พันธกานต์ปราณอัคคี - ตอนที่ 221 ตะเกียงดวงจิตเจ้าชะตา
ความโกรธและตกใจของมั่วชิงเฉินถูกเถียนหยวนเห็นจนหมด อดหัวเราะอย่างได้ใจไม่ได้ ในใจแอบคิดว่าพัดหยินหยางของตนนี่ช่างใช้ดีจริงๆ ปกติยามที่สู้กับผู้บำเพ็ญเพียรเมื่อหยิบพัดหยินหยางออกมา ผู้บำเพ็ญเพียรที่ไม่ค่อยได้สัมผัสอาวุธเวทประเภทนี้ก่อนอื่นก็ตกใจจนอ้าปากค้าง ไม่ต้องให้ตนเปลืองแรง เพียงฉวยโอกาสที่อีกฝ่ายกำลังงงงันก็เอาชนะอีกฝ่ายได้แล้ว
และเถียนหยวนในยามนี้ก็ทำเช่นนี้จริงๆ ฉวยโอกาสที่มั่วชิงเฉินกำลังตกตะลึงอยู่ เขาโยนเชือกมัดเซียนในมือออก ว่ายพุ่งมาถึงข้างกายมั่วชิงเฉินเหมือนงูวิญญาณ ปลายข้างหนึ่งโค้งขึ้น มัดเอวของนางขึ้นมาอย่างรวดเร็ว
มั่วชิงเฉินสีหน้าซีดเซียว ก้มหน้ามองดูเชือกมัดเซียนบนร่างแล้วดิ้นรนขึ้นมา เพียงแต่พลังวิญญาณในกายถูกเชือดมัดเซียนมัดไว้ ยังเคลื่อนได้ที่ไหนกัน
ไม่ยอมรับไม่ได้ว่า เจ้าสารเลวนี่แม้มีชื่อเสียงด้านเสเพล ยามสู้กันกลับมีฝีมือพอตัว บวกกับสมบัติในตัวมากมาย มิน่าโอหังมานานหลายปีเพียงนี้ยังสามารถมีชีวิตอยู่รอดมาโดยสวัสดิภาพจนบัดนี้
นึกถึงตรงนี้มั่วชิงเฉินหนักใจเล็กน้อย แม้ทั้งหมดนี้ล้วนอยู่ในแผนการของตน เดิมทีก็คิดจะทำเป็นหมดแรงให้เขาจับไว้ รอยามที่เขาล่วงเกินตนค่อยฉวยโอกาสฆ่าเขาเสีย ทว่าสุดท้ายก็ประมาทศัตรูเกินไปจนได้
ที่จริงคิดๆ ดู ผู้ที่หนุนหลังเขาคือผู้บำเพ็ญเพียรระดับก่อแก่นปราณระยะปลาย รับเขาเป็นศิษย์สอนสั่งด้วยตนเอง หากเขาไม่มีที่ที่โดดเด่นแม้แต่น้อย เช่นนั้นจะมีโอกาสเช่นนี้ได้อย่างไร ต้องรู้ว่าพวกเขาตระกูลเถียนแม้เป็นเพียงตระกูลระดับกลาง กลับเป็นไปไม่ได้ที่มีเพียงเขาคนเดียวที่มีรากวิญญาณหรอกกระมัง
เรื่องนี้ได้เตือนสติมั่วชิงเฉินอย่างลับๆ วันหลังไม่ว่าเจอศัตรูเช่นไร จะถูกรูปลักษณ์ภายนอกของอีกฝ่ายหลอกไม่ได้เป็นอันขาด ต่อให้คนผู้นั้นมีภาพพจน์ที่เป็นที่ยอมรับกันโดยทั่วไปของผู้คนมานานแล้วก็ตาม
