พันธกานต์ปราณอัคคี - ตอนที่ 198 การพัวพันแห่งโชคชะตา
ที่มั่วชิงเฉินไม่รู้ก็คือ วันนั้นยามที่ไปตามหาปีศาจปลาเกี่ยววิญญาณนางกระโดดลงไปในทะเลสาบเหมันต์ช่วยคุณชายหก ทะเลสาบเหมันต์นั้นมีอานุภาพพิเศษบางอย่างต่อหญิงสาว และเพราะเมื่อก่อนไม่เคยมีหญิงสาวไปมาก่อน คุณชายหกจึงไม่รู้เรื่องนี้ พิษเย็นจึงหลงเหลืออยู่ในร่างมั่วชิงเฉิน
ที่จริงนี่ก็คือความสมดุลชนิดหนึ่ง พวกคุณชายหกรู้เพียงว่าหญิงสาวมีพลังต่อต้านเสียงเพลงของปีศาจปลาเกี่ยววิญญาณ กลับไม่รู้ถึงอานุภาพที่น่าสยองของทะเลสาบเหมันต์ที่มีต่อหญิงสาว
เผ่าพันธุ์ปีศาจปลาเกี่ยววิญญาณ พูดได้ว่าเป็นความมีอยู่ที่สูงส่งที่สุดในบรรดาอสูรปีศาจในโลกนี้ จะธรรมดาเช่นนั้นได้อย่างไรกัน
เพราะว่ามั่วชิงเฉินรากวิญญาณธาตุไฟโดดเด่นบวกสภาพร่างกายพิเศษของเพลิงแก้วใจกระจ่าง ปกติยังไม่พบถึงความผิดปกติ ทว่าในสถานการณ์หนาวเย็นอย่างยิ่งยวดนี้ ภูมิต้านทานลดลงเพียงเล็กน้อย พิษเย็นในร่างกายก็จะถูกกระตุ้นให้กำเริบ
ที่จริงพูดไปแล้ว การที่พิษเย็นถูกกระตุ้นกำเริบออกมาสำหรับมั่วชิงเฉินแล้วกลับเป็นเรื่องโชคดี หากนางสับสนมึนงงไม่รู้ว่าในร่างกายมีภัยแฝงเช่นนี้ไปตลอด การเลื่อนขั้นเล็กระดับสร้างรากฐานก็ไม่ถึงกับเป็นปัญหาหรอกนะ ทว่าหากทะลวงก่อแก่นปราณ ผลลัพธ์ก็ยากจะคาดการณ์แล้ว
มองจากระยะยาวแล้วพิษเย็นถูกกระตุ้นออกมาล่วงหน้าย่อมเป็นเรื่องโชคดี ทว่าสำหรับมั่วชิงเฉินในยามนี้กลับไม่ต่างอะไรกับการลงทัณฑ์อย่างโหดร้าย
เยี่ยเทียนหยวนและมั่วชิงเฉินต่างเป็นผู้บำเพ็ญเพียรระดับสร้างรากฐาน อยู่ใกล้กันถึงเพียงนี้ ต่อให้ไม่ใช้จิตตระหนักตรวจสอบ ก็จะมีการเหนี่ยวนำของคลื่นพลังของทั้งสองฝ่าย
เดิมทีเยี่ยเทียนหยวนกำลังนั่งขัดสมาธิบำเพ็ญเพียรอยู่ ทันใดนั้นคลื่นพลังที่ทำให้เขาคุ้นเคยและสบายใจก็หายไป
เยี่ยเทียนหยวนสีหน้าเปลี่ยนทันที หยั่งเชิงส่งเสียงทางจิตว่า “ศิษย์น้องมั่ว?”
