พันธกานต์ปราณอัคคี - ตอนที่ 229 ท่านเกิดข้ายังไม่เกิด
นักพรตจื่อซีเห็นมั่วชิงเฉินนิ่งงัน จึงยิ้มหวาน ตบไหล่มั่วชิงเฉินว่า “เอาล่ะ เรื่องเก่ากะโหลกกะลาพวกนี้ไม่ต้องไปพูดถึงหรอก เจ้าเพียงแต่อย่าเอาเยี่ยงอย่างในเรื่องนี้ก็พอ เวลาไม่เช้าแล้ว เจ้ารีบไปร่ำลาเหอกวงเถอะ ข้าไปก่อนแล้ว” พูดพลางยังไม่ลืมหยิบน้ำผึ้งดอกท้อที่ยังกินไม่หมด เท้าเหยียบดอกบัวจากไปอย่างเอื่อยเฉื่อย
มั่วชิงเฉินมองดูเงาหลังสีขาวที่ไกลออกไปของนักพรตจื่อซี หลุบตาลงแล้วยิ้มนิ่งเรียบ
ดูท่า วันนี้ท่านอาจารย์ลุงใหญ่จะมาตักเตือนตนเอง เมื่อเป็นเช่นนี้ นาง หมายความว่านางดูความรู้สึกที่ตนมีต่ออาจารย์ออกใช่หรือไม่?
หรืออาจเพราะท่านอาจารย์ลุงใหญ่นึกว่า การที่รู้ว่าใจอาจารย์มีเจ้าของ ยิ่งกว่านั้นคนในดวงใจของเขายังตายไปแล้วอีก ตนเองก็ควรยอมแพ้เพราะรู้ว่าเป็นไปไม่ได้แล้วกระมัง
อย่างไรเสียคนคนหนึ่งเคยมีความรักนั้นไม่น่ากลัว ที่น่ากลัวก็คือคนที่รักไม่อยู่แล้ว จึงกลายเป็นนิรันดร์
เพียงแต่ ใครให้ตนเกิดช้าตั้งหลายปีเพียงนี้ เจอเขาสายตั้งหลายปีเพียงนี้ล่ะ
อดีตของเขาตนไม่อาจมีส่วนร่วมได้ หากเขายินยอม ก็ขอเพียงในอนาคตสามารถจูงมือเดินไปด้วยกัน
ถึงที่สุดแล้วความคิดของมั่วชิงเฉินก็ต่างจากสตรีที่อยู่กับเหย้าเฝ้ากับเรือนแบบดั้งเดิมส่วนใหญ่ ทว่านางก็เข้าใจเจตนาดีในการเตือนครั้งนี้ของนักพรตจื่อซีดี ในใจย่อมเกิดซาบซึ้งเป็นธรรมดา
มาถึงหน้าเรือนของกู้หลี มั่วชิงเฉินมองลอดผ่านหน้าต่างที่ค้ำเปิดอยู่ ก็เห็นกู้หลีกำลังนั่งเขียนอักษรอย่างเงียบๆ หน้าโต๊ะหนังสือ แสงแดดยามเช้าสาดส่องเข้าทางหน้าต่าง สาดลงบนใบหน้าที่ตั้งใจ แสงและเงาประสานกันอย่างอัศจรรย์ ขับจนเขาดูไม่เหมือนมนุษย์เดินดิน