เถียนหยวนเห็นมั่วชิงเฉินดิ้นรนสองสามทีก็สงบลง ก็หัวเราะขึ้นอีก เพียงออกแรงที่ข้อมือเชือกมัดเซียนก็พามั่วชิงเฉินบินกลับมา เขากระตุกเชือกสีขาวในมืออีกที ดึงมั่วชิงเฉินเข้ามาในอ้อมกอด แล้วยื่นแขนออกโอบเอวบางของนางไว้ “จิ๊ๆ ศิษย์น้องเอ๋ยรูปร่างเจ้านี่ช่างเอวกิ่วเหมือนหลิว นุ่มนิ่มเหมือนไม่มีกระดูก ศิษย์พี่หลงโอ้อวดว่าหลายปีมานี้ตนสำรวจพุ่มดอกไม้จนทั่ว ที่แท้ก็อยู่มาเสียเปล่าเสียแล้ว”
“เจ้าคนสารเลว!” ดวงตาดอกท้อของมั่วชิงเฉินเบิกโพลง ในตาเต็มไปด้วยความชิงชังเย็นชา
เถียนหยวนยื่นมือออก ปัดผมด้านหน้าของมั่วชิงเฉินออก จากนั้นดอกไม้มุกดอกหนึ่งก็ปรากฏขึ้นในมือ เสียบไว้หลังหูนาง ปากพูดไม่หยุดว่า “ศิษย์น้อง ท่าทางโมโหของเจ้าช่างมีเสน่ห์จริงๆ ขืนถลึงตาอีก ศิษย์พี่ก็จะเมามายอยู่ในประกายตาของเจ้าแล้ว” พูดพลางใช้นิ้วมือลูบผ่านหน้าของมั่วชิงเฉิน
มั่วชิงเฉินตากระตุกไม่หยุด ความสะอิดสะเอียนอย่างบอกไม่ถูกสายหนึ่งเกิดขึ้นมาเองอย่างห้ามไม่ได้ ร่างกายสั่นเทิ้ม ในใจแอบคิดว่า เจ้าสารเลวนี่ รออีกสักพักข้าจะสับกีบหมูของเจ้าออกแน่นอน!
“เจ้าและข้าต่างเป็นศิษย์เหยากวงเหมือนกัน หรือว่าก็จะไม่สนใจกฎสำนัก กลางวันแสกๆ คิดจะทำอัปยศอดสูต่อศิษย์น้องร่วมสำนัก?” เสียงมั่วชิงเฉินเย็นดุจน้ำแข็ง กลับมีความรู้สึกกลัวเพิ่มขึ้นมาสายหนึ่ง
“กลางวันแสกๆ? กฎสำนัก?” เถียนหยวนมองไปรอบๆ แล้วหัวเราะฟู่เสียงหนึ่ง “เวลานี้แม้จะกลางวันแสกๆ กลับมีเพียงเจ้าและข้าสองคน ศิษย์น้องไม่รู้สึกว่าเทียบกับการดับไฟจนมืดหมดกลับมีอรรถรสเพิ่มขึ้นมาไม่น้อยหรือ? ส่วนกฎสำนัก ฮึๆ กฎสำนักย่อมมีไว้รักษาในสำนักน่ะสิ ศิษย์น้องช่างไร้เดียงสาจริงๆ”
หากไม่ใช่ในสถานการณ์เช่นนี้ มั่วชิงเฉินอยากจะโห่ร้องจริงๆ เถียนหยวนคนนี้ช่างเป็นยอดคนจริงๆ อธิบายกฎสำนักได้ตรงประเด็นเช่นนี้
สำนักแต่ละสำนักในโลกแห่งการบำเพ็ญเพียรแม้มีกฎสำนักไม่น้อย คนที่สามารถรักษาได้จริงจะมีสักกี่คนกันอีก
สำนักใหญ่เช่นพรรคเหยากวงเช่นนี้ยังนับว่าดี ทรัพยากรในการบำเพ็ญเพียรต่างๆ ไม่อัตคัดถึงขั้นนั้น ในสำนักยิ่งเอียงไปทางการแข่งขันด้วยเจตนาดีมากกว่า ต่อให้เป็นเช่นนี้ก็ยังคงเลี่ยงการกลั่นแกล้งอย่างลับๆ ไม่ได้อยู่ดี
