พันธกานต์ปราณอัคคี - ตอนที่ 225 ร่วมแบกรับพร้อมเจ้า
“ยังมีคนหนึ่ง?” หรูอวี้เจินจวินเอ่ยนิ่งเรียบว่า “เช่นนั้นก็ให้เขาเข้ามาเถอะ”
นักพรตซานอินแสยะมุมปาก พยานเช่นนี้เกรงว่าในสำนักไม่มีถึงร้อยก็มีหลายสิบ ต่อให้ถามแล้วอย่างไรอีก เอาเป็นว่าการลงโทษเฆี่ยนแส้เก้าเก้าแปดสิบเอ็ดทีเปลี่ยนแปลงไม่ได้ก็แล้วกัน
เมื่อนึกถึงว่าถูกแส้เทพเฆี่ยนเก้าเก้าแปดสิบเอ็ดที ต่อให้นักพรตซานอินเป็นผู้บำเพ็ญเพียรระดับก่อแก่นปราณระยะหลัง ก็รู้สึกกลัว เหลือบเห็นรูปร่างบอบบางของมั่วชิงเฉินอีก แล้วอดหัวเราะไม่ได้
แปดสิบเอ็ดแส้นี่เฆี่ยนลงไป แม้เลี่ยงความตายได้ กลับต้องลิ้มรสชาติการอยู่ยังทรมานยิ่งกว่าตายอีกถึงแปดสิบเอ็ดครั้ง ภายในสิบปีอย่าคิดจะฟื้นฟูดวงจิตได้เลย
เคยพูดถึงก่อนหน้านี้แล้ว การเฆี่ยนแส้เทพไม่ว่าจะต่อผู้บำเพ็ญเพียรระดับใด ล้วนเป็นการลงโทษที่รุนแรง อาจมีคนรู้สึกว่าขอเพียงคนมีตาก็รู้ว่าเถียนหยวนทำผิดอยู่ก่อน มั่วชิงเฉินเพียงแค่ป้องกันตัวเท่านั้น ไยต้องรับการลงโทษที่รุนแรงเช่นนี้ด้วยล่ะ
ก่อนอื่นเลยก็คือหลักฐาน มั่วชิงเฉินแม้มีพยาน กลับล้วนอยู่ในสำนัก ส่วนที่เขาลั่วเยี่ยนตกลงเกิดอะไรขึ้นกันแน่ไม่มีคนรู้เอาเสียเลย แม้ทุกคนสามารถสันนิษฐานได้ว่าเกิดอะไรขึ้น ทว่าชีวิตคนเป็นเรื่องใหญ่ ไม่มีหลักฐานที่แน่ชัด การสันนิษฐานพวกนั้นทำได้เพียงลดโทษให้เบาลงเล็กน้อยตามดุลยพินิจเท่านั้น
ยังมีอีกจุดหนึ่ง ก็คือป้องกันคนใช้ช่องโหว่จงใจวางอุบายลวงคนอื่น ขอเพียงเข่นฆ่าศิษย์ร่วมสำนัก โทษที่ต่ำที่สุดก็คือเฆี่ยนแส้เทพ เมื่อเป็นเช่นนี้แล้ว แทบจะไม่มีคนยอมช่วยวางอุบายลวงคนอื่น
พูดถึงที่สุด ก็นับว่าเป็นการปกป้องผลประโยชน์ของศิษย์ส่วนใหญ่ในสำนักแล้ว
มั่วชิงเฉินรู้เรื่องนี้ชัดแจ้งดี สามารถล้างแค้นได้ นางยินดีรับโทษเฆี่ยนแส้เทพด้วยความเต็มใจ
เพียงแต่หากคนคนนั้นยอมเป็นพยาน สามารถลดโทษได้บ้าง ก็นับว่าตนโชคดีแล้ว
ม่านบังตาปรากฏขึ้นอีกครั้งปกปิดการอยู่ของทุกคน เพียงชั่วครู่ผู้บำเพ็ญเพียรตัวยืดตรง สีหน้าอ่อนโยนคนหนึ่งเดินเข้ามา
ผู้บำเพ็ญเพียรระดับสร้างรากฐานธรรมดาพวกนี้ ผู้บำเพ็ญเพียรระดับก่อกำเนิดเช่นหรูอวี้เจินจวินนี้จำไม่ครบเอาเสียเลย ส่วนนักพรตฟางเหยาในฐานะที่เป็นเจ้าสำนักเหยากวง กลับรู้ชื่อเสียงเรียงนามที่มา นิสัยส่วนตัวของผู้บำเพ็ญเพียรระดับสร้างรากฐานนับพันคนเป็นอย่างดี
โดยเฉพาะคนที่เข้ามาเดิมทีก็เป็นศิษย์ผู้ดูแลของเขาโฮ่วเต๋ออยู่แล้ว เขาคุ้นเคยจนไม่รู้จะคุ้นเคยอย่างไรแล้ว
“ศิษย์คารวะท่านอาจารย์อาเจ้าสำนักขอรับ” ผู้บำเพ็ญเพียรแซ่อู๋คารวะอย่างนอบน้อมหนึ่งที ตาไม่ว่อกแว่ก
นักพรตฟางเหยาสีหน้ายิ้มแย้มว่า “ศิษย์หลานอู๋ ไม่ต้องมากพิธี เจ้ามานี่เพราะมีเรื่องอะไรจะพูดใช่หรือไม่?”
