พันธกานต์ปราณอัคคี - ตอนที่ 203 เศร้าสลดตามลำพัง
“อะไรนะ เทียนหยวน เจ้าจะออกไปฝึกตน?” บัดนี้ได้เข้าสู่เดือนสิบสองฤดูหนาวแล้ว เสวียนหั่วเจินจวินยังถือพัดกกขาดๆ อันหนึ่งอยู่ ดูแล้วหัวมังกุท้ายมังกร เขากลับไม่ใส่ใจเอาเสียเลย สองตาจ้องเยี่ยเทียนหยวนเขม็ง
เยี่ยเทียนหยวนเอ่ยด้วยสีหน้าสงบว่า “ขอรับ ท่านเทียด”
เสวียนหั่วเจินจวินโบกพัดกกขาดๆ ไม่หยุด ส่ายศีรษะว่า “ไม่ได้ เจ้าออกไปฝึกตนหลายปี กลับมายังไม่ครบปีดี เข้าโถงลงทัณฑ์สองครั้งอีก บัดนี้ไม่ใช่เวลาของการออกไปฝึกตนโดยสิ้นเชิง หากแต่ควรสงบใจบำเพ็ญเพียรอยู่ในสำนัก”
เยี่ยเทียนหยวนหลุบตาลง เอ่ยนิ่งเรียบว่า “ท่านเทียด เทียนหยวนรู้สึกตัวว่ายามนี้ไม่ใช่เวลาในการสงบใจบำเพ็ญเพียร อยากออกจากสำนักฝึกตนอีกสักครั้ง”
เสวียนหั่วเจินจวินกวาดสายตามองเยี่ยเทียนหยวนปราดหนึ่ง “เทียนหยวน หลายปีมานี้แม้เวลาส่วนใหญ่เจ้าล้วนอยู่ข้างนอก กลับเป็นคนรู้เวล่ำเวลา บัดนี้ไยจิตใจว้าวุ่นเสียแล้ว…เอ๊ะ คงไม่ใช่ คงไม่ใช่เจ้ากับเด็กสาวคนนั้นในถ้ำน้ำแข็ง…”
เยี่ยเทียนหยวนหน้าบึ้งทันที นี่เขาตาลายไปใช่หรือไม่ เหตุใดท่านเทียดยามที่เดาส่งเดชไม่เพียงแต่ไม่ตำหนิ ยังตื่นเต้นรางๆ?
“ท่านเทียดคิดมากไปแล้ว เทียนหยวนตัดสินใจออกไปฝึกตน ไม่เกี่ยวอะไรกับศิษย์น้องมั่วแม้แต่น้อย” บนหน้าเยี่ยเทียนหยวนไม่มีเกลียวคลื่นแม้แต่น้อย ในใจกลับมีความระทมเอ่อขึ้นสายหนึ่ง
ในเมื่อนางไม่อยากเห็นตนเองถึงเพียงนั้น เช่นนั้นก็ไม่ต้องพบกันตลอดไปก็แล้วกัน ขอเพียงในใจนางพอใจ
“เทียนหยวน เช่นนั้นเจ้าไปฝึกตนครั้งนี้ กะจะกลับมาเมื่อไร?” เสวียนหั่วเจินจวินเข้าใจนิสัยของทายาทของตนคนนี้ เมื่อใดที่เขาตัดสินใจแล้วก็ยากจะเปลี่ยนแปลง นี่ นี่มันดื้อรั้นชัดๆ นี่นา ก็ไม่รู้ว่าเหมือนใคร!
เยี่ยเทียนหยวนเม้มปากว่า “การฝึกตนเป็นเรื่องตามอารมณ์ เทียนหยวนยากจะคาดเดา หรือว่ารอหลังก่อแก่นปราณ…”
ยังพูดไม่จบ ก็ถูกเสวียนหั่วเจินจวินขัดขึ้น “เจ้าเด็กบ้า หากเจ้ากล้าก่อแก่นปราณข้างนอก ข้าจะหักขาของเจ้าให้ได้!”