ส่วนสำนักเล็กๆ มากมาย เพื่อแย่งชิงทรัพยากรที่ล้ำค่าในการบำเพ็ญเพียรเหล่านั้นแล้ว ต่างใช้วิธีการต่างๆ ลอบเข่นฆ่ากันเพื่อกำจัดคนที่ไม่ใช่พรรคพวกของตนก็มีให้เห็นบ่อยๆ กฎสำนักที่ว่ากันก็เป็นเพียงผ้าปิดความอายผืนหนึ่งเท่านั้น ขอเพียงอย่าทำเรื่องจนเป็นที่รู้กันทั่ว ก็ไม่มีคนสนใจหรอก
พูดได้ว่า ต่อให้สำนักใหญ่เช่นสี่สำนักแปดนิกายนี้ ศิษย์ที่มีฐานะ พรสวรรค์เยี่ยม ตบะสูงพวกนั้นเก็บเบี้ยตัวเล็กๆ ที่ไม่มีความสำคัญสักคนอย่างลับๆ ต่อให้ผู้บำเพ็ญเพียรระดับสูงรู้อยู่แก่ใจ ก็จะไม่ยื่นมือเข้าแทรก
ผู้บำเพ็ญเพียรระดับสูงพวกนั้นมีชีวิตมานับร้อยนับพันปี มีเรื่องอะไรบ้างที่ไม่เคยเห็น มีแสงก็มีเงา มีดีก็มีเลว ที่ยังคงอยู่ย่อมมีความหมายของการคงอยู่ พูดถึงที่สุดแล้ว ก็เป็นเพียงผู้ที่แข็งแกร่งถึงอยู่รอดเท่านั้นเอง
ส่วนการบำเพ็ญเพียร เดิมทีก็เป็นพฤติกรรมขัดต่อสวรรค์อยู่แล้ว เป็นขั้นตอนการแย่งชิงทรัพยากรการบำเพ็ญเพียรที่มีอยู่น้อยนิดของคนนับไม่ถ้วน ดังนั้นคนคนหนึ่งก้าวขึ้นหนทางแห่งการบำเพ็ญเพียร ก็ถูกกำหนดไว้แล้วว่าต้องเดินหน้าต่อไปในกฎเกณฑ์ผู้ที่แข็งแกร่งถึงอยู่รอด
เถียนหยวนเห็นรูปโฉมที่แท้จริงของมั่วชิงเฉินแล้ว ก็คันคะเยอในใจมาตลอดควบคุมตัวเองไม่ได้ ยื่นมืออีกข้างหนึ่งออกโอบเอวอุ้มมั่วชิงเฉินขึ้น
มั่วชิงเฉินร้องด้วยความตกใจเสียงหนึ่ง แล้วเอ่ยด้วยความโกรธว่า “สารเลว เจ้าวางท่านย่าลงมานะ!”
เถียนหยวนกระดกมุมปากขึ้น ยิ้มอย่างคลุมเครือว่า “น้อมรับบัญชา” พูดพลางวางมั่วชิงเฉินราบลงกับพื้นหญ้าอย่างอ่อนโยน
ในที่สุดบนใบหน้ามั่วชิงเฉินก็ฉายแววร้อนรนวาบหนึ่ง กลับฝืนทำใจเย็นว่า “ศิษย์พี่ หากเจ้าปล่อยข้าไป เรื่องในวันนี้ศิษย์น้องจะถือว่าไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน หากว่า หากว่าเจ้ากล้าทำเหลวไหล ข้าจะให้เจ้ารู้ว่าเสียใจภายหลังเป็นเช่นไรแน่นอน!”