ผู้บำเพ็ญเพียรแซ่อู๋สีหน้าสงบว่า “เรียนท่านอาจารย์อาเจ้าสำนัก วันนี้ศิษย์ไปเขาลั่วเยี่ยนมาขอรับ”
“อะไรนะ!” นักพรตฟางเหยาชะงักงัน นักพรตซานอินกลับตกใจร้องออกมา
ได้ยินเสียง ผู้บำเพ็ญเพียรแซ่อู๋ถึงกวาดสายตาไปข้างหลัง แล้วเบือนสายตากลับมาที่ปลายเท้าตนอย่างรวดเร็ว
หรูอวี้เจินจวินถลึงตาใส่นักพรตซานอินปราดหนึ่ง สะบัดแขนเสื้อ ม่านบังตาที่มองไม่เห็นหายไป ทุกคนปรากฏกายออกมา
ผู้บำเพ็ญเพียรแซ่อู๋ชะงักแผ่วเบา จากนั้นคารวะอีกครั้งอย่างรวดเร็วว่า “ศิษย์ขอคารวะท่านเจินจวิน นักพรตทุกท่าน” สายตากลับแม้แต่มองก็ไม่มองมั่วชิงเฉิน
นักพรตฟางเหยาเห็นดังนั้นจึงถอยไปอยู่ข้างๆ
หรูอวี้เจินจวินสายตาจ้องผู้บำเพ็ญเพียรแซ่อู๋เขม็ง พลานุภาพของผู้บำเพ็ญเพียรระดับก่อกำเนิดทำให้เขาหายใจไม่ค่อยออกขึ้นมาทันที “เจ้าไปเขาลั่วเยี่ยนเห็นอะไรบ้าง ห้ามปิดบัง จงว่ามาตามจริง”
ผู้บำเพ็ญเพียรแซ่อู๋ชะงักทีหนึ่ง ถึงเอ่ยอย่างนอบน้อมว่า “ศิษย์อยู่เขาลั่วเยี่ยนเห็นศิษย์น้องมั่วฆ่าไก่หงอนแดงขาเดียวสองตัวแล้วยามที่กำลังตั้งค่าย จู่ๆ ศิษย์น้องเถียนก็ปรากฏตัวขึ้นใช้เชือกมัดเซียนขัดจังหวะการตั้งค่ายของศิษย์น้องมั่ว ศิษย์น้องเถียนเขา…เขาคิดจะทำอัปยศอดสูต่อศิษย์น้องมั่ว สองคนจึงสู้กันขึ้นมา ต่อมาศิษย์น้องมั่วสู้ไม่ได้ถูกเชือกมัดเซียนมัดไว้ ศิษย์น้องเถียนก็จะทำเรื่องอัปยศอดสู ณ ตรงนั้น ศิษย์น้องมั่วเตือนอยู่หลายครั้งศิษย์น้องเถียนกลับทำเหมือนไม่ได้ยิน…ศิษย์น้องมั่วด้วยความจำใจจึงสั่งอสูรวิญญาณฆ่าศิษย์น้องเถียนเสีย ท่านเจินจวิน ที่ศิษย์เห็นก็คือพวกนี้ขอรับ”
“ศิษย์หลานอู๋ เจ้ารู้หรือไม่ว่าเจ้ากำลังพูดอะไรอยู่!” นักพรตซานอินสีหน้าอึมครึม จ้องผู้บำเพ็ญเพียรแซ่อู๋เขม็ง
ผู้บำเพ็ญเพียรแซ่อู๋กลับก้มหน้าลงอย่างนอบน้อม เอ่ยอย่างเยือกเย็นว่า “ที่ศิษย์กล่าวมาเป็นความจริงทุกประการ ไม่กล้าพูดเหลวไหลขอรับ”