มั่วชิงเฉินมองอย่างเงียบๆ เช่นนี้ เหม่อลอยไปช่วงสั้นๆ จู่ๆ ก็รู้สึกว่าหากสามารถจัดวางท่านปู่ได้อย่างเหมาะสมและแก้แค้นให้ตระกูลมั่วแล้ว ต่อไปต่อให้เขาไม่มีทางตอบสนองตนตลอดไป สองคนก็อยู่เป็นเพื่อนกันอย่างไม่ใกล้ไม่ไกลเช่นนี้ใช้ชีวิตบำเพ็ญเพียรไป ที่จริงก็เป็นเรื่องดีทีเดียว
“ชิงเฉิน เจ้ามาแล้ว เช้าปานนี้มีเรื่องอันใดหรือ?” กู้หลีวางพู่กันลง ลุกขึ้นมาผลักประตูออก แล้วเดินออกมา
มั่วชิงเฉินยิ้มว่า “อาจารย์เดาได้ถูกต้อง วันนี้ชิงเฉินมาเพื่อร่ำลาท่านเจ้าค่ะ”
กู้หลีชะงักเล็กน้อย
มั่วชิงเฉินเห็นดังนั้นจึงยิ้มว่า “อาจารย์ ชิงเฉินอยากออกไปท่องเที่ยวแล้ว”
กู้หลีสีหน้ากลับมาสงบดังเดิม แล้วพยักหน้าแผ่วเบาว่า “เมื่อสงบถึงที่สุดก็อยากให้มีการเปลี่ยนแปลง เจ้ารักษาตัวมาหลายเดือนอาการบาดเจ็บดีขึ้นมากแล้ว อยากออกไปท่องเที่ยวก็ไม่ผิด เพียงแต่ปีที่แล้วหลังจากเจ้ากลับสำนักก็สร้างศัตรูไว้ไม่น้อย ออกไปครั้งนี้ต้องระวังให้มาก เดินทางอยู่ข้างนอกไม่ว่าพบเจอผู้บำเพ็ญเพียรนิกายเหอฮวนหรือคนตระกูลเถียน จำไว้ว่าไม่ควรทำอะไรด้วยอารมณ์”
ฟังการกำชับอย่างนิ่งเรียบของกู้หลีไปพลาง มั่วชิงเฉินรู้สึกอบอุ่นในใจ แล้วยิ้มหวานว่า “ศิษย์จำไว้แล้วเจ้าค่ะ” พูดจบหยิบขวดน้ำเต้าออกจากถุงเก็บวัตถุหลายสิบใบว่า “อาจารย์ นี่คือสุราทิพย์ที่ชิงเฉินหมักเสร็จแล้ว ในขวดน้ำเต้าสีเทาเงินคือ ‘คลาดโลกีย์’ ที่ท่านดื่มบ่อยๆ ในขวดน้ำเต้าสีชมพูเข้มคือ ‘น้ำค้างลั่วเหมย’ ในขวดน้ำเต้าสีเหลืองนี้ก็คือสุราทิพย์ชนิดที่สองที่ท่านดื่มวันนั้น ดื่มประหยัดหน่อยนะเจ้าคะ รอชิงเฉินกลับมา”
พูดจบกระโดดลงในเรือเมฆา ก้มตัวลงโบกมือให้กู้หลีอีกครั้ง
กู้หลีแกว่งๆ ขวดน้ำเต้าสีเหลืองในมือ “สุรานี่ชื่ออะไร?”