ฐานะหญิงสาวของมั่วชิงเฉิน ทำให้เขาไม่สะดวกใช้จิตตระหนักตรวจสอบโดยตรง
ทว่าการส่งเสียงทางจิตกลับเหมือนหินจมลงทะเล ไม่มีการตอบรับใดๆ
เยี่ยเทียนหยวนไม่สนใจสิ่งใดอีกแล้ว พุ่งทะยานออกไปเตะประตูใหญ่ของห้องศิลาที่มั่วชิงเฉินอยู่ให้เปิดออกในทีเดียว
ภาพที่เห็น กลับทำให้เขาตกใจหน้าถอดสี
เห็นเพียงมั่วชิงเฉินหงายหน้าล้มอยู่บนเตียงหยกน้ำแข็ง สองมือกอดเข่าหดเป็นก้อน ทั้งตัวสั่นไม่หยุด สีหน้าขาวซีด
เยี่ยเทียนหยวนรีบรุดเข้าไป จับข้อมือของมั่วชิงเฉินขึ้นก็จะถ่ายพลังวิญญาณ กลับต้องชะงักในทันที ในระหว่างที่โกลาหลไม่คิดว่าตนจะลืมไปว่าที่นี่ไม่อาจเคลื่อนพลังวิญญาณได้
ข้อมือของมั่วชิงเฉินเย็นเฉียบไม่มีอุณหภูมิสักนิด เยี่ยเทียนหยวนยื่นมือไปใต้จมูกนาง มีเพียงลมหายใจรวยรินเย็นเยียบ ดูแก้มของนางอีก ได้เริ่มแข็งเป็นน้ำแข็งแล้ว ริมฝีปากยิ่งขาวดุจหิมะ ไม่มีสีเลือดสักนิด
เยี่ยเทียนหยวนร้อนใจยิ่งนัก นี่นางเป็นอะไรไป ผ่านไปตั้งหลายเดือนแล้วแท้ๆ เหตุใดจู่ๆ ก็ต้านทานไม่ไหวขึ้นมาแล้วล่ะ?
ขืนเป็นเช่นนี้ต่อไป ชีวิตนางมิยากจะรักษาไว้ได้หรอกหรือ?
เยี่ยเทียนหยวนมองมั่วชิงเฉินที่หลับตาสนิทสั่นไปทั้งตัว สีหน้าเปลี่ยนแล้วเปลี่ยนอีก สุดท้ายก็กัดฟันตัดสินใจแน่วแน่ สะบัดรองเท้าออก แล้วนอนลงบนเตียงหยกน้ำแข็งพร้อมมั่วชิงเฉิน
“ศิษย์น้องมั่ว ขอล่วงเกินแล้ว” ต่อให้ยามนี้เป็นไปไม่ได้ที่มั่วชิงเฉินจะได้ยิน เยี่ยเทียนหยวนยังคงมองหน้าของนางพลางพูดเสียงเบา พูดจบก็ยื่นมือโอบนางเข้าในอ้อมกอด
ในถ้ำน้ำแข็งนี้แม้ไม่สามารถเคลื่อนพลังวิญญาณในกายได้ ทว่ากลับสามารถควบคุมไฟจริงได้ เยี่ยเทียนหยวนเคลื่อนไฟจริงในตันเถียน ให้กระจายไปทุกส่วนในร่างกายเขาอย่างทั่วถึง เพราะว่าอยู่ภายใต้การควบคุมของเยี่ยเทียนหยวน ไฟจริงนี้อยู่ในสภาวการณ์จะปะทุไม่ปะทุแหล่ ดังนั้นจะไม่ลวกมั่วชิงเฉินบาดเจ็บ
หากมีผู้อื่นอยู่ ก็จะเห็นว่าเยี่ยเทียนหยวนที่ถูกห่อหุ้มด้วยไฟจริงไปทั้งตัวเปล่งรัศมีจางๆ เพียงแต่ที่แปลกคือ รัศมีนั้นไม่ใช่สีเหลืองตามปกติ กลับเป็นสีม่วงเข้มอมแดง ช่างค่อนข้างประหลาดจริงๆ
