พันธกานต์ปราณอัคคี - ตอนที่ 224 ตกลงใครปลิ้นปล้อน
คำพูดนี้ไม่หนักไม่เบา ไม่ยินดียินร้าย มั่วชิงเฉินกลับพบอย่างเฉียบไวว่าหรูอวี้เจินจวินที่งามดุจชาวสวรรค์ท่านนี้ไม่ได้มีความรู้สึกดีให้ตน
นางเดินไปกลางโถงใหญ่ทันที คุกเข่าลงดังตึ้ง แล้วเอ่ยอย่างใจเย็นว่า “เป็นความผิดของผู้น้อย ที่มักสร้างปัญหาให้อาจารย์เจ้าค่ะ”
หรูอวี้เจินจวินมองหลิวซางเจินจวินปราดหนึ่ง เห็นหลิวซางเจินจวินพยักหน้าแผ่วเบา ถึงถามต่อว่า “ชิงเฉิน เรื่องที่เจ้าฆ่าเถียนหยวน นักพรตซานอินมีหลักฐานมัดตัวแล้ว เจ้ามีข้อโต้แย้งในเรื่องนี้หรือไม่?”
มั่วชิงเฉินเอ่ยเสียงกังวานว่า “ผู้น้อยไม่มีข้อโต้แย้งเจ้าค่ะ”
นักพรตซานอินกระดกมุมปาก
“ในเมื่อไม่มีข้อโต้แย้งต่อผลลัพธ์ในเรื่องนี้ เช่นนั้นเจ้าก็ลองว่าสาเหตุมาดีๆ เถอะ เจ้าและเถียนหยวนมีความบาดหมางอันใด ถึงขนาดต้องลงมือฆ่าเขา?” หรูอวี้เจินจวินถามด้วยเสียงราบเรียบ
มั่วชิงเฉินก้มหน้าลงกัดริมฝีปาก สถานการณ์นิ่งเงียบลงมาทันที
หรูอวี้เจินจวินขมวดคิ้วว่า “มั่วชิงเฉิน หากเจ้าไม่มีสาเหตุ เช่นนั้นก็ได้เพียงลงโทษตามกฎสำนักแล้ว!”
“เจินจวิน นางไม่มีอะไรพูดได้ชัดๆ” นักพรตซานอินเห็นมั่วชิงเฉินนิ่งเงียบ อดพูดขึ้นไม่ได้
เพิ่งสิ้นเสียงก็เห็นเสวียนหั่วเจินจวินกวาดสายตามา “อ้าว เจ้าเด็กซานอิน ผู้ใหญ่คุยกันเจ้าแทรกอะไรด้วย”
นักพรตซานอินคิ้วขาวกระตุก กลับไม่กล้าต่อปากต่อคำ ใครไม่รู้บ้างว่าเสวียนหั่วเจินจวินท่านนี้ไม่แบไพ่ตามหลักการทั่วไป เกิดบ้าขึ้นมาแม้แต่ท่านผู้เฒ่าไท่ซ่างอันดับหนึ่งก็ปวดศีรษะ หากทำให้เขาโกรธ อัดตนเองขึ้นมาต่อหน้าผู้คนก็ไม่ใช่เรื่องแปลก อีกทั้งยังได้แต่ยอมรับว่าโชคร้ายอีกต่างหาก
ใครจะรู้ว่ายามที่เสวียนหั่วเจินจวินเบือนสายตาไปบนตัวมั่วชิงเฉิน กลับสีหน้ารื่นรมย์ขึ้นมาทันทีว่า “นางหนูชิงเฉินเอ๋ยรีบบอกข้ามา เจ้าเด็กเถียนหยวนนั่นทำเรื่องอะไรถึงทำให้เจ้าต้องลงมือฆ่าเขา? อย่ากลัว ขอเพียงเจ้าพูดความจริง พวกเราต้องตัดสินอย่างเที่ยงธรรมแน่นอน”
ตัดสินอย่างเที่ยงธรรม? นักพรตซานอินสูดหายใจเข้าอย่างแรงอึดหนึ่งถึงทนไม่ให้บุ่มบ่ามด่ากราดออกมา
มั่วชิงเฉินขมวดคิ้วเล็กน้อย ยกตามองทุกคน สายตาแอบกวาดผ่านกู้หลี
ไม่ใช่นางแสร้งปล่อยเพื่อจับ เพียงแต่เมื่อถึงยามนี้จริงๆ ถึงพบว่า การที่ต้องพูดเรื่องพวกนั้นออกมาต่อหน้าเขา ช่างลำบากใจเหลือเกินจริงๆ
เห็นหรูอวี้เจินจวินหน้านิ่งดุจสายน้ำ มั่วชิงเฉินกัดฟันว่า “เรียนเจินจวิน ที่ผู้น้อยฆ่าเถียนหยวน เพราะว่า…เพราะว่าเขาล่วงเกินข้าเจ้าค่ะ!”