เถียนหยวนยื่นมือลูบไล้เส้นผมของมั่วชิงเฉินอย่างอ่อนโยน จากนั้นขยับมือดึงปิ่นหยกจันทร์เสี้ยวสีน้ำแข็งที่เกล้าผมยาวไว้ลงมา ผมดกดำลื่นไหลลงมาในทันใด สยายออกเหมือนน้ำตก
มั่วชิงเฉินสีหน้าเปลี่ยนทันที โกรธถึงขีดสุดว่า “สารเลว ห้ามแตะต้องปิ่นหยกของข้า”
เถียนหยวนเหลือบมองปิ่นหยกสีน้ำแข็งปราดหนึ่ง แล้วโยนไว้ข้างๆ ตามสบายพลางยิ้มว่า “ศิษย์น้องวางใจได้ รอสักครู่ศิษย์พี่จะให้เจ้ากำใหญ่ ให้เจ้าเลือกตามสบาย”
มั่วชิงเฉินกัดริมฝีปากแน่น ยื่นมือตบไปที่หน้าเถียนหยวน ยามเดียวกันก็ยืดขาเตะไปที่รากชีวิตของเขา
เถียนหยวนยื่นมือจับตามสบาย ก็จับมือของมั่วชิงเฉินไว้ได้ อีกมือหนึ่งจับเท้าของนางไว้ แล้วหัวเราะอย่างได้ใจว่า “ศิษย์น้องจะสิ้นเปลืองเรี่ยวแรงไปไย ถูกเชือกมัดเซียนมัดไว้ เจ้าทำเช่นนี้เพียงแค่ทำให้ศิษย์พี่ยิ่งทนไม่ไหวเท่านั้นเอง”
มั่วชิงเฉินชะงักงันทันที
เถียนหยวนเห็นคนงามนอนราบไม่ขยับเขยื้อนสีหน้าซีดเซียว ฟันกัดริมฝีปากไว้ จนเห็นรอยเลือดนานแล้ว แต่กลับดันเพิ่มความงามที่เศร้าโศกขึ้นส่วนหนึ่ง จึงอดถอนใจแผ่วเบาไม่ได้ว่า “ศิษย์น้อง เจ้าช่างทำให้ข้าหักห้ามใจไม่ได้จริงๆ เดิมศิษย์พี่คิดจะหาสถานที่ดีๆ ค่อยร่วมหอลงโรงกับศิษย์น้อง ทว่าเวลานี้กลับรอต่อไปไม่ไหวแล้ว ศิษย์น้องวางใจ หลังเสร็จเรื่องศิษย์พี่ต้องรายงานท่านเทียด แต่งกับเจ้าเป็นคู่บำเพ็ญเพียรคู่แน่นอน”
“เจ้าฝันไปเถอะ คนถูกหมากัดแล้วไม่ฆ่าหมาตัวนั้น กลับใช้ชีวิตอยู่กับหมาตัวนั้นอย่างนั้นหรือ? ท่านย่ายังไม่คร่ำครึถึงเพียงนั้น! ข้าขอถามเจ้าอีกครั้ง ตกลงเจ้าจะปล่อยข้าหรือไม่?” มั่วชิงเฉินถามเย็นชาดุจน้ำแข็ง
เถียนหยวนเบิกตาโตเพ่งพิศมั่วชิงเฉินอย่างละเอียดอีกรอบหนึ่ง ใบหน้านอกจากไม่เห็นความโกรธกลับยังหัวเราะว่า “ศิษย์น้อง ความคิดของเจ้าช่างพิเศษจริงๆ ทว่าศิษย์พี่กลับชอบยิ่งนัก ฮ่าๆ อย่ารีบร้อน ศิษย์พี่จะปล่อยเจ้าเดี๋ยวนี้แหละ”
พูดพลางมือกลับยื่นไปดึงชายเสื้อของมั่วชิงเฉินเบาๆ แล้วทับขึ้นไปทั้งตัว
ในที่ลับ คนคนหนึ่งสีหน้าโกรธเกรี้ยว มองไปทางนั้นตาไม่กะพริบ มือกำหมากรุกเม็ดหนึ่งไว้แน่นกำลังจะซัดออกไป กลับจู่ๆ ก็หยุดลงมา
