบอกโส่วเต๋อเจินจวินว่า “ศิษย์พี่โส่วเต๋อ นางหนูหลิงซิ่วนี่หลายปีมานี้ก่อปัญหาในสำนักไว้ไม่น้อย เดิมทีข้าคิดว่านางอายุมากขึ้นควรจะสำรวมขึ้นบ้าง ใครจะรู้ว่ากลับนับวันยิ่งเอาแต่ใจขึ้น ศิษย์พี่ไม่สู้เห็นแก่หน้าน้องสักครั้ง ก็ไม่จำเป็นต้องขังนางเข้าโถงลงทัณฑ์แล้ว ข้าจะสั่งให้ศิษย์ส่งนางกลับสำนักลั่วสยาเดี๋ยวนี้”
เมื่อพูดออกไป หรวนหลิงซิ่วกลับหน้าถอดสี ร้องด้วยความตกใจว่า “ท่านน้า!”
หลายปีมานี้นางอยู่พรรคเหยากวง หนึ่งเพราะหรูอวี้เจินจวินคือน้าแท้ๆ ของนาง ความรักใคร่เอ็นดูที่มีให้นางไม่จำเป็นต้องพูดถึง สาเหตุที่สำคัญยิ่งกว่าก็คือ ยังเพราะสามารถเห็นคนคนนั้นสักปราดหนึ่งเป็นระยะระยะ
แม้วันเวลาที่เขาอยู่ในสำนักมีไม่มาก ทว่าอย่างไรเสียเว้นสักไม่กี่ปีก็จะได้พบเข้าสักครั้ง ทว่าหากกลับสำนักลั่วสยาที่ห่างจากที่นี่แสนกว่าลี้แล้วล่ะก็ ชีวิตนี้หากคิดจะพบคู่เวรคู่กรรมนั่นอีก ก็ความหวังริบหรี่แล้ว
มองดูหน้าตาวิงวอนของหลานสาว หรูอวี้เจินจวินถอนใจ
พี่สาวแท้ๆ ของตนหกร้อยกว่าปีก่อนแต่งงานกับบุตรเจ้าสำนักลั่วสยาในยามนั้น ทั้งสองคนเป็นคู่สร้างคู่สมที่ใครๆ ก็อิจฉา น่าเสียดายชั่วชีวิตหยุดอยู่แค่ระดับก่อแก่นปราณ ยามที่อายุถึงเจ็ดร้อยกว่าปีตัดความคิดที่จะเลื่อนขั้นระดับก่อกำเนิด พยายามสุดความสามารถทิ้งเลือดเนื้อเชื้อไขไว้ให้สามี ก็คือหรวนหลิงซิ่ว ผ่านไปไม่นาน พี่สาวก็ดับสูญแล้ว ตนแม้เป็นเจินจวินระดับก่อกำเนิด สำหรับหลานสาวเพียงคนเดียวแล้วยังคงทนไม่ไหวต้องตามใจและเอ็นดู นี่ถึงเลี้ยงจนนางมีนิสัยเช่นนี้ บัดนี้ดูแล้ว กลับเป็นการทำร้ายนางแล้ว
“หลิงซิ่ว เจ้าไม่ต้องพูดมาก หลายปีมานี้เจ้าไม่ได้กลับสำนักลั่วสยาเลย บิดาเจ้าส่งจดหมายมาหลายครั้งล้วนพูดถึงเรื่องนี้ ข้าตัดสินใจแล้ว วันนี้เจ้าก็กลับไปเถอะ” หรูอวิ้เจินจวินเอ่ยนิ่งเรียบ
หรวนหลิงซิ่วสีหน้าค่อยๆ ซีดเซียว นางรู้ว่าแม้ท่านน้ารักเอ็นดูตน ทว่าเมื่อใดที่ตัดสินใจแล้ว จะปล่อยให้ตนคอยบงการได้อย่างไร ผู้บำเพ็ญเพียรระดับก่อกำเนิด มีผู้ใดบ้างที่จิตใจไม่แน่วแน่
“เจ้าค่ะ ท่านน้า หลิงซิ่วทราบแล้ว” หรวนหลิงซิ่วก้มหน้าลงเอ่ยอย่างว่าง่าย ไม่มีท่าทีดุร้ายเหมือนยามที่สู้กับมั่วชิงเฉินเมื่อครู่เลยแม้แต่น้อย ทว่าสายตาที่มองมาทางมั่วชิงเฉิน กลับอำมหิตหาใดเปรียบไม่ได้
ยามนี้ผู้บำเพ็ญเพียรระดับก่อแก่นปราณพวกนั้นก็รุดมาแล้ว ย่อมรวมทั้งนักพรตเหอกวงกู้หลีอยู่ในนั้นด้วย