มั่วชิงเฉินขยิบตาอย่างซุกซนว่า “ไม่มีชื่อหรอกเจ้าค่ะ หากอาจารย์ชอบก็ตั้งชื่อให้มันเองแล้วกัน” พูดจบหันหน้ากลับไปใช้พลังวิญญาณเร่งเรือเมฆา จากไปอย่างสง่างาม
กู้หลีก้มหน้ามองดูขวดน้ำเต้าสีเหลืองในมือ กระดกมุมปากขึ้นยิ้มๆ แล้ววกกลับเข้าเรือน เพียงแต่เมื่อมองไปที่เรือนไม้ไผ่ที่อาศัยอยู่ทุกวันอีกที ไม่รู้เพราะเหตุใดกลับรู้สึกโหรงเหรงขึ้นมา
มั่วชิงเฉินจากไปครั้งนี้เพื่อกลับเมืองลั่วหยาง เป็นเรื่องสำคัญ นอกจากอาจารย์และนักพรตจื่อซีที่มาโดยบังเอิญ นางไม่ได้พูดถึงกับใครอื่นอีก เพียงแต่เข้าไปดำเนินขั้นตอนการออกจากสำนักที่โถงปฏิบัติงานเงียบๆ แล้วก็เดินมุ่งหน้าสู่ประตูสำนัก
ตลอดทางที่เดิน จู่ๆ นางก็รู้สึกว่าศิษย์ที่เดินทางผ่านสีหน้าล้วนแปลกๆ
ที่จริงตั้งแต่เหตุการณ์ ‘เยือนสำนัก’ ชื่อเสียงของมั่วชิงเฉินก็กระฉ่อนไปทั่วพรรคเหยากวงนานแล้ว ปกตินางเดินอยู่ในสำนักได้รับสายตาจับจ้องจากคนอื่นจนกลายเป็นเรื่องปกติแล้ว บางทีเจอศิษย์ที่ร่าเริงใจกล้าบางคน กระทั่งยังเขยิบเข้ามาทักทายอย่างตื่นเต้น
เพียงแต่ศิษย์ที่อยู่ระหว่างทางวันนี้กลับต่างจากปกติ เป็นสายตาไล่ตามนางเช่นกัน กลับขาดความโจ่งแจ้งดังปกติ กระทั่งยามที่นางกวาดสายตาไป ศิษย์พวกนั้นยังหดศีรษะอย่างไม่รู้ตัว ไม่ก็หันหน้าไปแสร้งทำเป็นไม่เห็น ไม่ก็ยิ้มอย่างประจบประแจง ในความประจบประแจงดันยังแฝงด้วยความหวาดกลัวอีก
มั่วชิงเฉินก็ไม่มีเวลาว่างคาดเดาความคิดของศิษย์พวกนี้ ก้าวอย่างเร็วเดินไปถึงประตูสำนักยังไม่ทันพูด ศิษย์ที่เฝ้าประตูก็รีบเปิดประตูสำนักอย่างรวดเร็ว
บังเอิญในยามนี้นอกประตูสำนักมีผู้บำเพ็ญเพียรสองสามคนเพิ่งส่งสารกำลังจะเข้ามา เมื่อประตูสำนักเปิดออกคนใจร้อนคนหนึ่งก็พุ่งเข้ามา
มั่วชิงเฉินร่ายเคลื่อนเงาเลือนรางทันที หลบไปข้างๆ ถึงหลีกเลี่ยงการชนกับคนคนนั้นได้ ยกตามองไปกลับพบว่าชุดที่ผู้บำเพ็ญเพียรคนนั้นใส่ไม่ใช่ชุดของพรรคเหยากวงอย่างไม่คาดไม่ถึง
เมื่อเป็นเช่นนี้ นางจึงอดมองเพิ่งสองสามปราดไม่ได้
คนคนนั้นเห็นผู้บำเพ็ญเพียรหญิงที่เดินเข้ามาคนหนึ่งหลบไปข้างๆ อย่างคล่องแคล่วสง่างามก้าวย่างอ่อนช้อย เดิมก็แอบคิดว่าแปลก สายตาไม่ห่างจากตรงนั้นตลอดเวลา เห็นผู้บำเพ็ญเพียรหญิงคนนั้นมองมาเช่นกันจึงยืดตัวตรงอย่างไม่รู้ตัว กำลังจะออกเสียงกลับถูกผู้บำเพ็ญเพียรชุดเขียวคนหนึ่งดึงไว้อย่างแรง
“ศิษย์น้องมั่ว ต้องขออภัยจริงๆ นะ ศิษย์น้องคนนี้อารมณ์ร้อน เขาไม่ได้เจตนาหรอก เจ้าอย่าเข้าใจผิดเด็ดขาด” ผู้บำเพ็ญเพียรชุดเขียวพูดพลางยิ้มให้มั่วชิงเฉิน ส่งสัญญาณทางสายตาให้สองสามคนข้างกาย แล้วแทบจะใช้ความเร็วปานบินทะยานจากไป
มั่วชิงเฉินงงเป็นไก่ตาแตกมองผู้บำเพ็ญเพียรสองสามคนนั้นวิ่งไปดั่งลม รู้สึกแปลกใจต่อคำพูดของศิษย์พี่ร่วมสำนักคนนั้น อะไรเรียกว่าตนเองอย่างเข้าใจผิดล่ะ? ช่างน่าประหลาดเสียจริง
ยิ่งกว่านั้นในผู้บำเพ็ญเพียรไม่กี่คนนั้นมีสองคนที่ใส่ชุดคลุมเต๋าสีเหลือง หากนางจำไม่ผิด น่าจะเป็นชุดสำนักของสำนักไท่ซวีผู้นำแห่งสี่สำนักแปดนิกาย อยู่ดีๆ ไยพวกเขาถึงวิ่งมาเหยากวงแล้วล่ะ?
