พันธกานต์ปราณอัคคี - ตอนที่ 232 นกพิราบมายึดรังนกกางเขน
มั่วชิงเฉินขลุกอยู่ในชามใหญ่ เจอความเคลื่อนไหวประเภทอะไรผู้บำเพ็ญเพียรตีกัน อสูรปีศาจแก่งแย่งชิงดีกันล้วนอ้อมไปไกลๆ เช่นนี้บินติดต่อกันอีกหลายสิบวัน ค่อยๆ มาถึงมุมหนึ่งที่อยู่สุดทิศตะวันตกของดินแดนเทียนหยวน
ในวันนี้ มั่วชิงเฉินยกตัวกระโดดลงจากชามใหญ่ ร่อนลงในป่าเปลี่ยวแห่งหนึ่ง เดินออกจากป่าระยะทางเพียงไม่กี่ลี้ ก็เป็นเมืองเล็กๆ เมืองหนึ่ง
มั่วชิงเฉินมีตบะระดับสร้างรากฐานระยะกลางแล้ว จิตตระหนักไม่ด้อยไปกว่าผู้บำเพ็ญเพียรระดับสร้างรากฐานระยะปลาย เมืองขนาดเท่านกกระจอกเช่นนี้ นางใช้จิตตระหนักกวาดทีหนึ่งก็พบว่าที่นี่ไม่มีร่องรอยความเคลื่อนไหวของผู้บำเพ็ญเพียรใดๆ น่าจะเป็นเมืองเล็กๆ ของคนธรรมดาเมืองหนึ่ง
คิดแล้วก็ใช่ ที่นี่ใกล้เมืองลั่วหยางมาก แม้แต่สี่ตระกูลใหญ่ผู้บำเพ็ญเพียรเมืองลั่วหยางในปีนั้นก็แทรกตัวอยู่ตามตัวเมือง ชาวเมืองธรรมดาส่วนใหญ่เพียงแต่ได้ยินคนอื่นลือกันปากต่อปากรู้ว่ามีเซียนอยู่ มีคนไม่น้อยเพียงถือว่าฟังนิทานเท่านั้น เมืองเล็กๆ เช่นนี้ไม่มีผู้บำเพ็ญเพียรก็เป็นเรื่องปกติมาก
ที่มั่วชิงเฉินไม่ได้ไปเมืองลั่วหยางโดยตรง ก็เพราะพริบตาเดียวก็ผ่านไปเกือบสามสิบปีแล้ว สถานการณ์ที่นั่นเป็นเช่นไรกันแน่ก็ยากจะคาดเดาได้จริงๆ ทว่าคิดดูแล้วน่าจะยังคงสภาพเซียนและคนธรรมดาปนกัน เมื่อเป็นเช่นนี้แล้ว ก็ลองเดินดูที่เมืองเล็กๆ นี่ก่อนทำความคุ้นเคยเสียหน่อย เพื่อสะดวกให้ตนเองปลอมเป็นหญิงธรรมดาปนเข้าเมืองไป
มั่วชิงเฉินเดินอยู่ในถนนในเมือง พบว่าสตรีที่นี่ส่วนใหญ่ใส่เสื้อผ้าป่าน ใช้สีเขียว ฟ้าเป็นหลัก หญิงแต่งงานอายุน้อยที่หน้าตาสะสวยไม่กี่คนใส่สีแดง เขียวที่สดใส เผยให้เห็นความงามที่บริสุทธิ์มีชีวิตชีวา
ทว่าต่อให้นางใส่เรียบง่ายสักเพียงใด กลับไม่เข้ากันกับที่นี่ เพียงแต่เดินอยู่บนถนนเช่นนี้ก็มีคนไม่น้อยแอบพิจารณา
มั่วชิงเฉินรีบเดินไปถึงร้านขายเสื้อผ้าเพียงร้านเดียวในเมือง ซื้อเสื้อผ้าผ้าหยาบสองสามชุดเปลี่ยนแล้วรีบไปจากที่นี่
เพียงครึ่งชั่วยาม มั่วชิงเฉินก็มาถึงนอกเมืองลั่วหยาง มองดู ‘เมืองลั่วหยาง’ สามคำบนประตูเมือง แล้วความรู้สึกในใจร้อยแปดพันเก้า
นี่เป็นครั้งที่สองที่ตนเห็นประตูเมืองลั่วหยาง ครั้งแรกท่านอาสิบสี่เป็นคนจูงมือตนเข้าจากตรงนี้ นับแต่นั้นเข้าตระกูลมั่วเริ่มชีวิตใหม่โดยสิ้นเชิง ส่วนครั้งที่สองก็คือบัดนี้แล้ว
มั่วชิงเฉินเข้าประตูเมืองแล้ว อาศัยความทรงจำวัยเด็กเดินไปตามทิศทางที่ตระกูลมั่วตั้งอยู่อย่างช้าๆ รอถึงยามที่เดินถึงหัวมุมหนึ่งแล้วอ้อมผ่านไปอีกก็สามารถเห็นประตูใหญ่จวนมั่วนั้น กลับหยุดเดินทันที
จากบ้านเมื่อเยาว์กลับเมื่อแก่ บ้านเกิดไม่เปลี่ยนผมกลับหงอก ต่อให้สำหรับผู้บำเพ็ญเพียรแล้วละก็นางยังกำลังอยู่ในวัยที่สวยงาม กลับมีความรู้สึกยิ่งใกล้บ้านเกิดจิตใจก็ยิ่งประหม่าเช่นกัน
จวนมั่ว บัดนี้กลายมามีสภาพเช่นไรแล้วกันแน่ จะกลายเป็นบ้านร้างเพราะไม่มีคนดูแลหรือไม่? ส่วนศพของคนในตระกูลเหล่านั้น มีคนคอยเก็บหรือไม่?