มั่วชิงเฉินเบิกตาดอกท้ออันแวววาว มองอาจารย์ตาปริบๆ เป็นครั้งแรกที่เคืองผมข้างหน้าบังสายตาไปครึ่งใหญ่ กระทบต่อผลการวิงวอน
กู้หลีมองดูท่าทางน่าสงสารของศิษย์ ปากขยับแล้วขยับอีก แต่สุดท้ายก็ไม่ได้พูดอะไร การลงโทษของผู้เฒ่าไท่ซ่างอันดับหนึ่งไม่เกินไป อย่าว่าแต่เป็นเขา ต่อให้เป็นอาจารย์หลิวซางเจินจวิน ก็ไม่มีจุดยืนในการขอร้อง มิเช่นนั้นผู้เฒ่าไท่ซ่างอันดับหนึ่งจะเอาศักดิ์ศรีและความน่าเชื่อถือไปไว้ไหน
แม้พูดเช่นนี้ สุดท้ายกู้หลีก็ถูกสายตาของศิษย์มองจนทนไม่ไหว จึงมองตอบนางด้วยแววตาปลอบใจ
นักพรตจื่อซีที่คอยสังเกตทั้งสองคนมาตลอดตกใจจนตาเบิกโพลง นี่…นี่ใช่ศิษย์น้องเล็กที่นิ่งดุจขุนเขา แสงแห่งเทพเจิดจ้าคนนั้นหรือไม่?
ไยนางดูแล้ว กลับเหมือนเป็น…
เห็นอาจารย์ไม่พูด มั่วชิงเฉินโมโหเอียงหน้าไป ถูกศิษย์ผู้ดูแลนำไปโถงลงทัณฑ์อย่างยอมรับชะตา ในใจกลัดกลุ้มจนกระอักเลือด นี่ตนไม่ใช่ประสบเคราะห์โดยที่ไม่รู้เรื่องหรอกหรือ สุดท้ายคนที่ก่อเรื่องกลับตบก้นกลับบ้านไป ตนกลับต้องไปเที่ยวโถงลงทัณฑ์ในตำนาน นึกถึงตรงนี้ อดเงยหน้าถลึงตาใส่เยี่ยเทียนหยวนปราดหนึ่งไม่ได้
เยี่ยเทียนหยวนขยับมุมปาก ไม่ได้พูดอะไร
ทั้งสองคนถูกพาไปถึงเทือกเขาที่อยู่ลึกที่สุดในเขาโฮ่วเต๋อ แต่ละเขามีถ้ำอยู่เขาละถ้ำ นอกเหนือจากนี้ไม่มีอื่นใดอีก
มั่วชิงเฉินประหลาดใจเล็กน้อย หรือว่าโถงลงทัณฑ์ไม่ใช่ห้องหับหอสูงตามที่ตนจินตนาการไว้ แต่กลับเป็นถ้ำพวกนี้หรือ?
กำลังคิดอยู่ ก็ได้ยินศิษย์ผู้ดูแลที่นำพวกเขามาเอ่ยขึ้นตามคาดว่า “ศิษย์พี่ทั้งสองเชิญเข้าถ้ำหมายเลขแปดเถอะ”
มั่วชิงเฉินยกตามองไป ก็เห็นปากถ้ำบนยอดเขาถ้ำหนึ่งแขวนป้ายไว้แผ่นหนึ่ง ด้านบนเขียนว่าถ้ำน้ำแข็งหมายเลขแปด
เมื่อมั่วชิงเฉินและเยี่ยเทียนหยวนเพิ่งก้าวเข้าถ้ำ ศิษย์ผู้ดูแลผู้นั้นก็ถือป้ายหยก แกว่งใส่ปากถ้ำ ปากร่ายคาถา แล้วก็เห็นปากถ้ำแสงสว่างเจิดจ้า ปรากฏเขตอาคมสีเขียวขาวขึ้นสายหนึ่ง
“ศิษย์พี่ทั้งสอง สามปีให้หลังยามที่เขตอาคมหมดฤทธิ์ ก็คือวันที่พวกท่านออกมา รักษาตัวด้วย ศิษย์น้องขออำลาแล้ว” ศิษย์ผู้ดูแลสองคนสายตาเต็มไปด้วยความเห็นใจ คารวะพร้อมกันทีหนึ่งแล้วหันหลังจากไป
จนกระทั่งเดินไปไกลแล้ว ศิษย์ผู้ดูแลสองคนยังวิจารณ์เสียงเบาอยู่
“ไม่รู้ศิษย์พี่เยี่ยท่านนั้นวันนี้ทำผิดอะไรอีกนะ ไม่ถึงหนึ่งปีก็เข้าไปสองครั้งแล้ว ศิษย์พี่หญิงผู้นั้นเป็นใครอีก ดูเหมือนไม่ใช่สองสามคนคราวที่แล้ว?” ศิษย์ผู้ดูแลคนหนึ่งเอ่ย