เยี่ยเทียนหยวนเพิ่งทำสิ่งเหล่านี้เสร็จ ก็พบทันทีว่าบนร่างของคนในอ้อมกอดดูเหมือนเกิดน้ำวนขึ้นจำนวนนับไม่ถ้วน จะดูดไฟจริงที่กระจายไปทั่วร่างเขาเข้าไปจนหมด ส่วนมั่วชิงเฉินแม้ยังคงหมดสติอยู่ ในที่สุดร่างกายก็กลับมีปฏิกิริยาแล้ว นางเกาะเกี่ยวเข้ามาอย่างแน่นแฟ้นเหมือนปลาหมึกอย่างไม่คาดคิด ระหว่างสองคนไม่เหลือช่องว่างสักซอกอีกต่อไป
เยี่ยเทียนหยวนในสมองดังโครม สติที่ถูกปลุกปั่นเกือบธาตุไฟเข้าแทรก โชคดีที่ปกติเขาเป็นคนยับยั้งชั่งใจมีจรรยาบรรณ ถึงรักษาสติไว้ได้อย่างหวุดหวิด ต่อให้เป็นเช่นนี้ สถานการณ์ตรงหน้าสำหรับเขาแล้วก็ไม่ต่างอะไรกับการลงทัณฑ์อันโหดร้าย
คนในอ้อมกอด คือคนในดวงใจที่เขาละเมอเพ้อหา บัดนี้สองคนก็อยู่ในสถานการณ์เช่นนี้อีก อีกทั้งเขายังต้องควบคุมไฟจริงให้พอดิบพอดี ทั้งไม่สามารถทำให้มั่วชิงเฉินบาดเจ็บ อีกทั้งยังต้องอบอุ่นร่างกายให้นาง รสชาติในนี้ สำหรับเขาแล้วเหมือนน้ำแข็งอัคคีต่างกันสุดขั้ว เกรงว่าชีวิตนี้คงยากจะลืมเลือน
“ศะ…ศิษย์น้องมั่ว เจ้าได้ยินหรือไม่?” เยี่ยเทียนหยวนเปิดปากอย่างลำบาก
สิ่งที่ตอบเขา กลับเป็นการเกาะเกี่ยวที่แน่นแฟ้นยิ่งขึ้น
เยี่ยเทียนหยวนครวญอย่างอัดอั้นเสียงหนึ่ง กัดริมฝีปากไว้แน่น ไม่นานนักเหงื่อเย็นเม็ดเป้งก็ไหลลงมาตามหน้าผากเขา ริมฝีปากถูกกัดจนเลือดออกทั้งอย่างนั้น กลับไม่กล้าแม้แต่จะขยับ เขากลัวว่าหากตนเองขยับเพียงทีเดียว ก็จะควบคุมไม่ได้แล้วทำเรื่องอัปยศอดสูออกมา
ไฟจริงของเยี่ยเทียนหยวนกดพิษเย็นในกายมั่วชิงเฉินที่มาอย่างรุนแรงลงไป มั่วชิงเฉินแม้ยังคงหมดสติ สีหน้ากลับเปลี่ยนจากเขียวเป็นขาว ค่อยๆ แดงเรื่อขึ้น น้ำแข็งที่เกาะอยู่กลายเป็นหยดน้ำใสกระจ่าง ไหลอาบแก้มลงมา ผสานเข้าด้วยกันกับเหงื่อเย็นของเยี่ยเทียนหยวน
เยี่ยเทียนหยวนโล่งใจ ดูท่าแล้ว ผ่านไปอีกครู่เดียวตนก็จะได้หลุดพ้นแล้ว
ทว่าในยามนี้เอง เรื่องเกิดขึ้นกะทันหัน พลังดูดที่ประหลาดในร่างมั่วชิงเฉินจู่ๆ ก็เพิ่มมากขึ้น ในพริบตาก็ดูดไฟจริงสีม่วงเข้มอมแดงที่ปกคลุมเขาไว้ไปจนหมดสิ้น ไฟจริงนั่นเข้าสู่ร่างมั่วชิงเฉิน ไม่รู้เกิดการเปลี่ยนแปลงอะไรขึ้น พิษเย็นที่ถูกกดลงไปดูเหมือนดิ้นรนขึ้นมาเป็นเฮือกสุดท้าย