แต่ละคำพูดวาดผ่านส่วนลึกในใจมั่วชิงเฉิน ล้วนทำให้เกิดความเสียใจรางๆ นางสูดหายใจเข้าลึกๆ แล้วสงบจิตใจ ถึงเลี้ยวผ่านมุมถนนไป
มองจวนมั่วเพียงปราดเดียว มั่วชิงเฉินก็ชะงักอยู่ตรงนั้น ไม่คิดเลยว่าจะมีคนอาศัยอยู่ในจวนมั่ว!
ประตูใหญ่จวนมั่วแม้ปิดสนิท ทว่าคฤหาสน์หลังหนึ่งมีคนอาศัยอยู่หรือว่ารกร้างมานาน อย่าว่าแต่มั่วชิงเฉินที่เป็นผู้บำเพ็ญเพียรเลย ต่อให้คนที่มีความรู้ทั่วไปเพียงเล็กน้อยเพียงปราดเดียวก็ดูออก
นางย้ายสายตาขึ้นข้างบน มองไปที่ป้ายประตู ด้านบนเขียนว่า ‘ตระกูลหลัว’ ไว้อย่างโอ่อ่า
“จวนหลัว?” มั่วชิงเฉินบ่นพึมพำ นึกถึงหลัวชิงอวี่ที่มีวาสนาได้พบกันสองครั้งอย่างไม่รู้ตัว แอบว่าคงไม่บังเอิญปานนี้ ที่นี่ก็คือตระกูลของนางหรอกนะ?”
ในใจมั่วชิงเฉินรู้สึกไม่สบอารมณ์ขึ้นมารางๆ ปีนั้นคนในจวนมั่วแม้ถูกฆ่าอย่างอนาถ ทว่ายังมีหมู่บ้านตระกูลมั่วอยู่ สายโลหิตตระกูลมั่วไม่ได้ขาดเสียหน่อย ไม่ว่าด้วยความรู้สึกหรือด้วยเหตุผลจวนนี้ก็ไม่ถึงคราวของคนแซ่อื่นมาอยู่
ทว่าเมื่อคิดดูแล้วนางก็เข้าใจขึ้นมาทันที พื้นที่ที่จวนมั่วครอบคลุมแม้ไม่นับว่าใหญ่ กลับสร้างอยู่บนแหล่งปราณวิญญาณขนาดย่อม มีหลายที่ที่ระดับความเข้มข้นของปราณวิญญาณไม่เลวเหมือนโถงเฉาหยาง มีผู้บำเพ็ญเพียรมายึดไปก็ไม่ใช่เรื่องแปลก
เมื่อเป็นเช่นนี้ คนของหมู่บ้านตระกูลมั่วล่ะ ปีนั้นก็ถูกคนชุดแดงตัดรากถอนโคน หรือว่าถูกตระกูลหลัวในยามนี้ไล่ฆ่าจนสิ้น? หรือว่าปีนั้นยังไม่รอให้คนของหมู่บ้านตระกูลมั่วเข้ามาอยู่ที่นี่ก็ถูกตระกูลหลัวยึดไปแล้ว พวกเขายังคงใช้ชีวิตในหมู่บ้านตระกูลมั่วเงียบๆ อย่างเจียมตัว? อย่างไรเสียคนในตระกูลที่หมู่บ้านตระกูลมั่วแม้เป็นคนธรรมดา พวกเขากลับรู้ฝีมือของผู้บำเพ็ญเพียรดี