เรื่องที่เกิดขึ้นที่โถงดอกไม้เมื่อครู่ พวกเขาศิษย์หัวกะทิธรรมดาพวกนี้ยังไม่รู้เรื่อง เพียงแต่จู่ๆ ถูกเจ้าโถงโถงลงทัณฑ์เรียกตัวด่วน รับคำสั่งพาสองคนนี้ไปโถงลงทัณฑ์
ศิษย์ผู้ดูแลอีกคนหนึ่งแม้ไม่รู้ความ หน้าตากลับเฉลียวฉลาดกว่ามาก เอ่ยเสียงเบาว่า “ข้าเดาว่าศิษย์พี่หญิงผู้นั้น น่าจะเป็นศิษย์พี่มั่วที่เล่าลือกันกระมัง วันนี้เกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่ยังไม่รู้ ทว่าผู้เฒ่าอันดับหนึ่งโกรธมากกว่าคราวที่แล้วแน่นอน ไม่เห็นหรอกหรือว่าถูกลงโทษไปถ้ำหมายเลขแปดน่ะ?”
“จิ๊ๆ ถ้ำหมายเลขแปดหรือนี่ ขอให้พวกเขาทนไหวด้วยเถอะ” ศิษย์คนก่อนหน้าส่ายศีรษะ นึกถึงถ้ำหมายเลขแปด ขาก็สั่น
“ไปเถอะ ไปเถอะ รีบไปถามดูว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่ คิดว่ายามนี้ในสำนักต้องลือไปทั่วแล้วกระมัง” ศิษย์อีกคนหนึ่งเอ่ยอย่างเรื่องไม่เกี่ยวกับตน
ตามที่เขตอาคมผนึกปากถ้ำขึ้นมา มั่วชิงเฉินแข็งใจเดินไปข้างใน แล้วก็รู้สึกได้ถึงความหนาวเข้ากระดูกเป็นสายๆ สีหน้าอดซีดแล้วซีดอีกไม่ได้
ในถ้ำน้ำแข็งหมายเลขแปดนี้ ไม่คิดเลยว่าจะไม่สามารถขับเคลื่อนพลังวิญญาณของตนมากันหนาวได้ ทำได้เพียงเหมือนคนธรรมดาใช้ร่างกายฝืนทนไอเย็นเท่านั้น คงไม่ต้องเป็นเช่นนี้ทั้งสามปีกระมัง ทั้งไม่สามารถนั่งสมาธิบำเพ็ญเพียร และก็ไม่สามารถขับเคลื่อนพลังวิญญาณฝึกคาถา นี่ต่างอะไรกับติดคุก อีกทั้งยังเป็นคุกน้ำที่หนาวเย็นอีกด้วย
ในทางเดิน ลมหนาวเย็นยะเยือกเสียดแทงกระดูกสายหนึ่งพัดมากะทันหัน มั่วชิงเฉินอดตัวสั่นไม่ได้ ยามเดียวกับที่ขมวดคิ้วก็แอบคิดว่าตนโชคดีที่หลายปีก่อนหน้านี้ได้ฝึกฝนร่างกายท่ามกลางน้ำตกในลำธารน้ำแข็งมาตลอด หากไม่เช่นนั้นแล้วยามนี้เกรงว่าคงแย่แล้ว
“ศิษย์น้องมั่ว” เยี่ยเทียนหยวนที่ไม่พูดสักแอะมาตลอดในที่สุดก็อ้าปากอย่างยากลำบาก เข้าใกล้นางก้าวหนึ่ง
ทางเดินคับแคบ มั่วชิงเฉินไม่มีที่ให้ถอย ทว่าเยี่ยเทียนหยวนเมื่อเข้าใกล้นางที่ความห่างระดับหนึ่ง ใจของนางก็อดเต้นขึ้นมาอย่างบ้าคลั่งไม่ได้
สมควรตาย ความรู้สึกประหลาดที่น่าโมโหเช่นนั้นมาอีกแล้ว กระทั่ง กระทั่งยังมีวี่แววว่าจะยิ่งรุนแรงขึ้น
เยี่ยเทียนหยวนดูเหมือนก็มีความรู้สึกเช่นเดียวกัน ชะงักอยู่ตรงนั้นไม่กล้าขยับอีก แล้วมองมั่วชิงเฉินอย่างโง่งม
บรรยากาศระหว่างทั้งสองคนดูเหมือนนิ่งงันอยู่ตรงนั้น จนกระทั่งสามารถได้ยินเสียงใจเต้นของทั้งสองฝ่ายอย่างชัดเจนในถ้ำที่เงียบสงัดนี้ ในที่สุดมั่วชิงเฉินก็ทนต่อไปไม่ไหว ถามอย่างลำบากว่า “ศิษย์พี่เยี่ย ท่าน…ท่านเรียกข้าด้วยเหตุอันใด?”