เห็นเพียงข้างหลังเถียนหยวนจู่ๆ บนฟ้าก็ปรากฏอีการูปร่างอ้วนมากตัวหนึ่งขึ้น ปีกสองข้างอุ้มก้อนกลมสีดำขนาดเท่าผลทับทิมสามสี่ลูกอย่างเปลืองแรง เข้าใกล้เถียนหยวนอย่างไม่ให้สุ้มให้เสียง
อีกาเขย่งกรงเล็บยิ่งเดินยิ่งใกล้ รอยามที่ห่างจากเถียนหยวนไม่เกินหนึ่งจั้งแล้วหยุดลง จากนั้นปีกสองข้างยกขึ้นสูง โยนลูกก้อนกลมสีดำที่อุ้มอยู่ไปทางเถียนหยวนอย่างแรง
ได้ยินเพียงเสียงดังสนั่นหวั่นไหว ภูเขาทั้งลูกยังสั่นไหว ก้อนหินนับไม่ถ้วนกลิ้งหลุนๆ ลงมา ทำปักษาตกใจบินหนีไปนับไม่ถ้วน สัตว์สี่เท้ามากมายวิ่งหนีอุตลุด
ผู้บำเพ็ญเพียรที่อยู่ในที่ลับเสียบคมมีดในมือลงพื้นดิน บังคับร่างกายไว้อย่างสุดกำลัง สีหน้ากลับซีดเซียว ระหว่างที่เลือดลมพลุ่งพล่านพ่นโลหิตออกมาอึกหนึ่ง
หลังจากควันกรุ่นกระจายไปก็เห็นอีกาอ้วนๆ สะบัดตัว สะบัดจนเถ้าถ่านคละคลุ้ง จากนั้นก้าวขาสั้นๆ รุดไปทางมั่วชิงเฉิน
หญ้าเขียวชอุ่มบนพื้นหายไปไม่เห็นเงานานแล้ว เผยให้เห็นรูลึกบ้างตื้นบ้าง ขรุขระดูแล้วเป็นรูพรุนไปหมด ส่วนมั่วชิงเฉินบนพื้นกลับปลอดภัยไร้กังวล เพียงแต่ดูแล้วทุลักทุเลอยู่บ้าง
ข้างๆ นางกลับไม่มีเงาของเถียนหยวนแล้ว
ผู้บำเพ็ญเพียรที่อยู่ในที่ลับกวาดสายตามองไป ทันใดนั้นก็หยุดชะงัก เห็นเพียงไกลออกไปสิบกว่าจั้ง ร่างครึ่งตัวบนของเถียนหยวนแขวนอยู่บนต้นไม้ใหญ่ต้นหนึ่ง ส่วนส่วนที่เหลือกลับหายไปอย่างไร้ร่องรอย
เจ้านายตายแล้ว เชือกมัดเซียนคลายออกด้วยตัวเอง มั่วชิงเฉินกระโดดขึ้นมา สายตาตกไปบนต้นไม้ สีหน้าเหมือนปีติเหมือนโศกเศร้า แล้วน้ำตาก็ร่วงลงมาอย่างเลื่อนลอย
“เจ้านาย แค่กๆ เจ้าไม่เป็นไรนะ?” อีกาไฟสำลักควันเข้าไปเต็มคอหอย ไอพลางถามว่า
มั่วชิงเฉินใช้หลังมือปาดน้ำตาทิ้งไป ฝืนยิ้มว่า “ข้าไม่เป็นไร อู๋เย่ว์ เผาศพนั่นเสีย จัดการให้เรียบร้อยแล้วพวกเราก็ไป”
อีกาไฟอ้าปากพ่นลูกไฟออกเผาศพที่มีเพียงครึ่งตัวของเถียนหยวนจนเป็นเถ้าถ่าน มั่วชิงเฉินก้มตัวเก็บปิ่นหยกสีน้ำแข็งขึ้นแล้วเช็ดอย่างทะนุถนอมเกล้าผมขึ้น ต่อจากนั้นเก็บถุงเก็บวัตถุที่นอนอย่างเดียวดายบนพื้นขึ้น แล้วเก็บเชือกมัดเซียนไว้ในถุงเก็บวัตถุใบนั้นอีก ปกปิดร่องรอยสถานที่เกิดเหตุ แล้วพาอีกาไฟนั่งเรือบินจากไป