คำพูดนี้เมื่อพูดออกไปทุกคนต่างตกใจกันถ้วนหน้า บนใบหน้ากู้หลีวาบแววโกรธพาดผ่าน เมื่อมองไปที่นักพรตซานอินอีกครั้ง ไอเย็นจู่โจมเข้ามา
หรูอวี้เจินจวินยกมือขึ้น บอกให้ทุกคนอย่างตระหนก จากนั้นพูดกับมั่วชิงเฉินว่า “มั่วชิงเฉิน เจ้าเล่าเรื่องอย่างละเอียดมา ห้ามปิดบังแม้ครึ่งส่วน”
“เจ้าค่ะ” มั่วชิงเฉินตอบอย่างนอบน้อม ถึงได้เริ่มเล่าตั้งแต่ที่ไปส่งน้ำผึ้งดอกท้อให้ต้วนชิงเกอที่เขารั่วสุ่ยเจอกับเถียนหยวนโดยบังเอิญ เล่าจนถึงฆ่าไก่หงอนแดงขาเดียวสองตัวที่เขาลั่วเยี่ยนยามที่กำลังตั้งค่ายกลฟื้นฟูพลังวิญญาณเถียนหยวนจู่ๆ ก็ปรากฏตัวขึ้น
ต่อจากนั้นการกระทำของเถียนหยวนแม้จะไม่ได้เล่าอย่างละเอียด แต่กลับเล่าสิ่งที่เกิดขึ้นคร่าวๆ ออกมาโดยไม่เว้นเลยแม้แต่น้อย
เล่าถึงสุดท้ายสีหน้ามั่วชิงเฉินเศร้าและโกรธผสานกัน เอ่ยด้วยเสียงเย็นชาว่า “ผู้น้อยรู้ว่าฆ่าศิษย์ร่วมสำนักมีโทษมหันต์ จนถึงสุดท้ายยังพูดกับเจ้าสารเลวนั่นว่า ขอเพียงเขารามือแค่นี้ ก็ถือเสียว่าเรื่องนี้ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน ทว่าเขา เขากลับไม่มีความคิดจะกลับตัวแม้แต่น้อย เพื่อหลีกเลี่ยงการถูกย่ำยี ผู้น้อยจึงได้แต่สั่งอสูรวิญญาณอีกาไฟใช้ระเบิดสะท้านฟ้าระเบิดเขาตายเจ้าค่ะ”
หลังจากพูดจบมองดูสีหน้าต่างๆ กันไปของทุกคน แล้วเอ่ยอีกว่า “เรื่องราวก็เป็นเช่นนี้เจ้าค่ะ หากเริ่มใหม่อีกครั้งผู้น้อยยังคงจะเลือกเช่นนี้ จะลงโทษเช่นไรขอเชิญท่านเจินจวินตัดสินใจ ผู้น้อยไม่อิดออดเด็ดขาดเจ้าค่ะ”
เพิ่งสิ้นเสียงมั่วชิงเฉิน นักพรตจื่อซีก็พูดเสียงดังว่า “เป็นเช่นไร ศิษย์น้องเจ้าสำนัก ข้าบอกแต่แรกแล้วว่าหากนางหนูชิงเฉินฆ่าเถียนหยวน นั่นต้องเพราะเจ้าเด็กนั่นต้องมีส่วนที่สมควรตายใช่หรือไม่ อาจารย์อาหรูอวี้ ท่านต้องให้ความเป็นธรรมกับชิงเฉินของเรานะเจ้าคะ…”
ยังไม่รอหรูอวี้เจินจวินพูด ก็เห็นเสวียนหั่วเจินจวินล้วงคัมภีร์ออกมาเล่มหนึ่ง พลิกๆ ดูแล้วว่า “กฎสำนักเหยากวงข้อที่สี่ ศิษย์ชายห้ามเกี้ยวพาราสี ดูแคลนศิษย์หญิงโดยที่ศิษย์หญิงไม่เต็มใจ หากใช้กำลังบังคับ…” อ่านกฎสำนักข้อสี่ออกมารอบหนึ่งโดยไม่ตกหล่นสักคำ