“ท่านเทียด…” เยี่ยเทียนหยวนหน้าถอดสี ผู้บำเพ็ญเพียรระดับก่อกำเนิดมิใช่ควรสำรวมตนบ่มนิสัยหรอกหรือ เหตุใดเขากลับมาเจอท่านเทียดเช่นนี้เข้าล่ะ
เสวียนหั่วเจินจวินจู่ๆ ก็ส่ายศีรษะเงาวับเขยิบเข้ามา ขยิบตาว่า “เทียนหยวน ครั้งนี้หากเจ้าคิดจะฝึกตนข้างนอกเป็นเวลานาน เทียดก็ไม่รั้งเจ้า ทว่าก็ได้แต่กำหนดเรื่องแต่งงานของเจ้าให้เสร็จสิ้นก่อน อืม ทางเขารั่วสุ่ยนั่นเกรงว่าไม่เต็มใจให้เราเข้าไปแล้ว เขาต้วนจินและเขาโฮ่วเต๋อก็ไม่มีผู้บำเพ็ญเพียรที่โดดเด่นอะไร จิ๊ๆ เทียนหยวนเอ๋ยข้ารู้สึกว่าเด็กสาวที่ขังอยู่ด้วยกันกับเจ้าในถ้ำน้ำแข็งเป็นตัวเลือกที่ดีที่สุดนะ”
เยี่ยเทียนหยวนใจเต้นตึกตัก สีหน้าเย็นชาว่า “ท่านเทียด เทียนหยวนคิดเพียงไล่ตามทางสวรรค์ ไม่อยากให้เรื่องอื่นมาทำให้ว่อกแว่ก ขอท่านเทียดเห็นใจด้วย”
ไอ้เด็กบ้าปากไม่ตรงกับใจคนนี้! เสวียนหั่วเจินจวินบ่นอยู่ในใจ ปากกลับว่า “ไม่ให้ข้าไปสู่ขอก็ได้ ไม่ว่าอย่างไรเจ้าต้องมาก่อแก่นปราณในสำนัก จำได้หรือไม่?”
เยี่ยเทียนหยวนพยักหน้าอย่างจำใจ หนีออกจากที่พำนักของเสวียนหั่วเจินจวินเหมือนหลุดพ้น
เสวียนหั่วเจินจวินจ้องแผ่นหลังที่หนีหัวซุกหัวซุนของเยี่ยเทียนหยวนแล้ว ถอนใจเสียงหนึ่ง พึมพำว่า “เจ้าเด็กนี่ เกรงว่าเคราะห์รักจะมาถึงแล้ว เช่นนี้ก็ดี เต็มเกินไปต้องล้น คนคนเดียวครอบครองเรื่องดีๆ ในใต้หล้าจนหมด สุดท้ายจะเป็นความพินาศ…”
มั่วชิงเฉินภายใต้สถานการณ์มีศิษย์ผู้ดูแลสองคนเป็นเพื่อนแท้จริงคือคอยสังเกตการณ์ ก็มาถึงตำหนักหลักเขาโฮ่วเต๋ออย่างรวดเร็ว
กระโดดลงจากอาวุธเวทเหินหาว มั่วชิงเฉินมองป้ายชื่อแวววับบนตำหนักหลักแล้วสูดหายใจเข้าลึกๆ อึดหนึ่ง ถึงเดินเข้าไป
ที่นั่งประธานกลางตำหนักมีผู้บำเพ็ญเพียรระดับก่อแก่นปราณที่หน้าตาธรรมดา ไว้หนวดสั้นคนหนึ่งนั่งอยู่ คือเจ้าสำนักเหยากวงนักพรตฟางเหยานั่นเอง
“ศิษย์มั่วชิงเฉินกราบคารวะท่านอาจารย์ลุงเจ้าสำนักเจ้าค่ะ” มั่วชิงเฉินคารวะอย่างถูกต้องตามระเบียบครั้งหนึ่ง
