พันธกานต์ปราณอัคคี - ตอนที่ 239 เก็บไฟหน่อไม้หิน
พริบตาเดียวก็ผ่านไปเดือนกว่า มั่วชิงเฉินที่กินมดผลึกไฟวิญญาณบริสุทธิ์เข้าไปและนั่งสมาธิบำเพ็ญเพียรไม่หยุดในที่สุดตบะก็ถึงสุดยอดระดับสร้างรากฐานระยะกลางแล้ว ตันเถียนในกายก็เหมือนโอ่งน้ำใบใหญ่ที่ใส่น้ำจนเต็ม น้ำมากขึ้นอีกเพียงเล็กน้อยก็ใส่ไม่ลงแล้ว
นางลืมตาขึ้น สิ่งที่เห็นก็คือหลัวอวี้เฉิงก้มหน้าแผ่วเบา ใช้นิ้วมือเขี่ยราชินีมดตัวนั้นเล่นอยู่
มดผลึกไฟวิญญาณบริสุทธิ์พวกนี้ถึงตอนหลังก็ตายไปติดๆ กัน สิ้นเปลืองไปไม่ใช่น้อยจริงๆ เหลือเพียงราชินีมดตัวนี้กระโดดโลดเต้นอยู่ตลอดเวลา มั่วชิงเฉินยังนึกว่าหลัวอวี้เฉิงจะฉวยโอกาสที่นางนั่งสมาธิบำเพ็ญเพียรกินเข้าไป ไม่คิดว่าช่วงหลังนี่เขาไม่มีมดผลึกไฟวิญญาณบริสุทธิ์ให้กิน กลับไม่คิดจะกินราชินีมดตัวนี้
หลัวอวี้เฉิงดูเหมือนเดาความคิดมั่วชิงเฉินได้ เงยหน้ายิ้มนิ่งเรียบให้นาง ในรอยยิ้มแฝงไว้ด้วยความเย้ยหยันที่มีเป็นประจำว่า “ยินดีด้วย เราไปได้แล้ว ไปตามหาสมบัติฟ้าดินชิ้นนั้นจะห่างราชินีมดตัวนี้ไม่ได้หรอกนะ”
“เช่นนั้นไปเถอะ” มั่วชิงเฉินไม่รู้สึกสำนึกผิดเลยสักนิด ไม่ใช่นางเอาความนึกคิดของคนถ่อยวัดใจของสุภาพบุรุษ อยู่ด้วยกันกับคนเช่นนี้ จะไม่ให้นางไม่คิดมากไม่ได้
มั่วชิงเฉินคิดไม่ถึงเลยว่า ยามนั้นนางนั่งลงตรงนี้ส่งเดช นั่งทีหนึ่งก็อยู่มาหนึ่งเดือนกว่า บัดนี้ในที่สุดก็ต้องเร่งเดินทางอีกแล้ว
ยิ่งกว่านั้นสิ่งที่ต่างจากแต่ก่อนคือ ยามนี้พลังวิญญาณของทั้งสองคนเต็มเปี่ยม ดีกว่าความทุลักทุเลก่อนหน้านี้ไม่รู้ตั้งเท่าไร โดยเฉพาะนาง ในเวลาสั้นๆ หนึ่งเดือน ตบะก็ขึ้นจากขั้นแรกของระดับสร้างรากฐานระยะกลางไปถึงสุดยอดระยะกลางแล้ว ประหยัดเวลาในการบำเพ็ญเพียรถึงสิบกว่าปี ที่ยิ่งสำคัญกว่าคือตบะเพิ่มขึ้นรวดเร็วปานนี้กลับไม่มีผลข้างเคียงรากฐานไม่มั่นคงอันเกิดจากการกินโอสถ
มดผลึกไฟวิญญาณบริสุทธิ์ ช่างเป็นของที่ผู้บำเพ็ญเพียรละเมอเพ้อหาจริงๆ!