ผู้บำเพ็ญเพียรที่อยู่ในที่ลับสีหน้าดีขึ้นเล็กน้อย มองดูเรื่องทั้งหมดนี้อย่างเงียบๆ คิดๆ ดูแล้ว ในมือมีหินหยกขนาดเท่าถั่วลิสงเพิ่มขึ้นมา หินหยกนั้นลอยขึ้นกลางอากาศอย่างช้าๆ ทันใดนั้นก็ทอแสงสีขาวเจิดจ้าปกคลุมพื้นดินไปทั่วทั้งผืน ต่อจากนั้นตกกลับสู่มือผู้บำเพ็ญเพียรอย่างสงบ ผู้บำเพ็ญเพียรถึงหันหน้าจากไปอย่างไม่ลังเล
ตระกูลเถียนพรรคเหยากวงเป็นตระกูลระดับกลาง ผูกขาดยอดเขาทั้งลูก ห้องหาบบ้านเรือนสร้างแนบแนวภูเขา ดูแล้วก็ค่อนข้างใหญ่ทีเดียว
กุมารชุดเขียวคนหนึ่งกำลังปัดกวาดอยู่ในโถง สายตามองไปที่ตะเกียงน้ำมันแก้วสิบกว่าดวงที่วางอยู่บนโต๊ะหน้าโถงโดยไม่รู้ตัว
ตะเกียงน้ำมันแก้วเหล่านี้ ก็คือตะเกียงดวงจิตเจ้าชะตาของลูกหลานที่มีอนาคตและฐานะที่สุดจำนวนเพียงน้อยนิดของตระกูลเถียนของพวกเขา
นึกถึงตรงนี้ ใบหน้าของกุมารชุดเขียววาบแววอิจฉาพาดผ่านไป เมื่อไรที่ตนก็สามารถวางตะเกียงดวงจิตเจ้าชะตาไว้ที่นี่ได้สักดวงก็จะดีไม่น้อย
ทันใดนั้น ไส้ตะเกียงของตะเกียงน้ำมันดวงหนึ่งในนั้นสั่นไหว ต่อจากนั้นก็ดับเองทั้งที่ไม่มีลมแล้ว
กุมารชุดเขียวชะงักงัน ผ่านไปครึ่งค่อนวันถึงได้สติกลับมาว่านี่หมายความว่าเช่นไร ปากกรีดร้องไม่หยุดพลางวิ่งโซซัดโซเซไปสู่โถงใหญ่
“ท่านหัวหน้าตระกูล ท่านหัวหน้าตระกูลขอรับ…” กุมารชุดเขียวมือพยุงกรอบประตูไว้ ตะโกนเสียงหลง
“ลุกลี้ลุกลนเหมือนอะไร!” ผู้ชายท่าทางวัยกลางคนคนหนึ่งกลางโถงตะคอกว่า
สตรีวัยกลางคนผู้งดงามข้างๆ กลับเอ่ยอย่างอ่อนโยนว่า “เป็นอันใด อย่ารีบร้อน ค่อยๆ พูด”
กุมารชุดเขียวมือกุมหน้าอกไว้ ทุบอย่างบ้าคลั่งสองทีถึงพูดออกมาว่า “ท่านหัวหน้าตระกูล ฮือๆๆ คุณชายสิบ คุณชายสิบเขา…ตะเกียงดวงจิตเจ้าชะตาของเขาดับแล้ว!”
“อะไรนะ!” ชายวัยกลางคนมือตบที่วางมือเก้าอี้แล้วลุกขึ้นยืน กลับได้ยิน ‘ฉัวะ’ เสียงหนึ่ง ที่วางมือถูกตบหักทั้งอย่างนั้นแล้ว
ส่วนสตรีวัยกลางคนผู้งดงามที่อยู่ข้างๆ คนนั้นกลับฮึอย่างอัดอั้นเสียงหนึ่ง ร่างกายอ่อนยวบทรุดลงไป