คิดไม่เข้าใจเรื่องพวกนี้ มั่วชิงเฉินส่ายศีรษะแล้วกระโดดขึ้นเรือเล็กบินไปทางทิศตะวันตก
ส่วนด้านนี้ผู้บำเพ็ญเพียรไม่กี่คนที่เข้ามาในพรรคเหยากวงแล้วในที่สุดก็ชะลอฝีเท้าลงมา
ผู้บำเพ็ญเพียรชุดเหลืองที่เกือบชนถูกมั่วชิงเฉินคนนั้นว่า “ศิษย์พี่หลิว นี่เจ้าหมายความว่าอย่างไรกัน? แค่กๆ ศิษย์น้องคนเมื่อครู่แม้ไม่นับว่าสะดุดตา ทว่าพิจารณาอย่างละเอียดกลับสะสวยยิ่งนัก นี่เจ้าไม่ใช่ทำลายเรื่องดีๆ ของพี่น้องหรอกหรือ”
ผู้บำเพ็ญเพียรที่อยู่ข้างๆ ใส่ชุดเหลืองเหมือนกันล้อเล่นว่า “นั่นน่ะสิ ศิษย์พี่หลิว เจ้าไม่ใช่ไม่รู้ว่าสำนักไท่ซวีเราศิษย์หญิงน้อยมาแต่ไหนแต่ไร ช่างน่าสงสารใครบางคนแล้ว โอกาสดีเช่นนี้เจ้าก็ขวางเสียได้ หรือว่าไม่ให้เรือไปล่มในหนองคนอื่น?”
ผู้บำเพ็ญเพียรที่ใส่ชุดเขียวไม่กี่คนมองหน้ากันปราดหนึ่ง สีหน้าต่างประหลาดนัก
ผู้บำเพ็ญเพียรที่ถูกเรียกว่าศิษย์พี่หลิวว่า “ศิษย์น้องทั้งสอง พวกเราคบหากันมาหลายปีถึงเพียงนี้แล้ว อีกทั้งพวกเจ้าได้รับการเชื้อเชิญจากข้ามาเป็นแขกเหยากวง อย่างไรเสียข้าก็ต้องรับผิดชอบความปลอดภัยของพวกเจ้าน่ะสิ”
“อืม ศิษย์พี่หลิวพูดเช่นนี้หมายความว่าอย่างไร?” ผู้บำเพ็ญเพียรชุดเหลืองคนแรกเอ่ยด้วยความสงสัย
ผู้บำเพ็ญเพียรแซ่หลิวมองไปรอบๆ ถึงกดเสียงให้เบาว่า “แค่กๆ ศิษย์น้องสองคนไม่รู้น่ะสิ ศิษย์น้องคนเมื่อครู่นั่นอย่าว่าแต่หน้าตาธรรมดา ต่อให้นางสวยหยาดฟ้ามาดิน เกรงว่าก็เป็นศิษย์หญิงที่ศิษย์ชายทั้งหมดของเหยากวงเราไม่กล้าตอแยด้วยที่สุดแล้ว”
ผู้บำเพ็ญเพียรชุดเขียวข้างๆ พยักหน้าตามว่า “ใช่ ใช่ ไม่กล้าตอแยด้วยที่สุด ไม่มีใครเทียบได้แล้ว”
“เพราะเหตุใดล่ะ?” ทีนี้แม้แต่ผู้บำเพ็ญเพียรชุดเหลืองอีกคนหนึ่งก็สนใจขึ้นมาแล้ว จึงถามอย่างแปลกใจ