ศิษย์ระดับสร้างรากฐานธรรมดาเรียกนักพรตฟางเหยาว่าอาจารย์อาเจ้าสำนัก ทว่าศิษย์ก้นกุฏิเช่นพวกเขา กลับเรียกผู้บำเพ็ญเพียรระดับก่อแก่นปราณคนอื่นตามตบะของอาจารย์อย่างเคร่งครัด
แม้นักพรตเหอกวงและนักพรตฟางเหยาต่างอยู่ระดับก่อกำเนิดระยะกลางเช่นกัน ทว่าระยะเวลาที่นักพรตฟางเหยาหยุดอยู่ที่ระดับก่อแก่นปราณระยะกลาง เกรงว่าจะมากกว่าอายุของนักพรตเหอกวงเสียอีก มั่วชิงเฉินย่อมเรียกว่าอาจารย์ลุงเป็นธรรมดา
นักพรตฟางเหยาหัวเราะคิกคักว่า “ศิษย์หลานมั่วไม่ต้องมากพิธี อยู่ถ้ำน้ำแข็งหมายเลขแปดมาหลายเดือน ข้าดูแล้วศิษย์หลานสีหน้ายังไม่เลว ดูแล้วรากฐานศิษย์หลานมั่วมั่นคงมากทีเดียว”
สีหน้าไม่เลว? มั่วชิงเฉินด่ามารดาอยู่ในใจ ปากกลับเอ่ยอย่างว่านอนสอนง่ายว่า “ขอบคุณอาจารย์ลุงเจ้าสำนักที่ชมเจ้าค่ะ”
เห็นมั่วชิงเฉินถ่อมตนมีมารยาท นักพรตฟางเหยาค่อนข้างยากที่จะโยงเด็กสาวตรงหน้ากับนางหนูที่มือถือก้อนอิฐสู้กันดุเดือดกับนางหนูหรวนในโถงดอกไม้เข้าด้วยกัน สีหน้ากลับไม่เปลี่ยนว่า “ศิษย์หลานมั่วเอ๋ย เจ้ารู้หรือไม่ว่าไยถึงได้ออกมาจากโถงลงทัณฑ์ก่อนกำหนด?”
มั่วชิงเฉินก้มหน้าเล็กน้อย เอ่ยอย่างนอบน้อมว่า “ศิษย์ไม่รู้เจ้าค่ะ คิดว่าคงเพราะท่านผู้เฒ่าไท่ซ่างอันดับหนึ่งสงสาร อาจารย์ลุงเจ้าสำนักกรุณาเจ้าค่ะ”
นักพรตฟางเหยากระตุกมุมปาก ยิ้มแห้งๆ สองเสียงว่า “ศิษย์หลานมั่วเคยได้ยิน ‘เยือนสำนัก’ มาก่อนหรือไม่?”
มั่วชิงเฉินส่ายหน้าอย่างงงงัน “ศิษย์ไม่ทราบเจ้าค่ะ”
นักพรตฟางเหยาจึงอธิบายว่าอะไรคือเยือนสำนัก กฎเกณฑ์ดั้งเดิมและความสำคัญของการเยือนสำนักรอบหนึ่ง สุดท้ายเปลี่ยนหัวข้อว่า “ศิษย์หลานมั่วเอ๋ย บัดนี้ใต้เชิงเขาศิษย์นิกายเหอฮวนต่างกำลังรอเจ้าอยู่นะ เจ้าเห็นว่า…”
มั่วชิงเฉินมองฟ้าอย่างจนด้วยคำพูด เรื่องมาถึงขั้นนี้ยังสามารถปฏิเสธได้อีกหรือ เหตุใดไม่ว่าใครทำเรื่องอะไรไว้ สุดท้ายความยุ่งยากล้วนต้องมาตกที่ตนนะ?
“ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ศิษย์ย่อมรับมือสุดความสามารถเจ้าค่ะ” มั่วชิงเฉินเอ่ยด้วยสีหน้าสงบ
“แค่กๆ ในสารท้ารบสีแดงระบุไว้ว่า พวกนางจะส่งศิษย์เจ็ดคนลงประลอง ตามหลักแล้วพวกเราทางนี้นอกจากศิษย์หลานชิงเฉินที่นอกจากจำเป็นต้องรับมือสามคนติดกันแล้ว ยังสามารถส่งศิษย์สี่คนช่วยรบ ไม่รู้ศิษย์หลานมั่วมีตัวเลือกเสนอหรือไม่?” นักพรตฟางเหยาถามขึ้น
มั่วชิงเฉินสายตาเป็นประกาย ถามว่า “บังอาจถามอาจารย์ลุงเจ้าสำนัก ศิษย์นิกายเหอฮวนที่มาท้าประลอง ล้วนมีตบะอะไรบ้างเจ้าคะ?”
นักพรตฟางเหยาว่า “ย่อมต้องเป็นระดับสร้างรากฐานระยะกลางทั้งหมดอยู่แล้ว ศิษย์เพียงคนเดียวที่อยู่ระดับสร้างรากฐานระยะปลาย คือผู้นำทีม ตามกฎเกณฑ์แล้วไม่เข้าร่วมการรบ”
ระดับสร้างรากฐานระยะกลางเช่นนั้นหรือ? มั่วชิงเฉินยิ้มอย่างชั่วร้าย “เมื่อเป็นเช่นนี้ เช่นนั้นศิษย์จะออกไปเดี๋ยวนี้เจ้าค่ะ”
“หรือว่าศิษย์หลานมั่วจะออกไปโดยลำพัง?” นักพรตฟางเหยาตะลึง
ศิษย์น้องเหอกวงกวาดผู้บำเพ็ญเพียรหญิงระดับก่อแก่นปราณนิกายเหอฮวนราบเรียบนั้นเขาไม่แปลกใจเลย ศิษย์น้องเหอกวงพรสวรรค์เป็นเลิศ ยามที่อยู่ระดับก่อแก่นปราณระยะต้นพลังความสามารถในการสู้จริงก็อยู่ระดับแนวหน้าในบรรดาผู้บำเพ็ญเพียรระดับก่อแก่นปราณหลายสิบคนในพรรคเหยากวง ยิ่งไม่ต้องพูดถึงเมื่อเลื่อนขั้นระยะกลาง
ทว่าผู้บำเพ็ญเพียรหญิงนิกายเหอฮวนแม้ไม่ถนัดด้านพลังรบ การมาครั้งนี้ต้องเตรียมตัวมาเต็มที่แน่นอน ศิษย์หลานมั่วเช่นนี้ออกจะชะล่าใจเกินไปแล้วกระมัง
นักพรตฟางเหยากำลังครุ่นคิดอยู่ มั่วชิงเฉินพยักหน้าแล้วหันหลังจากไป เดินถึงหน้าประตูจู่ๆ ก็หยุดแล้วหันหน้ามา
นักพรตฟางเหยารีบว่า “ศิษย์หลานมั่วต้องการศิษย์คนอื่นไปเป็นเพื่อนใช่หรือไม่?”
มั่วชิงเฉินส่ายหน้า เอ่ยอย่างลังเลเล็กน้อยว่า “ท่านอาจารย์ลุงเจ้าสำนัก ‘เยือนสำนัก’ นี้ ตีคนตายได้หรือไม่เจ้าคะ?”
นักพรตฟางเหยาชะงัก ครึ่งค่อนวันถึงว่า “เน้นความปรองดองเป็นหลัก…”
มั่วชิงเฉินแย้มหนึ่งยิ้ม “ศิษย์ทราบแล้วเจ้าค่ะ”
มองทิศทางที่มั่วชิงเฉินจากไป นักพรตฟางเหยาลุงขึ้นมาเดินได้สองก้าว สุดท้ายไม่ค่อยวางใจ จึงเรียกศิษย์เข้ามาสั่งการสองสามประโยค
“เอาล่ะ ไปทำตามที่ข้าว่าเถอะ” นักพรตฟางเหยาเอ่ยนิ่งเรียบ เห็นศิษย์ผู้ดูแลนั่นไม่ขยับเขยื้อน ยักคิ้วว่า “อืม ไยยังไม่ลงไปอีก?”