“ท่านอาจารย์อาหรูอวี้ ท่านจะเชื่อคำพูดเขาเพียงฝ่ายเดียวไม่ได้นะขอรับ เหตุใดเขาถึงบังเอิญไปเขาลั่วเยี่ยน ในเมื่อไปแล้ว เมื่อครู่ไยมั่วชิงเฉินจึงไม่ได้พูดถึงคนคนนี้? ในเมื่อเขาเห็นเหตุการณ์ในยามนั้น ในฐานะศิษย์ร่วมสำนักไยไม่ขัดขวาง หากแต่นิ่งดูดาย?” นักพรตซานอินถามติดๆ กัน
นักพรตซานอินถามติดต่อกันสามคำถาม เพียงพอที่จะทำให้ศิษย์ส่วนใหญ่ครุ่นคิดอย่างหนัก ไม่พูดถึงสองข้อข้างหน้า เฉพาะข้อสามเห็นคนอื่นเดือดร้อนแล้วไม่ช่วย แม้จะบอกว่าผู้บำเพ็ญเพียรส่วนใหญ่สนใจแต่เรื่องของตนเอง ทว่าเรื่องพวกนี้ล้วนเป็นเรื่องรู้อยู่แก่ใจเท่านั้น วางไว้บนผิวหน้า โดยเฉพาะต่อให้คนระดับสูงในสำนัก เช่นนั้นก็ไม่ค่อยน่าดูแล้ว
หรูอวี้เจินจวินเหลือบสายตาไปที่ผู้บำเพ็ญเพียรแซ่อู๋
ผู้บำเพ็ญเพียรแซ่อู๋กลับหน้าไม่เปลี่ยนสี กอบมือเอ่ยอย่างสุขุมว่า “เรียนท่านเจินจวิน ศิษย์ไปเขาลั่วเยี่ยน เพื่อรับภารกิจ ‘เก็บขนมรกตของไก่หงอนแดงขาเดียว’ ส่วนเหตุใดศิษย์น้องมั่วไม่ได้พูดถึงศิษย์นั้น…เป็นเพราะยามที่ศิษย์น้องมั่วไป ศิษย์พลังวิญญาณไม่เพียงพอพอดี ตั้งค่ายฟื้นฟูพลังวิญญาณอยู่ รอถึงยามที่พลังวิญญาณฟื้นฟูคิดจะทักทายศิษย์น้องมั่ว ศิษย์น้องเถียนก็ปรากฏตัวขึ้นพอดี ดังนั้นศิษย์น้องมั่วจึงไม่รู้ว่าศิษย์อยู่ตรงนั้นโดยสิ้นเชิง ย่อมไม่ได้พูดถึงเป็นธรรมดา”
นักพรตฟางเหยาพยักหน้า “ท่านเจินจวิน ศิษย์ได้ส่งสารให้ศิษย์น้องฝูหมิงไปตรวจสอบดูแล้ว ศิษย์หลานอู๋รับภารกิจนั้นจริง”
ส่วนเหตุผลที่ผู้บำเพ็ญเพียรอู๋พูดตอนหลัง ทุกคนไม่อาจวิจารณ์ได้ ยามที่ผู้บำเพ็ญเพียรพลังวิญญาณไม่พอแล้วพบคนอื่นข้างนอก ต่อให้เป็นผู้บำเพ็ญเพียรสำนักเดียวกัน ก็จำเป็นต้องรอให้พลังวิญญาณฟื้นฟูก่อนถึงทักทายกัน เพราะอย่างไรเสียใจระวังผู้อื่นนั้นมิควรขาด