ผู้บำเพ็ญเพียรแซ่หลิวพูดด้วยสีหน้าประหลาดว่า “จะบอกให้ศิษย์น้องทั้งสองได้รู้ ศิษย์น้องคนนั้นอยู่ในสำนักมายี่สิบกว่าปี จนถึงบัดนี้ได้ยินเพียงว่ามีศิษย์ร่วมสำนักสองคนตามขอความรักมาก่อน”
ผู้บำเพ็ญเพียรชุดเหลืองคนแรกถอนใจว่า “นี่ นี่มิสิ้นเปลืองหรอกหรือ พวกเจ้าเหยากวงทรัพยากรอุดมสมบูรณ์จริงๆ เลย รอพวกเจ้าไปอยู่ที่สำนักไท่ซวีข้าสักระยะก็จะเข้าใจ อย่าว่าแต่ศิษย์น้องคนเมื่อครู่นั่นเลย ต่อให้เป็นยุงตัวเมียตัวหนึ่งพวกเราก็มองว่าน่ามองนะ”
ผู้บำเพ็ญเพียรชุดเขียวอีกคนหนึ่งบุ้ยปากว่า “ศิษย์พี่หยาง ไยเจ้าไม่ลองถามจุดจบของผู้ขอความรักสองคนนั้นล่ะ?”
“จุดจบ? หรือว่าถูกปฏิเสธแล้ว?” ผู้บำเพ็ญเพียรแซ่หยางพูดถึงตรงนี้ส่ายศีรษะอย่างหมั่นไส้ว่า “นี่มีอะไรล่ะ ในสำนักไท่ซวีเรา ศิษย์ชายคนไหนไม่มีประสบการณ์ถูกปฏิเสธสักสิบครั้งแปดครั้งบ้าง หากไม่เคยถูกปฏิเสธ จะออกไปข้างนอกเจ้ายังต้องอายเลย!”
“ศิษย์พี่หลิว พวกเจ้าก็อย่าเล่นตัวเลย รีบพูดเถอะ” ผู้บำเพ็ญเพียรชุดเหลืองอีกคนหนึ่งว่า
ผู้บำเพ็ญเพียรแซ่หลิวเหลือบมองผู้บำเพ็ญเพียรแซ่หยางปราดหนึ่ง ถึงว่า “ศิษย์น้องคนนั้นน่ะน่ะ มีอาวุธเวทเป็นก้อนอิฐ ผู้ขอความรักคนแรกถูกนางตบสลบต่อหน้าผู้คน คนที่สอง…ดูเหมือนว่าจะถูกตบตายแล้ว…”
ผู้บำเพ็ญเพียรชุดเหลืองทั้งสองชะงักงันพร้อมกัน มองหน้ากันปราดหนึ่ง เพียงใช้แววตาสื่อสารกลับแสดงความหมายที่เหมือนกันออกมา ‘เหยากวงอันตรายเกินไป พวกเรากลับสำนักไท่ซวีดีกว่านะ’
เรื่องที่มั่วชิงเฉินฆ่าเถียนหยวน วันนั้นมีศิษย์ไม่น้อยถูกเรียกไปไต่ถาม แม้พวกเขาไม่รู้ว่าตกลงเกิดเรื่องอะไรขึ้นแน่ ทว่าหลังเกิดเหตุกลับแสดงจิตวิญญาณแห่งการซุบซิบที่ไม่เกรงกลัวต่อสิ่งใดออกมาเต็มที่ ผสานนี่นิดนั่นหน่อยแล้วลือออกมา นั่นก็คือเถียนหยวนเกี้ยวพาราสีมั่วชิงเฉินไม่สำเร็จ กลับถูกนางใช้ก้อนอิฐตบตายแล้ว
เรื่องนี้จริงหรือเท็จไม่มีคนกล้ายืนยัน ทว่ายามที่นัดเจอกันเป็นการส่วนตัวเหมือนพวกผู้บำเพ็ญเพียรแซ่หลิวนี้ ศิษย์ที่ใช้เรื่องนี้เป็นแหล่งพูดคุยนั้นมีมากมาย