เมื่อความคิดผุดขึ้นมา มั่วชิงเฉินก็คิดจะกลับไปดูที่หมู่บ้านตระกูลมั่ว ทว่าบัดนี้สิ่งที่สำคัญที่สุด กลับคือการเข้าไปในจวน กลับลานบ้านที่ปีนั้นปู่หลานสองคนอาศัยอยู่แล้วเอาดินจากบ้านเกิดมาสามเฉียน
มั่วชิงเฉินคลำไม่ถูกว่าตระกูลหลัวเป็นใหญ่มาจากไหน อีกทั้งไม่กล้าใช้จิตตระหนักตรวจค้นเพื่อเลี่ยงการแหวกหญ้าให้งูตื่น คิดๆ ดูแล้ว ตัดสินใจหลบดูสถานการณ์อยู่ข้างๆ ก่อน
กลางวันแสกๆ จวนหลัวในบัดนี้คงไม่ถึงกับปิดประตูใหญ่สนิทตลอดเวลาหรอก
และก็เป็นเช่นนั้นจริงๆ หนึ่งชั่วยามให้หลัง ประตูใหญ่จวนหลัวค่อยๆ เปิดออก ชายสองคนเดินออกมา
ชายคนหนึ่งในนั้นใส่ชุดยาวสีดำ คนทั้งคนดูแล้วผอมซีดอ่อนแอ ส่วนชายที่หันหลังให้นางใส่ชุดยาวสีน้ำเงิน
ชายสองคนกล่าวลากันหน้าประตู ต่อจากนั้นชายที่ใส่ชุดยาวสีน้ำเงินก็หันหน้ามาเดินออกไป
มั่วชิงเฉินสะดุ้งเฮือก นางจำชายชุดยาวสีน้ำเงินคนนี้ได้!
ความทรงจำสายหนึ่งวาบผ่านตามั่วชิงเฉิน
วันที่ห้าเดือนห้าในปีนั้น เป็นเทศกาลบุตรสาวที่มีปีละครั้งของเมืองลั่วหยาง ท่านอาสิบสามและท่านอาสิบสี่พาพวกเขาที่ยังเป็นเด็กไปริมฝั่งแม่น้ำอิ้งสยาเพื่อโยนตะกร้าดอกไม้ที่ใส่บ๊ะจ่างไว้ ล่องเรือขึ้นไป
ต่อมาพบเซียนเฮ่าเย่ว์ไม่รู้สู้กับใครอยู่กลางเมฆอย่างดุเดือดเป็นเหตุให้เรือของตระกูลมั่ว โอวหยางสองตระกูลส่ายไปมา เบ็ดตกปลาของคนหนุ่มคนหนึ่งเกี่ยวถูกเสื้อผ้าของอวิ๋นซาน คนหนุ่มคนนั้นก็คือชายชุดน้ำเงินตรงหน้า โอวหยางไห่!
มั่วชิงเฉินปีนั้นอายุแปดขวบ บัดนี้อายุสามสิบห้าเศษแล้ว พริบตาเดียวผ่านไปยี่สิบเจ็ดปีหน้าตาของโอวหยางไห่ไม่ได้เปลี่ยนไปสักเท่าไร สาเหตุไม่มีอื่นใด เขาเป็นผู้บำเพ็ญเพียรระดับสร้างรากฐานแล้ว!