“ส่วนที่ว่าไยศิษย์ถึงนิ่งดูดาย…ว่าไปแล้วละอายใจนัก ยามนั้นศิษย์ได้รับบาดเจ็บ จึงไม่แน่ใจว่าปรากฏตัวขึ้นยามนั้นก็จะสามารถห้ามศิษย์น้องเถียนได้ เห็นศิษย์น้องเถียนสู้กับศิษย์น้องมั่วขึ้นมา จึงคอยดูสถานการณ์อยู่ข้างๆ เงียบๆ จนกระทั่งศิษย์น้องเถียนมัดศิษย์น้องมั่วไว้ ยามที่ศิษย์น้องมั่วเกลี้ยกล่อมไร้ผล เดิมทีศิษย์คิดจะฉวยโอกาสห้าม กลับเห็นอสูรวิญญาณของศิษย์น้องมั่วจู่ๆ ก็ปรากฏตัวออกมา อุ้มก้อนกลมสีดำสองสามลูกระเบิดศิษย์น้องเถียนตาย นี่เป็นความผิดพลาดของศิษย์ ยามนั้นไม่คิดว่าก้อนกลมสีดำที่อสูรวิญญาณอุ้มไว้จะมีอานุภาพปานนั้น สามารถระเบิดศิษย์น้องเถียนตายได้ขอรับ” ผู้บำเพ็ญเพียรแซ่อู๋เอ่ยเนิบๆ น้ำเสียงสุขุม ฟังแล้วน่าเชื่อถือ
นักพรตฟางเหยามองไปที่หรูอวี้เจินจวินว่า “ท่านเจินจวิน ศิษย์หลานอู๋ทำอะไรสุขุมมาตลอด ไม่ใช่คนพูดเหลวไหลขอรับ”
นักพรตซานอินโกรธว่า “ศิษย์น้องเจ้าสำนัก รู้คนรู้หน้าไม่รู้ใจ ไยเจ้าถึงกล้ายืนยันว่าเขาไม่ได้พูดปด? ท่านอาจารย์อาหรูอวี้ ไม่แน่เจ้าเด็กนี่อาจพึงใจต่อมั่วชิงเฉินนานแล้ว ถึงได้ช่วยเป็นพยานให้นาง!”
มั่วชิงเฉินแอบกัดฟัน นักพรตซานอินคนนี้ เป็นถึงผู้บำเพ็ญเพียรระดับก่อแก่นปราณเหตุใดไม่ว่าคำพูดอะไรก็พูดออกมาได้ ช่างน่าดูถูกเสียจริง มิน่าถึงฟูมฟักเดนคนเช่นเถียนหยวนออกมาได้
ผู้บำเพ็ญเพียรแซ่อู๋กลับสีหน้าสงบ เอ่ยนิ่งเรียบว่า “ศิษย์และศิษย์น้องมั่วปกติไม่เคยไปมาหาสู่กันขอรับ คำพูดของท่านอาจารย์อาซานอินทำให้ศิษย์ลำบากใจนัก”
นักพรตซานอินคิ้วขาวกระตุกว่า “ไม่ว่าจะพูดเช่นไร คำพูดฝ่ายเดียวเชื่อไม่ได้ นอกเสียจากยามนั้นยังมีอีกคนหนึ่งอยู่ที่นั่น ยิ่งกว่านั้นยังไม่มีความสัมพันธ์กับพวกเจ้าทั้งสองคน คำพูดของพวกเจ้าถึงนับว่าเป็นความจริง!”
“ซานอิน เจ้าเถียงข้างๆคูๆ!” นักพรตจื่อซีโกรธว่า
นักพรตซานอินกลับไม่แม้แต่จะสนใจ หลับตาครึ่งหนึ่ง ในใจแอบคิดว่า คิดจะหนีการเฆี่ยนแปดสิบเอ็ดทีนั้น ฝันไปเถอะ!