มั่วชิงเฉินไม่รู้หรอกนะว่าในพรรคเหยากวงนางเป็นที่ยอมรับอย่างเงียบๆในบรรดาศิษย์ ว่าเป็นหนึ่งในผู้บำเพ็ญเพียรหญิงที่ออกเรือนยากที่สุดคนหนึ่งเสียแล้ว
หลังจากบินติดต่อกันหลายสิบวัน มองดูแผนที่ในมือแล้ว มั่วชิงเฉินก็บังคับเรือเล็กให้ร่อนลงมาช้าๆ เงยหน้ามองตัวอักษร ‘เมืองจงอวี๋’ ที่สลักอยู่บนประตูเมืองสามคำแล้วเดินเข้าไป
เมืองจงอวี๋นี้แม้ฟังแล้วธรรมดา กลับชื่อเสียงกระฉ่อนในดินแดนเทียนหยวน เพราะว่าเมืองเมืองนี้หาได้ยากที่ไม่ถูกสำนักนิกายใดๆ ควบคุมไว้ ตรงกันข้ามกลับถูกพันธมิตรผู้บำเพ็ญเพียรไร้สำนักควบคุม สามารถนับได้ว่าเป็นเมืองอิสระ
และก็เพราะจุดนี้ ตลาดของเมืองจงอวี๋กลับครึกครื้นรุ่งเรืองที่สุด ที่นี่เจ้าสามารถหาของใดๆ ที่หายากที่อื่น หากโชคดี กระทั่งยังซื้อของที่หาที่อื่นไม่ได้มาตลอดได้ในราคาต่ำมาก
ดังนั้นเมืองจงอวี๋แทบจะเป็นสถานที่ที่จำเป็นต้องแวะยามผู้บำเพ็ญเพียรส่วนใหญ่เดินทางผ่าน
ที่มั่วชิงเฉินเข้าเมืองครั้งนี้ก็เพื่อไม้สะกดวิญญาณ
ไม้สะกดวิญญาณเกิดในสถานที่ที่ความเป็นหยินถึงขีดสุด ทว่านอกจากสถานที่ที่ความเป็นหยินถึงขีดสุดไม่กี่ที่ที่ถูกครอบครองโดยบางสำนักนิกายแล้ว ที่เหลือล้วนไม่รู้ว่าอยู่ที่ใด
ไม้สะกดวิญญาณจัดเป็นของนอกลู่นอกทาง ดังนั้นขายไม่ได้ราคา ทว่าสำหรับคนที่ต้องการมันก็เป็นของล้ำค่ามาก ด้วยเหตุนี้จะได้มาหรือไม่ก็ต้องแล้วแต่บุญวาสนา
เสี่ยงดวงดู ดูว่าจะหาไม้สะกดวิญญาณที่นี่ได้หรือไม่ หากไม่ได้ เช่นนั้นก็ได้เพียงรอหลังจากได้ดินในบ้านเกิดสามเฉียนแล้วค่อยไปลองดูที่สำนักนิกายที่อาจจะมีไม้สะกดวิญญาณอยู่
เมืองจงอวี๋ต่างจากเมืองอื่นจริงๆ เมื่อเข้าประตูเมือง มั่วชิงเฉินก็สัมผัสความครึกครื้นที่ต่างจากปกติได้
โดยไม่ได้หยุดนิ่ง นางเดินตรงไปยังตลาด