แล้วก็เห็นบนร่างมั่วชิงเฉินประเดี๋ยวเขียวประเดี๋ยวแดง ตัวสั่นไม่หยุด สีหน้าเจ็บปวดยิ่งนัก
“ศิษย์น้องมั่ว ศิษย์น้องมั่ว เจ้า…เจ้าอดทนไว้…” เยี่ยเทียนหยวนมองหน้าที่เปลี่ยนไปเปลี่ยนมาระหว่างเขียวและแดงไม่หยุดหย่อน ในแววตาเปี่ยมไปด้วยความสงสาร
เมื่อเยี่ยเทียนหยวนอ้าปากเช่นนี้ ลมหายใจจึงพ่นถึงหน้ามั่วชิงเฉิน
มั่วชิงเฉินที่ดิ้นรนเหมือนอสูรที่ถูกกักไว้ในนรกอัคคีน้ำแข็ง ราวกับหาทางระบายเจอทันที จู่ๆ ปากกระจับก็ทาบขึ้นมา ประทับลงบนริมฝีปากที่ถูกกัดจนแดงบวมของเยี่ยเทียนหยวน
ในยามนี้ เยี่ยเทียนหยวนเหมือนถูกฟ้าผ่า สมองว่างเปล่าไปหมด ไฟจริงในร่างเขากลับพุ่งขึ้นจากตันเถียนตรงไปที่ริมฝีปากที่ประสานกันของทั้งสองคนอย่างควบคุมไม่ได้
และยามนี้ ในร่างมั่วชิงเฉินก็มีไฟจริงอุ่นๆ เย็นๆ สายหนึ่งพุ่งขึ้นมาอย่าคิดไม่ถึงเช่นกัน เกาะเกี่ยวผสานกับไฟจริงโหมแรงของเยี่ยเทียนหยวน
ในที่สุดสติสัมปชัญญะของเยี่ยเทียนหยวนก็พังครืน ตักตวงความหวานฉ่ำของคนในอ้อมกอดอย่างลืมตัวและบ้าคลั่ง ยามที่มือเรียวยาวร้อนกร้านของเขาลูบไปถึงเอวมั่วชิงเฉินกลับปรากฏกระบี่บินเล่มหนึ่งขึ้นกลางอากาศ แทงเข้าท้องน้อยตนอย่างโหดร้าย
ความเจ็บปวดอันชัดเจนทำให้เยี่ยเทียนหยวนได้สติกลับมา มือเขาจับกระบี่บินไว้แน่นสั่นไม่ยอมหยุด เหงื่อเย็นหยดลงมาไม่ขาดสาย กลับควบคุมไฟจริงต่อเพื่อไล่ความหนาวให้มั่วชิงเฉิน
ดูเหมือนผ่านไปชั่วอึดใจ อีกทั้งดูเหมือนผ่านไปนับพันหมื่นปี ในที่สุดพิษเย็นที่ดั่งอสูรร้ายก็กลายเป็นควันสีขาวสายหนึ่ง มุดออกจากปากและจมูกมั่วชิงเฉิน
เยี่ยเทียนหยวนโล่งใจ ในที่สุดก็จัดการเรียบร้อยแล้ว
ส่วนมั่วชิงเฉินก็ปล่อยมือเท้าออกในที่สุด ราวกับเข้าสู่ฝันหวาน
เยี่ยเทียนหยวนมองหน้าของมั่วชิงเฉินไม่ขยับเขยื้อน ผมหนาๆ ข้างหน้านางเปียกเหงื่อตั้งนานแล้ว ผมเป็นริ้วๆ แนบอยู่บนผิวขาวเนียนดุจหยก เผยให้เห็นความงามเลิศล้ำที่ทำให้คนไม่กล้าจ้องมอง