“ท่านเจินจวิน ท่านว่า…” ต่อให้ในใจเชื่อคำพูดของผู้บำเพ็ญเพียรแซ่อู๋ ทว่าในโลกแห่งการบำเพ็ญเพียรเน้นว่าคนเดียวเป็นพยานไม่ได้ตลอดมา นักพรตฟางเหยาทำอะไรไม่ได้ ได้แต่รอดูการตัดสินใจของเจินจวินทั้งสี่
หรูอวี้เจินจวินก็ลำบากใจแล้ว หากบอกว่าคนที่ตายคือศิษย์ธรรมดา มีคำพูดนี้ของศิษย์คนนี้ ก็ยอมรับว่าความจริงเป็นเช่นนี้ไปโดยปริยายแล้ว จัดการไปตามนี้แล้วก็แล้วกันไป
ทว่าเถียนหยวนนั่นอย่างไรเสียก็เป็นลื่อของซานอิน ส่วนซานอินก็เป็นศิษย์ของท่านผู้เฒ่าไท่ซ่างอันดับหนึ่ง หากตนจัดการเช่นนี้ยามที่ศิษย์พี่โส่วเต๋อกักตน หลังจากศิษย์พี่โส่วเต๋อออกจากกักตนรับรู้เรื่องนี้เข้าเกรงว่าจะไม่พอใจน่ะสิ
เพราะอย่างไรเสียบัดนี้ศิษย์พี่โส่วเต๋ออายุขัยไม่มาก ดันบังเอิญศิษย์พี่หลิวซางเลื่อนขั้นระยะปลาย ในเวลาละเอียดอ่อนเช่นนี้ ยากจะรับรองว่าศิษย์พี่จะไม่คิดมาก จนเกิดความรู้สึกว่าคนยังไม่ไปชาก็เย็นเสียแล้ว[1]
ในชั่วอึดใจ ความลดเลี้ยวเคี้ยวคดในนั้นหรูอวี้เจินจวินก็คิดได้อย่างทะลุปรุโปร่งแล้ว
นางต่างจากเจินจวินอีกสามท่าน เดิมนางก็เป็นผู้บำเพ็ญเพียรหญิง อีกทั้งยังโฉมงามน่าตะลึง สามารถปฏิเสธแมลงภู่ผึ้งพวกนั้นไว้ข้างนอก ไม่เพียงไม่ได้ล่วงเกินคน ยังสามารถทำให้คนพวกนั้นคิดถึงมิลืมเลือน ยามที่ลำบากมักมีคนคอยช่วยเหลือ บำเพ็ญเพียรถึงระดับก่อกำเนิดโดยสวัสดิภาพราบรื่นเช่นนี้ จะไม่มีหัวใจที่ปราดเปรื่องได้อย่างไรกัน
คิดใคร่ครวญไตร่ตรองมากเข้าไว้ ได้กลายเป็นสัญชาตญาณของนางไปแล้ว
“ศิษย์พี่ทั้งสอม พวกท่านว่า…” หรูอวี้เจินจวินหันหน้าไป
“กราบเรียนท่านเจินจวิน ที่ศิษย์กล่าวมาเป็นความจริงทุกประการ แม้หาบุคคลที่สองออกมาไม่ได้ กลับมีสิ่งนี้เป็นพยานขอรับ” ผู้บำเพ็ญเพียรแซ่อู๋ยื่นมือออกมา ของขนาดเท่าถั่วลิสงสิ่งหนึ่งจะว่าหยกก็ไม่ใช่หยกจะว่าหินก็ไม่ใช่หินปรากฏขึ้นในฝ่ามือของเขา
“หยกย้อนอดีต!”คนที่อยู่ที่นี่ย่อมปราดเดียวก็จำของในมือผู้บำเพ็ญเพียรแซ่อู๋ได้
มั่วชิงเฉินหลุบตาลง ขนตาสั่นไหว
ตนช่างโชคดีจริงๆ เลย เดิมทีศิษย์พี่อู๋สามารถเป็นพยานให้ตนได้ก็ถือว่าโชคดีแล้ว ไม่คิดว่าในมือเขาจะมีหยกย้อนอดีตอยู่!