ศิษย์ผู้ดูแลยกตามองนักพรตฟางเหยาปราดหนึ่ง ลังเลชั่วครู่ ถึงกัดฟันว่า “ท่านอาจารย์อาเจ้าสำนัก ศิษย์ยังมีเรื่องหนึ่งจะรายงาน…”
“พูด!”
“เอ่อ…” ศิษย์ผู้ดูแลลังเลแล้วลังเลอีก ถึงรวบรวมความกล้าว่า “เรียนท่านอาจารย์อาเจ้าสำนัก ถ้ำน้ำแข็งหมายเลขแปดห้องหมายเลขสามถูกระเบิดแล้ว…”
“อะไรนะ!” นักพรตฟางเหยาชะงัก สีหน้าโกรธา “ตกลงเรื่องอะไรกันแน่ ผู้ใดบังอาจทำเหลวไหลในโถงลงทัณฑ์?”
ศิษย์ผู้ดูแลเหล่เจ้าสำนักที่สีหน้าโกรธเกรี้ยวปราดหนึ่ง แข็งใจว่า “ห้องหมายเลขสาม…เป็นห้องศิลาของศิษย์พี่มั่ว ตามที่พวกศิษย์สองสามคนตรวจสอบ คิดว่าน่าจะเป็นศิษย์พี่มั่วใช้ยันต์ที่มีอานุภาพรุนแรงอะไรบางอย่าง…”
นักพรตฟางเหยาโกรธจนมือสั่น เอ่ยชัดถ้อยชัดคำว่า “ไปเชิญนักพรตเหอกวงมาให้ข้า ไม่ ข้าไปหาเขาเองดีกว่า!”
พูดจบเหยียบขึ้นสมบัติวิเศษเหินหาว ตรงไปเขาชิงมู่
มั่วชิงเฉินย่อมไม่รู้ว่าอาจารย์ลุงเจ้าสำนักผู้นั้นบัดนี้ไปฟ้องอาจารย์ตนแล้ว นางเดินตามทางลงเขา ก็มีสายตาศิษย์เหยากวงนับไม่ถ้วนกวาดมา
โบราณว่าไว้คนกลัวโด่งดังหมูกลัวอ้วนท้วน ตัวมั่วชิงเฉินเองไม่ชอบถูกผู้คนสนใจ ทว่ากลับต้องเป็นจุดเด่นเช่นนี้ครั้งแล้วครั้งเล่า จนนางเริ่มเปลี่ยนแปลงไปสู่เขตแดนที่สูงขึ้นหมูตายไม่กลัวน้ำร้อนลวกแล้ว ดังนั้นจึงหน้าไม่เปลี่ยนสี เดินด้วยฝีเท้ามั่นคง
ยามนี้จู่ๆ นางก็เข้าใจศิษย์พี่เยี่ยขึ้นมาบ้างแล้วว่าไยมักทำหน้าเป็นภูเขาน้ำแข็งไร้ความรู้สึก ถูกสายตานับไม่ถ้วนกวาดผ่านเหมือนไฟฉายทั้งวัน ต่อให้ใครก็ไม่กล้ามีสีหน้าที่มากเกินความจำเป็นน่ะสิ
ทันใดนั้น เสียงกรีดร้องเสียงหนึ่งดังมา “อ๊าก นั่นคืออาจารย์อามั่ว อาจารย์อามั่วออกมาแล้ว อาจารย์อามั่วจะไปจัดการนางมารพวกนั้นแล้ว!”