นักพรตซานอินโกรธยิ่งนัก ในที่สุดก็ทนไม่ไหวว่า “ท่านอาจารย์อาเสวียนหั่ว ซูจื่อซีก็พูดแทรก!” ระหว่างที่โกรธเกรี้ยวไม่คิดเลยว่าแม้แต่ชื่อแซ่ฆราวาสของนักพรตจื่อซีก็เอาออกมาแล้ว
เสวียนหั่วเจินจวินกวาดมองเขาปราดหนึ่ง โบกพัดกกทีหนึ่งว่า “นางหนูจื่อซีพูดแทรกตั้งแต่เมื่อไรแล้ว ไม่เห็นพวกเราโต้ตอบกันอยู่หรือ? เจ้าเด็กซานอิน ลื่อของเจ้าประพฤติตนชั่วช้าเช่นนี้ เจ้าในฐานะผู้อาวุโสมีความรับผิดชอบที่บอกปัดไม่ได้นะ”
เสวียนหั่วเจินจวินภายนอกพูดได้อย่างองอาจผึ่งผาย ในใจกลับร้องอย่างบ้าคลั่งว่า โชคดีนะ โชคดีที่เทียนหยวนไม่อยู่ในสำนัก หากเขารู้เรื่องนี้เข้า คิดว่าคนที่เชือดลื่อของเจ้าคนนั้นคงไม่ใช่นางหนูชิงเฉินแล้ว
นักพรตซานอินสีหน้าบึ้งตึง แทบจะอยากตบตนเองสักฉาด ตนปากพล่อยน่ะสิ พูดเหตุผลกับเจินจวินที่ไม่จริงจังท่านนี้
“ท่านอาจารย์อาหรูอวี้ ลื่อข้าคนนั้นประพฤติตัวไม่เหมาะสม มีชื่อด้านเจ้าชู้เป็นที่รู้กัน ทว่ากลับสายตาค่อนข้างสูง สตรีทั่วไปไม่เข้าตาเขาเอาเสียเลย ตามที่ศิษย์เข้าใจ ระยะนี้เขาพึงใจต่อศิษย์รักคนสุดท้ายของศิษย์น้องรั่วซีที่เขาของท่าน ได้รายงานต่อบิดามารดาแล้วว่าจะสู่ขอศิษย์หลานต้วนเพื่อเป็นคู่บำเพ็ญเพียรคู่ ไม่ทราบศิษย์หลานมั่วใช้วิธีอันใดถึงทำให้เขาเปลี่ยนใจได้เร็วปานนี้ ตามที่ศิษย์เห็น ต้องเป็นนางหนูคนนี้ปลิ้นปล้อนเพื่อหนีการลงโทษเท่านั้น ยังหวังให้อาจารย์หรูอวี้สืบให้แน่ชัดด้วย” นักพรตซานอินค่อยๆ พูด พูดจบยังกวาดมองมั่วชิงเฉินด้วยสายตาดูแคลน
“ใช้วิธีอันใด?” หรูอวี้เจินจวินพึมพำพลางกวาดสายตาไปที่มั่วชิงเฉิน สุดท้ายมองไปที่ผมหน้าหนาๆ ของนาง
ทันใดนั้น หรูอวี้เจินจวินโบกแขนเสื้อทีหนึ่ง ลมสายหนึ่งรวมตัวขึ้น พัดไปที่หน้ามั่วชิงเฉินตรงๆ ผมหนาข้างหน้าของนางถูกพัดกระจายออกในพริบตา เผยให้เห็นรูปโฉมที่โลกตะลึง