ไม่นานนักโอวหยางไห่ก็เดินไปไกลแล้ว ชายชุดดำเบือนสายตาที่มองส่งกลับมา จู่ๆ ก็ยิ้มขึ้น
มั่วชิงเฉินเห็นรอยยิ้มนี้กับตา ทันใดนั้นมีความรู้สึกไม่สบายตัวยิ่งนัก เดิมทีความรู้สึกที่ชายชุดดำคนนี้ให้คือขี้โรคอ่อนแอ รอยยิ้มนี้กลับแฝงไว้ด้วยความดูแคลนสายหนึ่งรางๆ บุคลิกขี้โรคอ่อนแอนั้นกลับกลายเป็นความเลือดเย็นทันที
มั่วชิงเฉินคิดๆ ดูแล้ว ก้าวเท้าเดินไปที่ร้านน้ำชาที่อยู่ใกล้ตระกูลมั่วร้านหนึ่ง
ปีนั้นยามที่นางและมั่วหนิงโหรวไกวชิงช้าในจวนก็สามารถเห็นทิวทัศน์ข้างนอกได้ ที่ติดกับถนนตรงนั้นมีร้านรวงมากมาย ร้านน้ำชานี้กลับเป็นร้านที่ไม่สะดุดตาที่สุด
จำได้ว่ายามนั้นก็มีท่านลุงที่ผมขาวโพลนคนหนึ่งชงชาฝีมือดีมาก บัดนี้เจ้าของร้านน้ำชานี้และท่านลุงในปีนั้นหน้าตาคล้ายกัน คิดว่าคงเป็นบุตรชายของเขา ไม่แน่อาจรู้อะไรบ้างก็ได้
“แม่นาง อยากดื่มชาอะไร?” เพิ่งนั่งลง เจ้าของร้านก็เดินเข้ามา
มั่วชิงเฉินถูมืออย่างเร่อร่าเล็กน้อย ดูแล้วก็เหมือนเด็กบ้านนอกที่เพิ่งเข้าเมืองครั้งแรก แล้วเอ่ยเสียงเบาว่า “ไม่ทราบที่ท่านลุงนี่มีชาอะไร?”
เจ้าของร้านเห็นเรื่องเช่นนี้จนชินแล้วยิ้ม แนะนำว่า “แม่นางอย่าเห็นว่าร้านน้ำชานี่เล็ก อวิ๋นวู่ เหมาเจียน ต้าหงเผามีทุกอย่าง…” เห็นสีหน้ามั่วชิงเฉินยิ่งตุ้มๆ ต่อมๆ ขึ้นกลับเปลี่ยนน้ำเสียงอย่างธรรมชาติว่า “ทว่าด้วยอากาศยามนี้ แม่นางดื่มชาดอกไม้เหมาะสมที่สุดแล้ว ไม่สู้สั่งชาดอกมะลิสักกา ดับกระหายอีกทั้งยังดับร้อน”
“เช่นนั้น ก็รบกวนท่านลุงเอาชาดอกมะลิมากาหนึ่งเถอะ” มั่วชิงเฉินกัดริมฝีปาก ดูเหมือนตัดสินใจเป็นไงเป็นกัน
“ได้เลย!” เจ้าของร้านยิ้มตาหยีแล้วหันไป ไม่นานก็ถือชาดอกมะลิขึ้นมากาหนึ่ง ยังวางจานเล็กๆ สีขาวสองใบ ใบหนึ่งข้างในวางของว่างเล็กๆ ไว้สองชิ้น อีกใบหนึ่งข้างในวางน้ำตาลก้อนไว้
เห็นมั่วชิงเฉินมองมา เจ้าของร้านรีบเอ่ยว่า “แม่นาง นี่ทางร้านให้”
“ขอบคุณท่านลุง” มั่วชิงเฉินแย้มยิ้ม ยกชาขึ้นมาถ้วยหนึ่งเริ่มดื่มขึ้นมา จากนั้นยิ้มหวานขึ้นกว่าเดิมว่า “ท่านลุง ชาดอกมะลิของท่านนี่อร่อยจริงๆ คิดว่าฝีมือการชงชาของท่านลุงต้องสูงส่งมาก…”
เจ้าของร้านตาเป็นประกาย “แม่นางก็รู้เรื่องชา?”
เดิมทีวันนี้ร้านน้ำชาก็ไม่ค่อยมีลูกค้าอยู่แล้ว พอมั่วชิงเฉินพูดถึงการชงชาขึ้นมาก็ดูเหมือนดึงความสนใจของเจ้าของร้านขึ้นมา ไม่คิดเลยว่าจะนั่งลงข้างๆ พูดไม่หยุดขึ้นมา
มั่วชิงเฉินไม่ช่ำชองวิถีการชงชา เทียบกับการดื่มชาแล้วนางรักการดื่มสุรามากกว่า เพียงแต่ใช้ชีวิตที่เขาป่าไผ่กับอาจารย์มาหลายปีถึงเพียงนี้ ต่อให้เป็นการดื่มโฮกๆ ทุกวัน ก็สามารถพูดเกี่ยวกับวิถีการชงชาออกมาได้บ้าง
สองคนพูดวนเวียนอยู่กับวิถีการชงชาไปไม่น้อย พูดถึงสุดท้ายสายตาที่เจ้าของร้านมองมั่วชิงเฉินเริ่มมีความรู้สึกเหมือนมองเด็กรุ่นหลังบ้านตนเองขึ้นมารางๆ ในที่สุดก็ถามว่า “แม่นาง ข้าเห็นเจ้าหน้าตาไม่คุ้นเลย มาหาญาติในเมืองใช่หรือไม่ล่ะ?”