มั่วชิงเฉินเดินสะดุด นี่คือศิษย์หลานคนไหนน่ะ เป็นเสียงผู้ชายชัดๆ ไยถึงแหลมเล็กกว่าหญิงสาวเสียอีก
เมื่อเสียงนี้ดังขึ้น บรรดาศิษย์พวกนั้นที่คิดเอาเองว่าทำตัวลับๆ ล่อๆ แล้วแท้จริงกลับขาดเพียงแปะสายตาไว้บนหน้ามั่วชิงเฉินแล้วในที่สุดก็ได้สติขึ้นมา อึกทึกครึกโครมขึ้นมา ล้วนตามมั่วชิงเฉินวิ่งไปที่เชิงเขา
ใต้เชิงเขา ผู้บำเพ็ญเพียรหญิงนิกายเหอฮวนด่าเสร็จ ค่อยๆ นั่งลงมาดื่มชาชุ่มคอ ทันใดนั้นเห็นประตูสำนักพรรคเหยากวงเปิดออก ศิษย์เสื้อเขียวนับไม่ถ้วนกรูออกมาเหมือนสายน้ำ
“ศิษย์พี่!” ผู้บำเพ็ญเพียรหญิงนิกายเหอฮวนคนหนึ่งตกใจจนหน้าถอดสี กรีดร้องออกเสียงว่า “หรือว่าพวกเขาจะเล่นหมาหมู่?”
ผู้บำเพ็ญเพียรหญิงที่ใส่ชุดสีรุ้งคนหนึ่งในนั้นแข็งใจทำใจเย็นว่า “ลนอะไร อย่าให้เสียกระบวนทัพ!” แม้พูดเช่นนี้ สีหน้าก็ไม่ดีนัก
ศิษย์ชุดเขียวกลุ่มนั้นหยุดลงที่เชิงเขา หันรีหันขวาง ในที่สุดก็มีคนเอ่ยเสียงเบาว่า “อาจารย์อามั่วล่ะ?”
มั่วชิงเฉินเดินออกจากสำนักมองดูศิษย์ที่อัดอยู่ข้างหน้าจนดำทะมึนแล้วรู้สึกจำใจ คนกลุ่มนี้ช่างบ้าคลั่งเหลือเกิน แต่ละคนวิ่งเร็วยิ่งกว่ากระต่ายเสียอีก ถึงสุดท้ายกลับเบียดเจ้าของเรื่องไปไว้หลังสุดแล้ว
“หลีกทางหน่อย” มั่วชิงเฉินดึงศิษย์ข้างหน้า
ในศิษย์กลุ่มนี้ยังมีผู้บำเพ็ญเพียรระดับสร้างรากฐานด้วย จะให้ตนบินผ่านเหนือศีรษะพวกเขาไปคงไม่ดีกระมัง
ศิษย์ข้างหน้าหันหน้าตะคอกอย่างรำคาญว่า “หลบอะไรเล่า อาจารย์อามั่วหายไปแล้ว…อ๊าก อาจารย์อามั่ว!”
มั่วชิงเฉินขมับเต้นตุ๊บ ถือว่านางโชคร้าย คนที่ดึงไว้ไม่คิดว่าจะเป็นศิษย์ที่กรีดร้องเมื่อครู่อีก
ที่โชคดีคือเมื่อศิษย์นั่นร้องเช่นนี้ปุ๊บ ศิษย์มากมายที่กำลังร้อนใจมองหามั่วชิงเฉินอยู่หันหน้าขวับมาพร้อมกัน ต่อจากนั้นศิษย์สองข้างต่างถอยหลังไปหนึ่งก้าว โดยมีตำแหน่งที่นางยืนเป็นจุดศูนย์กลาง หลีกทางออกมาสายหนึ่ง
มั่วชิงเฉินสูดหายใจเข้าลึกอึดหนึ่ง แล้วเดินออกไปด้วยสีหน้าสงบ
ตรงข้ามเชิงเขา ผู้บำเพ็ญเพียรหญิงสิบกว่าคนยืนอยู่ ทุกคนมีตบะของระดับสร้างรากฐานระยะกลางทั้งหมด มีเพียงคนเดียวในนั้นอยู่ระดับสร้างรากฐานระยะปลาย
“เจ้าก็คือศิษย์ของนักพรตเหอกวง?” ผู้บำเพ็ญเพียรหญิงชุดสีรุ้งในนั้นใช้สายตาพินิจพิจารณามั่วชิงเฉิน ยกคางขึ้นถามอย่างจองหอง