พื้นยังคงเป็นดินโคลนสุดจะทน ทว่าทั้งสองคนที่ฟื้นฟูพลังวิญญาณแล้วกลับก้าวเดินดุจบิน
หลัวอวี้เฉิงไม่รู้ใช้วิธีอะไร ก็เห็นราชินีมดตัวนั้นอยู่ในฝ่ามือเขาอย่างว่าง่ายอย่างคาดไม่ถึง สายตาเขาไม่ออกห่างจากราชินีมดเลี้ยวซ้ายเลี้ยวขวาในสถานที่ดุจเขาวงกตที่มืดไม่เห็นเดือนเห็นตะวันนี้ ราวกับมีคนคอยนำทางก็ไม่ปาน
มั่วชิงเฉินถอยไปสองก้าวอย่างแผ่วเบา จ้องแผ่นหลังผอมบางของหลัวอวี้เฉิงแล้วเกิดทอดถอนใจขึ้นอีกครั้ง คนเช่นนี้ ช่างทำให้คนอื่นรู้สึกว่าตนเองต่ำต้อยแต่กำเนิดจริงๆ ยังดีที่ในวัยเยาว์นางถูกดูถูกรังเกียจมามาก ต่อให้บัดนี้ประสบความสำเร็จเจริญรุ่งเรืองอยู่ในเหยากวงและก็ไม่เคยคิดว่าตนเป็นบุตรที่ได้รับความโปรดปรานจากฟ้า ก็ไม่ได้รับผลกระทบสักเท่าไร เพียงแต่รู้สึกว่าเหนือคนมีคนเหนือฟ้ามีฟ้า สิ่งที่นางขาดยังห่างจากที่คิดไว้อีกมาก
“ที่นี่แหละ” ไม่รู้เดินนานเท่าไรแล้ว ในที่สุดหลัวอวี้เฉิงก็หยุดฝีเท้าลง
“หา พวกนี้ พวกนี้เป็นหินย้อยหมดเลยหรือ?” มั่วชิงเฉินเบิกตาโพลง รู้สึกตกตะลึงพรึงเพริดมาก
แสงที่นี่สว่างกว่าที่ที่เดินผ่านมามากอย่างเห็นได้ชัด สามารถเห็นหินย้อยรูปร่างต่างๆ ห้อยกลับหัวลง มีทั้งที่เหมือนเสาหยกค้ำฟ้า มีทั้งที่เหมือนเมฆสายรุ้งซ้อนๆ กัน มีทั้งที่เหมือนบุปผาบานสะพรั่ง มีทั้งที่เหมือนเห็ดที่กางร่มอยู่เบียดๆ กัน
เท่าที่มองไปแสงสีมากมายหลายหลาก และพิลึกกึกกือ อัศจรรย์จนทำให้คนรู้สึกเลื่อมใสการรังสรรค์ของธรรมชาติ
มั่วชิงเฉินก็เป็นเช่นนี้ นางมองทัศนียภาพอันงดงามเบื้องหน้าอย่างเคลิบเคลิ้มและชื่นชม อีกทั้งยังทนไม่ไหวยื่นมือออกไปลูบหินย้อยที่อยู่ใกล้ตนที่สุดทีหนึ่ง
จนถึงยามนี้ หลัวอวี้เฉิงถึงรู้สึกได้อย่างแท้จริงว่าคนที่อยู่เป็นเพื่อนกันมาตลอดในที่สุดก็มีลักษณะของอิสตรีบ้างแล้ว
“เจ้าไม่รู้สึกว่าในนี้สว่างกว่ามากหรือ?” หลัวอวี้เฉิงเอ่ยนิ่งเรียบ
มั่วชิงเฉินมองไปทางเขาว่า “มีอะไรพูดมาตรงๆ…”
เสียงหลัวอวี้เฉิงดูเหมือนสบายใจขึ้นหลายส่วน “ไม่รู้ว่าสหายเต๋ามั่วคิดอย่างไรต่อไฟอัศจรรย์?”