หรือว่าความประพฤติของเจ้าสารเลวเถียนหยวนนั่นแม้แต่สวรรค์ก็ทนดูไม่ไหวแล้ว พอใจเป็นพิเศษที่ตนกระทำการแทนฟ้า นี่ถึงช่วยเหลือกันเช่นนี้? มั่วชิงเฉินคิดอย่างหน้าไม่แดงแม้แต่น้อย
นักพรตฟางเหยาโยนหยกย้อนอดีตขึ้นฟ้า ทันใดนั้นก็เห็นหมอกควันคละคลุ้งกลางอากาศ ค่อยๆ รวมตัวกันเป็นกำแพงเมฆ จากนั้นก็เห็นบนกำแพงเมฆเทือกเขาเขียวขจี ปักษาบินแมลงขับขาน ทิวทัศน์ในนั้น คือเขาลั่วเยี่ยนอย่างไม่ต้องสงสัย
ต่อจากนั้นอีกก็ปรากฏเงาร่างของมั่วชิงเฉิน ตามติดด้วยเถียนหยวนใช้เชือกมัดเซียนลอบโจมตี การสนทนาต่างๆ ราวกับเกิดขึ้นอีกครั้ง
ถึงสุดท้ายเถียนหยวนวางมั่วชิงเฉินไว้บนพื้นหญ้า ยามที่ยื่นมือดึงชายเสื้อของนางออกแล้วทับลงไปทั้งตัว มั่วชิงเฉินก็อับอายจนหน้าแดง แล้วมองไปที่กู้หลีอย่างไม่รู้ตัว
กลับเห็นกู้หลีหน้านิ่งดุจน้ำ เอ็นบนมือปูดขึ้น เห็นชัดว่าโกรธจนพูดไม่ออกแล้ว
ภาพเหตุการณ์สุดท้าย ก็คืออีกาที่อ้วนจนเกือบเดินไม่ไหวตัวหนึ่ง อุ้มก้อนกลมสีดำสามลูกอย่างเปลืองแรงโยนไปที่เถียนหยวนอย่างแรง จากนั้นก็เห็นมั่วชิงเฉินเหม่อลอยน้ำตาตก เก็บกวาดสนามรบกับอสูรวิญญาณอย่างรีบเร่งแล้วจากไปอย่างรวดเร็ว
ถึงตรงนี้ เห็นเพียงกำแพงเมฆสั่นไหว จากนั้นหมอกควันสลาย หยกย้อนอดีตตกลงสู่มือนักพรตฟางเหยาอีกครั้ง
นักพรตซานอินหน้าถอดสี พูดไม่ออกแล้ว
หรูอวี้เจินจวินเหลือบมองเขาอย่างนิ่งเรียบปราดหนึ่ง แล้วปรึกษากับเจินจวินทั้งสามท่านอย่างลับๆ สุดท้ายว่า “บัดนี้ความจริงกระจ่าง ถอนการลงโทษเฆี่ยนแส้เก้าเก้าแปดสิบเอ็ดทีต่อมั่วชิงเฉินกลับ เปลี่ยนเป็นการลงโทษต่ำสุดเฆี่ยนแส้สิบที มั่วชิงเฉิน เจ้ายอมหรือไม่?”
มั่วชิงเฉินกราบไหว้ลงไปช้าๆ “ศิษย์ยอมทั้งกายทั้งใจเจ้าค่ะ”
“ศิษย์หลานเจ้าสำนัก เชิญเฆี่ยนแส้เทพได้” หรูอวี้เจินจวินกล่าว
นักพรตฟางเหยาปล่อยยันต์ส่งสารออกไป ไม่นานนักก็มีผู้บำเพ็ญเพียรระดับก่อแก่นปราณเข้ามาคนหนึ่ง สองมือเทิดแส้ยาวสีทองเส้นหนึ่งไว้ เชิญเจินจวินทั้งสี่และเจ้าสำนักตรวจดู จากนั้นจึงเดินไปที่มั่วชิงเฉิน
ผู้บำเพ็ญเพียรผู้นี้ก็คือเจ้าโถงโถงลงทัณฑ์นักพรตเจิ้นผิง
“ช้าก่อน” ในยามนี้เองกู้หลีพูดขึ้นมาอย่างนิ่งเรียบ
ทุกคนมองไป ก็เห็นกู้หลีตวัดชุดยาวสีเทาคุกเข่าขาข้างเดียวลงพื้น เอ่ยนิ่งเรียบว่า “ศิษย์ก่อเรื่อง เหอกวงยากจะปัดความรับผิดชอบในการสอนสั่งได้ การเฆี่ยนแส้เทพสิบทียินยอมขอร่วมแบกรับพร้อมศิษย์”
——
[1] คนยังไม่ไปชาก็เย็นเสียแล้ว เปรียบเทียบว่า เมื่อคนหมดอำนาจ คนที่เคยล้อมหน้าล้อมหลังก็ตีตัวออกหาก