ต่อให้คนที่นั่งอยู่ล้วนเป็นผู้บำเพ็ญเพียรระดับก่อแก่นปราณกระทั่งถึงระดับก่อกำเนิด เมื่อเห็นโฉมหน้าที่แท้จริงของมั่วชิงเฉินแล้วยังคงอดสูดลมเข้าไม่ได้ ทว่าเพียงอึดใจให้หลังผู้บำเพ็ญเพียรระดับก่อกำเนิดสี่ท่านก็ฟื้นคืนความสงบ
ผู้บำเพ็ญเพียรระดับก่อแก่นปราณสองสามคนแม้ใบหน้าแฝงความตะลึงกลับทำตัวดังปกติ ในใจคิดเหมือนกันโดยไม่ได้นัดหมายว่า หากเป็นผู้บำเพ็ญเพียรระดับสร้างรากฐานที่จิตใจไม่แน่วแน่ภายใต้ความตกตะลึงพรึงเพริดจะเสียกิริยาไปบ้างก็เป็นเรื่องหลีกเลี่ยงไม่ได้นะ มิน่าเถียนหยวนถึงได้…
“เมื่อเป็นเช่นนี้แล้ว สิ่งที่มั่วชิงเฉินพูดน่าจะเป็นความจริง” หรูอวี้เจินจวินมองนักพรตซานอินเป็นพิเศษแล้วเอ่ยนิ่งเรียบ
ในใจแอบถอนใจ หน้าตาเช่นนี้ก็คือรากเหง้าแห่งเคราะห์กรรม อย่าว่าแต่ผู้บำเพ็ญเพียรระดับสร้างรากฐานที่จิตใจยังบำเพ็ญเพียรไม่ถึงขั้น ต่อให้ผู้บำเพ็ญเพียรระดับก่อแก่นปราณบางคนที่รักในด้านนี้เป็นพิเศษเห็นแล้วก็เกรงว่ายากจะหักห้ามใจได้
นึกถึงตรงนี้จู่ๆ ก็นึกถึงตนเองยามเยาว์วัย ไม่รู้ต้องกลัดกลุ้มเพราะรูปโฉมเช่นนี้มาเท่าไร หลังจากก่อแก่นปราณแล้วแม้ดีขึ้นมาบ้าง ทว่าผู้บำเพ็ญเพียรที่กล้ามาตอแยฐานะตำแหน่งก็สูงขึ้นเช่นกัน จนกระทั่งตนก่อกำเนิด ถึงได้สงบในที่สุด
คิดเช่นนี้ เมื่อมองมั่วชิงเฉินที่คุกเข่าอย่างเงียบๆ อีกทีก็รู้สึกสงสารขึ้นมา หนทางการบำเพ็ญเพียรของสตรีหน้าตางดงามเดิมทีก็ลำเค็ญกว่าคนธรรมดาเป็นร้อยเท่า เฮ้อ รสชาติในนี้ มีแต่ตนเองที่รู้
หรูอวี้เจินจวินที่จู่ๆ ก็เงียบงันทำให้สถานการณ์สงบลงมาครู่หนึ่ง สีหน้าของนักพรตซานอินดูไม่ได้ เอ่ยอย่างไม่ยอมว่า “ท่านอาจารย์อาหรูอวี้ นางหนูนี่หน้าตาเช่นนี้กลับถึงวันนี้ถึงให้คนเห็น เหตุใดดันถูกลื่อของข้าคนนั้นเห็นเข้า ไม่แน่อาจเพราะนางตั้งใจยั่วยวน…”
“หุบปาก!” กู้หลีตะคอกอย่างเย็นชา กระบี่ชิงมู่ในมือปรากฏขึ้น
“คำพูดนี้ของศิษย์หลานซานอินก็มีเหตุผล” หรูอวี้เจินจวินพยักหน้า แล้วมองไปที่นักพรตฟางเหยา “ศิษย์หลานเจ้าสำนัก เรื่องจัดการเรียบร้อยหรือยัง?”