มั่วชิงเฉินพยักหน้าอย่างลังเลว่า “ท่านลุงเดาได้ถูกต้อง ข้ามาจากบ้านนอกที่ห่างไกล มาถึงแล้วกลับไม่ค่อยกล้าเข้าประตูแล้ว”
“แม่นางมีความรู้ในวิถีการชงชาถึงเพียงนี้ กลับไม่เหมือนเป็น…” พูดถึงตรงนี้เจ้าของร้านรู้ตัวว่าไม่เหมาะสม จึงรีบหยุดปาก
มั่วชิงเฉินกลับยิ้มอย่างไม่แยแสว่า “ไม่ปิดบังท่านลุง มารดาของข้าเคยเป็นสาวใช้ดูแลการชงชาในจวนนั้น ต่อมาโอกาสวาสนานำพาแต่งงานกับบิดาข้า พริบตาเดียวก็เกือบสามสิบปีแล้ว”
เห็นทิศทางที่สายตามั่วชิงเฉินมองไป เจ้าของร้านตกตะลึง ครึ่งค่อนวันถึงว่า “หรือว่าแม่นางจะไปพึ่งพิงจวนหลัว?”
ในตามั่วชิงเฉินฉ่ำวาว “ข้าเกิดมาโชคร้าย เกิดมาไม่นานบิดาก็จากไปแล้ว พี่ชายหลายคนโตกว่าข้ามาก ตั้งแต่เล็กก็ไม่สนิทกัน ตั้งแต่แต่งงานกับพวกพี่สะใภ้แล้วก็ยิ่ง…ก่อนมารดาจะสิ้นใจไม่วางใจ จึงบอกข้าว่าเมื่อก่อนยามที่นางอยู่ในจวนนี้มีสหายรักที่สนิทกันดังพี่น้องคนหนึ่ง กำชับให้ข้ามาพึ่งพิง” พูดถึงตรงนี้ใบหน้าฉายแววสงสัย “เพียงแต่มารดาบอกว่าที่นี่คือตระกูลมั่ว บัดนี้ไยกลายเป็นตระกูลหลัวไปแล้ว? ข้าเห็นแล้วจึงไม่กล้าเข้าไปเสียที…”
มั่วชิงเฉินดูท่าทางอายุเพียงสิบเจ็ดสิบแปดปี คำพูดนี้พูดได้น่าสมสางเวทนา เจ้าของร้านจึงอดเห็นใจไม่ได้ เอ่ยเสียงเบาว่า “แม่นาง จะบอกความจริงให้เจ้ารู้ ที่นี่แต่ก่อนเป็นตระกูลมั่วจริงๆ ทว่าก็ยี่สิบกว่าปีก่อนกระมัง ตระกูลมั่วประสบเคราะห์กรรม คนหลายร้อยคนเพียงชั่วข้ามคืนก็ไม่อยู่แล้ว เหตุการณ์ในปีนั้นน่ะช่างน่าตกใจจริงๆ แม้แต่สิงโตหินบนขั้นบันไดก็ถูกย้อมเป็นสีแดง จิ๊ๆ ยามนั้นข้ายังหนุ่ม จู่ๆ เห็นโลหิตสีแดงเข้มทะลักออกมาตามซอกประตูก็ตกใจจนทรุด ผู้คนในเมืองต่างเดากันว่าจวนมั่วนี่ต่อไปสิบมีแปดเก้าต้องกลายเป็นบ้านวิญญาณแค้นแล้ว ทว่าไม่คิดว่าเพียงครึ่งเดือน ตระกูลหลัวนี่ก็ย้ายเข้าไปแล้ว อยู่มาจนถึงบัดนี้ เฮ้อ บัดนี้น่ะ คนแก่คนเฒ่าที่จำได้ว่ามีจวนมั่วเกรงว่ามีไม่มากแล้ว”
เจ้าของร้านพูดถึงตรงนี้เห็นแม่นางน้อยตกใจจนสีหน้าซีดเผือด จึงอดกำชับไม่ได้ว่า “แม่นาง ฟังท่านลุงเตือนสักคำ จวนหลัวนั่นไปไม่ได้หรอกนะ”
“เพราะเหตุใด?” มั่วชิงเฉินดูเหมือนตกใจมาก ถามอย่างงงงันว่า
เจ้าของร้านมองไปรอบๆ ถึงกดเสียงต่ำว่า “ที่นี่กลางคืนมีผีอาละวาด!”