เยี่ยเทียนหยวนไม่คิดเลยว่าหญิงสาวที่บุกเข้ามาในชีวิตเขาด้วยวิธีการเช่นนั้นเมื่อยี่สิบปีก่อน ที่แท้งดงามเช่นนี้
ที่จริงสิ่งเหล่านี้สำหรับเขาแล้วไม่สำคัญเลย ตั้งแต่เขายังเยาว์วัย ก็มีหญิงสาวนับไม่ถ้วนเป็นฝ่ายยื่นไมตรีมาให้ งามหยดย้อยควรเมืองไม่ใช่ไม่มี ทว่ามีเพียงนางคนเดียวที่ยึดครองจิตใจเขาอย่างโอหัง ไล่อย่างไรก็ไล่ไม่ไป
เยี่ยเทียนหยวนไม่ใช่ไม่เคยโกรธตนเองมาก่อน เหตุใดโดยที่ไม่มีใครอธิบายได้ก็วางนางไม่ลงเสียแล้วนะ
อาจเพราะความขัดแย้งรุนแรงและแรงดึงดูดที่บอกไม่ถูกทุกครั้งที่สองคนพบหน้ากันนับวันยิ่งสลักลึกลงไปในใจเขากระมัง เยี่ยเทียนหยวนคิดไม่ออก ได้แต่อึดอัดอยู่คนเดียว
ด้านหนึ่งควบคุมใจตนเองไม่ได้ อีกด้านหนึ่งกลับเพราะความเย็นชาและการหลบหลีกของมั่วชิงเฉินจึงต้องพยายามยับยั้งชั่งใจให้ตนเองอยู่ให้ห่างนาง
สวรรค์คงเห็นตนเองอยู่ดีเกินไปมาหลายสิบปีแล้วกระมัง ถึงทรมานตนเช่นนี้
เยี่ยเทียนหยวนเผยรอยยิ้มอันขมขื่นออกมา มือหนึ่งปิดท้องน้อยไว้ อีกมือหนึ่งลูบแก้มที่ค่อยๆ แดงเรื่อขึ้นของมั่วชิงเฉิน ก้มหน้าลงจุมพิตบนหน้าผากนางเหมือนแมลงปอต้องน้ำ แล้วเก็บกวาดรอยเลือดและร่องรอยต่างๆ ถึงเดินโซซัดโซเซกลับห้องศิลาของตน
เพิ่งเข้าไปในห้องศิลา เยี่ยเทียนหยวนก็ทนไม่ไหวแล้ว เลือดเอ่อออกจากมุมปาก
เขานิ้วมือสั่นเล็กน้อย หยิบยามังกรเหลืองออกมาทาลงบนบาดแผลที่น่าสยดสยองบนท้องน้อย ถึงหลังพิงเตียงหยกน้ำแข็ง หอบหายใจแผ่วเบาแล้วหลับตาลง
สามวันให้หลัง ในที่สุดมั่วชิงเฉินก็ฟื้นขึ้นมา นางนวดขมับ มองรอบๆ อย่างงงงัน ถึงนึกขึ้นได้ว่ากายอยู่ที่ใด
นี่ตนเป็นอะไรไปแล้ว?
มั่วชิงเฉินขมวดคิ้วครุ่นคิด รู้สึกเพียงว่าตนเองดูเหมือนฝันเห็นแสงสีมากมายหลายหลากและพิลึกกึกกือ ทว่าในฝันนั้นตกลงเกิดอะไรขึ้นกันแน่กลับจำได้ไม่ชัดเจนแล้ว มีเพียงหนาว ร้อนสองความรู้สึกที่หลงเหลืออยู่ในก้นบึ้งของหัวใจไล่ก็ไม่ไป
ใช่แล้ว ยามนั้นตนดูเหมือนพิษเย็นกำเริบ ต่อจากนั้นก็หมดสติไป ทว่าหลังจากนั้นไยถึงรู้สึกร้อนนะ?