นักพรตฟางเหยาเดินขึ้นหน้ามาหนึ่งก้าว “ท่านเจินจวิน ศิษย์น้องฝูหมิงได้รออยู่ข้างนอกแล้วขอรับ”
หรูอวิ้เจินจวินสะบัดแขนเสื้อ ลำแสงสายหนึ่งปรากฏขึ้น เกิดม่านบังตาโปร่งใสขึ้นหน้าทุกคน แล้วพูดกับนักพรตฟางเหยาว่า “ศิษย์หลานเจ้าสำนัก ก็ให้เจ้ามาสืบสวนเถอะ”
นักพรตฟางเหยารับคำ เบิกตัวนักพรตฝูหมิงว่า “ศิษย์น้องฝูหมิง ให้คนพวกนั้นเข้ามาตามลำดับ”
ไม่นานนัก ต้วนชิงเกอก้าวเข้ามา ในสายตานางในโถงใหญ่นี้ก็มีเพียงนักพรตฟางเหยาคนเดียวเท่านั้น
“ศิษย์คารวะท่านอาจารย์อาเจ้าสำนักเจ้าค่ะ” ต้วนชิงเกอคำนับว่า
นักพรตฟางเหยายกมือขึ้น “ศิษย์หลานต้วนมิต้องมากพิธี ครั้งนี้เรียกเจ้ามาเพียงเพื่อถามเจ้าประโยคหนึ่ง เช้าวันนี้ ศิษย์หลานมั่วได้ไปที่เจ้านั่นหรือไม่?”
ต้วนชิงเกอชะงัก ในใจแอบมีลางไม่ดี ใบหน้ากลับเอ่ยอย่างสงบว่า “เจ้าค่ะ เช้านี้ชิงเฉินส่งน้ำผึ้งดอกท้อมาให้ศิษย์ เอ่อ ที่ตามนางมายังมีสาวใช้ใกล้ชิดสองคน เพราะว่าชิงเฉินบอกว่าจะไปรับภารกิจ จึงมิได้อยู่นาน อยู่เพียงชั่วครู่ก็กลับไปแล้วเจ้าค่ะ”
“เอ่อ ในเมื่อเพื่อรับภารกิจ ศิษย์หลานมั่วจะพาสาวใช้สองคนไปไย?” นักพรตฟางเหยาถามอีก
ต้วนชิงเกอลังเลชั่วครู่ถึงว่า “ไม่กล้าปิดบังท่านอาจารย์อาเจ้าสำนัก ระยะนี้ศิษย์ไม่สะดวกออกไปข้างนอก กลับชื่นชอบน้ำผึ้งดอกท้อของชิงเฉินยิ่งนัก นางพาสาวใช้สองคนมา เป็นเพราะสาวใช้สองคนนั้นมาจากที่อื่น ไม่คุ้นเคยที่ทางในสำนัก ครั้งนี้มาก็เพื่อจำทาง วันหลังการไปมาหาสู่ของศิษย์และชิงเฉินก็จะได้สะดวกสักหน่อยเจ้าค่ะ”
นักพรตฟางเหยาพยักหน้า “เอาล่ะ ศิษย์หลานต้วน เจ้าออกไปทางนี้เถอะ” พูดพลางชี้ประตูลับที่อยู่อีกข้างหนึ่ง
ต้วนชิงเกอถอยออกไปแล้ว สาวใช้ฝาแฝดคู่หนึ่งเดินเข้ามา
เหลียงเฉินเหม่ยจิ่งเห็นนักพรตฟางเหยา ก็คุกเข่าลงตรงๆ
“เจ้าสองคนไม่ต้องกลัว เพียงเล่าเรื่องที่พวกเจ้าเห็นมาตามจริงก็พอแล้ว เช้าวันนี้พวกเจ้าตามมั่วชิงเฉินร่ำลาต้วนชิงเกอแล้ว พบเจอใครบ้าง จากนั้นทำอะไรอีก?” นักพรตฟางเหยาถามอย่างใจดี