บนใบหน้าเยี่ยเทียนหยวนฉายแววทุลักทุเลแวบหนึ่ง เอ่ยเสียงแหบแห้งว่า “ศิษย์น้องมั่ว ในถ้ำนี้แม้ขับเคลื่อนพลังวิญญาณป้องกันความหนาวไม่ได้ กลับ…กลับสามารถบำเพ็ญเพียรได้ ไม่เป็นอุปสรรคต่อการเพิ่มพลังวิญญาณในร่างกาย ดังนั้นเจ้า…เจ้าวางใจได้ หากมีเรื่องอะไร ก็เรียกข้า…”
เพิ่งสิ้นเสียงก็แวบไปถึงห้องศิลาห้องหนึ่งในถ้ำด้วยความเร็วอันยิ่งยวด
มั่วชิงเฉินถึงพบว่าลึกเข้าไปในทางเดินนี้ทั้งสองข้างมีห้องศิลาข้างละสองห้อง นางโล่งอกเช่นเดียวกัน ขอบคุณฟ้าขอบคุณดิน หากต้องอยู่ด้วยกันกับเขาเช้าเย็นตลอดสามปีนี้ นางไม่มีความมั่นใจจริงๆ ว่าจะสามารถควบคุมความรู้สึกประหลาดเช่นนี้ได้ตลอดรอดฝั่งจริงๆ
ก้าวเข้าห้องศิลา มั่วชิงเฉินพบว่าไอเย็นที่นี่ยิ่งทรมานยิ่งขึ้น ฝาผนังสีขาวดุจหิมะเปรียบดังน้ำแข็งแกะสลัก ใกล้กับมุมกำแพงมีเตียงหยกน้ำแข็งตัวหนึ่ง สามารถเห็นได้ด้วยตาถึงไอเย็นเป็นสายๆ ที่พุ่งออกมาข้างนอก นอกเหนือจากนี้ ก็คือมุกราตรีเม็ดใหญ่ที่แขนอยู่บนกำแพง
ทว่าไอเย็นเยียบนี้ กลับทำให้สมองนางกระจ่างขึ้นมา ความรู้สึกประหลาดเมื่อครู่หายไปเหมือนหมอกควันทันที
สีหน้ามั่วชิงเฉินยิ่งซีดหนักขึ้น ทำใจแข็งนั่งขัดสมาธิบนเตียงหยกน้ำแข็ง รีบเข้าฌานบำเพ็ญเพียรขึ้นมา
เมื่อได้เข้าฌานบำเพ็ญเพียร มั่วชิงเฉินถึงพบว่าพลังวิญญาณในร่างกายเพิ่มขึ้นเร็วกว่ายามปกติ ต่อให้เป็นเช่นนี้ ความหนาวเย็นที่เสียดแทงกระดูกกลับห่อหุ้มทุกตารางนิ้วของร่างกายไว้ตลอดเวลา กระทั่งเพราะการเคลื่อนไหวของพลังวิญญาณในร่างกาย ความสามารถในการต้านหนาวของร่างกายแข็งแกร่งขึ้นเล็กน้อย การสัมผัสไอเย็นทางด้านจิตใจกลับยิ่งไวขึ้น
มั่วชิงเฉินอดน้ำตานองหน้าไม่ได้ โส่วเต๋อเจินจวิน ท่านแน่มาก!