หรือว่า ศิษย์พี่เยี่ยช่วยตนไว้?
ความคิดนี้แวบขึ้น มั่วชิงเฉินพิจารณารอบข้าง กลับไม่พบสิ่งใดผิดปกติ ทันใดนั้นนางสะดุดกึก ตาจ้องเชือกเขียวที่ผูกมุกจื่อหวาสงบจิตบนข้อมือไว้ บนเชือกเขียวมีร่องรอยสีแดงเข้มที่หนึ่ง หากนางดูไม่ผิด น่าจะเป็นรอยเลือด
มั่วชิงเฉินรู้สึกตกใจ บนร่างตนเองไม่มีสิ่งผิดปกติเลย หรือว่ารอยเลือดนี้เป็นของศิษย์พี่เยี่ย?
นึกถึงตรงนี้มั่วชิงเฉินส่งเสียงทางจิตว่า “ศิษย์พี่เยี่ย ท่านอยู่หรือไม่?”
ผ่านไปเนิ่นนาน ด้านนั้นถึงมีเสียงนิ่งเรียบเสียงหนึ่งส่งมา “อยู่”
มั่วชิงเฉินลังเลครู่หนึ่ง ยังคงถามว่า “น้องพิษเย็นเข้าร่าง หลายวันมานี้หมดสติตลอดเวลา ไม่รู้ว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้น ใช่ศิษย์พี่เยี่ยช่วยข้าไว้หรือไม่?”
นิ่งเงียบอีกพักหนึ่ง เสียงนิ่งเรียบไร้คลื่นของเยี่ยเทียนหยวนส่งมา “ยามบำเพ็ญเพียรหลายวันนี้บังเอิญเข้าสู่สภาพอัศจรรย์ ข้าไม่ได้สังเกตความเคลื่อนไหวทางด้านศิษย์น้องมั่วเลย”
“เอ่อ เช่นนั้นรบกวนศิษย์พี่เยี่ยแล้ว”
มั่วชิงเฉินแม้พูดเช่นนี้ ตากลับไม่ออกห่างจากรอยเลือดบนเชือกเขียว นางจำได้ว่ายามที่พิษเย็นกำเริบกระหน่ำรุนแรง ยามที่ตนหนาวจนเกือบแข็งกลับจู่ๆ มีกระแสความอุ่นห่อหุ้มร่างกายไว้ทั้งร่าง ทำให้อวัยวะภายในที่เกือบจะแข็งเป็นน้ำแข็งของนางกลับมามีชีวิตอีกครั้ง
กระแสความอุ่นนั้นมาจากนอกเข้าในชัดๆ ยิ่งกว่านั้นตนเกือบขาดใจ จะช่วยตนเองได้อย่างไรกัน
เมื่อเป็นเช่นนี้ คนที่ช่วยตนไว้ต้องเป็นศิษย์พี่เยี่ยแน่นอนอย่างไม่ต้องสงสัย
ทว่าไยเขาถึงไม่ยอมรับ?
มั่วชิงเฉินคิดไม่เข้าใจ จึงโยนทิ้งไว้ข้างๆ ให้รู้แล้วรู้รอดไปแล้วนั่งขัดสมาธิ ดูสภาพการณ์ในร่างกายขึ้นมา
เมื่อได้ตรวจสอบ นางอดตกตะลึงไม่ได้ เห็นเพียงเพลิงแก้วใจกระจ่างที่วนเวียนอยู่เหนือตันเถียนในตอนแรกแข็งแกร่งเป็นปึกแผ่นขึ้นมาก ส่วนพลังวิญญาณที่ไหลอย่างช้าๆ ในร่างยิ่งบริสุทธิ์ขึ้นแล้ว