เหลียงเฉินทำใจกล้าว่า “เรียนท่านเจ้าสำนัก พวกเราตามคุณหนูไปถึงเชิงเขาก็พบกับผู้บำเพ็ญเพียรชายคนหนึ่ง เขาขวางคุณหนูของข้าไว้บอกจะเชิญคุณหนูรับประทานอาหาร คุณหนูไม่รับปาก แล้วพาพวกเราย้อนกลับเขาชิงมู่ จากนั้นคุณหนูปล่อยพวกเราลงบอกว่าจะไปรับภารกิจ จึงจากไปเจ้าค่ะ”
หลังจากเหลียงเฉินเหม่ยจิ่งถอยลงไป ศิษย์ผู้ดูแลที่อยู่เวรที่โถงปฏิบัติงานวันนี้เดินเข้ามา หลังจากถอยลงไปแล้วก็เข้ามาอีกหลายคนตามลำดับ รวมทั้งจางซันหลี่ซื่อสองคนที่คิดจะขัดขวางเถียนหยวนในยามนั้น
รอถามคนทั้งหมดแล้ว หรูอวี้เจินจวินสะบัดแขนเสื้อ ม่านบังตาสลายไป กลางโถงเงียบงันชั่วสั้นๆ
“เมื่อเป็นเช่นนี้แล้ว เถียนหยวนต้องเป็นดังที่มั่วชิงเฉินเอ่ยมาเป็นแน่ ตามนางไปเขาลั่วเยี่ยน” หรูอวี้เจินจวินเอ่ยอย่างสงบ
ทุกคนพยักหน้า
นัยน์ตานักพรตซานอินแสงอำมหิตพาดผ่าน เอ่ยเสียงทุ้มว่า “ท่านอาจารย์อาหรูอวี้ ต่อให้เป็นเช่นนี้ก็พิสูจน์ไม่ได้ว่าเถียนหยวนเสียมารยาทต่อนางอยู่ก่อน ไม่แน่มั่วชิงเฉินเมื่อเห็นเถียนหยวนปุ๊บก็ลงมือฆ่าแล้วก็ได้นะ”
“เจ้ามันปลิ้นปล้อนชัดๆ!” นักพรตจื่อซีโกรธหัวฟัดหัวเหวี่ยง
นักพรตซานอินกลับเหมือนไม่ได้ยินว่า “ไม่ว่าเช่นไร ศิษย์ก็มีหลักฐานที่ไม่อาจปฏิเสธได้ว่าเถียนหยวนถูกมั่วชิงเฉินฆ่า ทว่าอาศัยเพียงคำพูดของศิษย์พวกนั้นกลับไม่อาจพิสูจน์ได้ว่าเรื่องที่เกิดขึ้นที่เขาลั่วเยี่ยนจะเป็นไปตามที่มั่วชิงเฉินพูด ท่านอาจารย์หรูอวี้ ตกลงฝ่ายไหนปลิ้นปล้อนกันแน่ยังหวังให้ท่านตัดสิน”
หรูอวี้เจินจวินเงียบงันไปครึ่งค่อนวัน ลังเลว่า “ไม่ว่าเป็นเช่นไร คำพูดของศิษย์พวกนั้นแสดงให้เห็นว่าเถียนหยวนมีใจคิดคดต่อมั่วชิงเฉินอยู่ก่อน ในเมื่อมีสาเหตุเช่นนี้อยู่ การตายของเถียนหยวนมั่วชิงเฉินสามารถเลี่ยงโทษตายหรือขับออกจากสำนักได้ ก็เฆี่ยนสักเก้าเก้าแปดสิบเอ็ดแส้ ศิษย์พี่ทั้งสามเห็นว่าเป็นเช่นไร?”
เพิ่งสิ้นเสียงนักพรตฟางเหยากลับเดินขึ้นหน้าไปว่า “ท่านเจินจวิน เมื่อครู่ศิษย์น้องฝูหมิงส่งสารมา ยังมีศิษย์คนหนึ่งไม่ได้ไต่ถามขอรับ”