ส่วนในห้องห้องหนึ่ง เสวียนหั่วเจินจวินถือพัดกกขาดๆ กระโดดขึ้นมา “อะไรนะ ศิษย์พี่โส่วเต๋อ ท่าน ไม่คิดเลยว่าท่านจะให้พวกเขาสองคนไปถ้ำน้ำแข็งหมายเลขแปดพร้อมกัน?”
โส่วเต๋อเจินจวินพยักหน้าอย่างไม่สะทกสะท้านว่า “ถูกต้อง”
หรูอวี้เจินจวินขมวดคิ้วว่า “ศิษย์พี่โส่วเต๋อ พวกเขาสองคนชายหญิงแตกต่าง อีกทั้งยังอยู่ในวัยหนุ่มสาว นี่ นี่เกรงว่าจะไม่เหมาะกระมัง?”
หลิวซางเจินจวินตบขาว่า “นั่นน่ะสิ เมื่อเป็นเช่นนี้แล้ว คนที่เสียเปรียบยังไม่ใช่ศิษย์หลานคนนั้นของข้าหรอกหรือ ไม่ได้ๆ อีกอย่าง ถ้ำน้ำแข็งหมายเลขแปดนั่น ต่อให้เป็นผู้บำเพ็ญเพียรระดับก่อแก่นปราณสูญเสียพลังวิญญาณป้องกันความหนาว ยังทนไม่ค่อยไหว พวกเขาเด็กสองคน คนหนึ่งระดับสร้างรากฐานระยะปลาย สงสารศิษย์หลานข้าคนนั้นเพิ่งอยู่ระดับสร้างรากฐานระยะกลาง จะทนไหวได้อย่างไรกัน?”
มีผู้บำเพ็ญเพียรระดับก่อกำเนิดอีกคนหนึ่งหน้าตาเมตตา รูปร่างอ้วนท้วนดื่มน้ำชาอึกหนึ่งเหมือนเรื่องไม่เกี่ยวกับตน ยิ้มตาหยีฟังอยู่ คนผู้นี้ก็คือเหิงตั๋วเจินจวินเจ้าหุบเขาเขาต้วนจิน
โส่วเต๋อเจินจวินดื่มน้ำชาอึกหนึ่งอย่างสุขุม ถึงเอ่ยว่า “ศิษย์น้องทั้งหลายร้อนใจอะไร หลายปีมานี้เด็กพวกนี้ก่อเรื่องมากมาย นับวันเอาแต่ใจขึ้น ข้าเห็นว่าไฟในทรวงฮึกเหิมเกินไป ขังไว้ในถ้ำน้ำแข็งหมายเลขแปดจะได้ลดไฟในทรวงไปบ้าง ส่วนเรื่องอื่น พวกเจ้าจะกังวลไปไย สามปีให้หลังเป็นเช่นไร ล้วนเป็นผลจากการทดสอบขัดเกลา”
ไม่กี่คนนี้ล้วนเป็นผู้บำเพ็ญเพียรระดับก่อกำเนิด เมื่อโส่วเต๋อเจินจวินพูดเช่นนี้ ก็คิดเหตุผลที่แฝงอยู่อย่างทะลุปรุโปร่งทันที จึงเอ่ยพร้อมกันว่า “ศิษย์พี่กล่าวได้ถูกต้อง”
พริบตาเดียวผ่านไปหลายเดือน มั่วชิงเฉินที่อยู่ในถ้ำน้ำแข็งหมายเลขแปดกลับทนไม่ค่อยไหวแล้ว
หลายเดือนมานี้ นางและเยี่ยเทียนหยวนไม่ว่าใครก็ไม่ได้ออกจากห้องศิลาแม้ครึ่งก้าว ยิ่งไม่มีการสนทนาใดๆ ความทรมานในด้านจิตใจยากจะเอ่ยเป็นคำพูด นี่ก็ช่างเถอะ เดิมทีนางนึกว่าจะค่อยๆ ปรับตัวเข้ากับไอเย็นในถ้ำได้ ทว่าใครจะรู้ว่าไอเย็นนั่นกลับดูเหมือนมีจิตวิญญาณ ไม่คิดเลยว่าจะรุนแรงขึ้นตามเช่นกัน
ในวันนี้ เมื่อกระแสความเย็นที่ยิ่งหนาวเย็นเสียดแทงกระดูกสายหนึ่งมุดเข้ามาในซอกประตูศิลา รุกรานเข้าร่างกายมั่วชิงเฉินนั้น ในที่สุดนางก็ครวญอย่างอัดอั้นเสียงหนึ่ง ค่อยๆ ล้มลงบนเตียงหยกน้ำแข็ง