ใจของมั่วชิงเฉินตึกตักทีหนึ่งแล้วดิ่งลงไปโดยพลัน บนใบหน้ากลับดูอะไรไม่ออก เพียงแต่ต่อหน้าคนคนนี้นางไม่มั่นใจจริงๆ ว่าตกลงถูกเห็นพิรุธอะไรออกหรือไม่ ได้แต่แอบสูดหายใจเข้าอึดหนึ่งแล้วเอ่ยอย่างสงบว่า “ไฟอัศจรรย์? ไม่รู้ว่าที่สหายเต๋าหลัวพูดหมายถึงไฟคนหรือไฟตามธรรมชาติในฟ้าดิน?”
หลัวอวี้เฉิงหัวเราะ “ย่อมหมายถึงไฟในฟ้าดิน ในไฟคนแม้มีไฟอัศจรรย์ก็จริง กลับเป็นของส่วนตัวของผู้บำเพ็ญเพียร ประโยชน์ต่อคนอื่นอย่างไรเสียก็มีจำกัด”
มั่วชิงเฉินโล่งอก ยิ้มนิ่งเรียบว่า “ข้าได้ยินมาเพียงว่าในฟ้าดินให้กำเนิดไฟอัศจรรย์มากมาย ที่มีชื่อเสียงที่สุดก็คือไฟศักดิ์สิทธิ์โกลาหล ไฟกรรมบัวแดง ไฟแจ้งกาทอง เปลวน้ำแข็งเหมันต์…”
พูดถึงตรงนี้ชะงักทีหนึ่ง หลุดปากออกมาว่า “ในนี้ล้วนเป็นหินย้อย หรือว่า หรือว่ามีไฟหน่อไม้หินอยู่?”
หลัวอวี้เฉิงพยักหน้าว่า “ท่าทางสหายเต๋ารู้จักไฟอัศจรรย์ในฟ้าดินดีทีเดียว”
มั่วชิงเฉินเม้มปากไม่ได้พูดอะไร เนื่องจากมีเพลิงแก้วใจกระจ่าง ปกติยามอ่านคัมภีร์หยกก็จะใส่ใจข้อมูลเกี่ยวกับไฟอัศจรรย์โดยไม่รู้ตัว นานวันเข้า ย่อมรู้มากขึ้นเป็นธรรมดา
ไฟอัศจรรย์ในฟ้าดินต่างมีประโยชน์ใช้สอย สำหรับผู้บำเพ็ญเพียรแล้วไม่มีสักอันที่ไม่ใช่ของล้ำค่าอย่างล้นเหลือ
ยกตัวอย่างเช่นไฟแจ้งกาทอง มาจากพลังงานพระอาทิตย์ในฟ้าดิน สามารถเผาสรรพสิ่งให้เป็นจุณ เสียดายเพียงไฟอัศจรรย์นี้ทั้งสว่างทั้งแรงกล้า ผู้บำเพ็ญเพียรแทบไม่อาจสยบได้ หากโชคดีได้ไฟแจ้งกาทองสายเล็กๆ ผสานเข้าในสมบัติวิเศษธาตุไฟ เช่นนั้นก็อาจหลอมสมบัติวิเศษที่คุณภาพสูงสุดออกมาได้…สมบัติวิญญาณ
ยกตัวอย่างอีกเช่นไฟไร้รูปสี่อย่าง เป็นเปลวเพลิงที่มองไม่เห็นด้วยตาเปล่า หากผู้บำเพ็ญเพียรสยบมันได้ก็สามารถซ่อนไว้ในฟ้าดิน มีเพียงตาหยินหยางสามารถเห็นร่องรอยของมันได้ ส่วนตาหยินหยางนอกจากผู้ที่มีมาตั้งแต่กำเนิด ก็มีเพียงผู้บำเพ็ญเพียรที่สยบไฟหยินหยางย้อนใจที่สามารถหลอมออกมาได้
เปรียบเทียบบรรดาไฟอัศจรรย์พวกนี้แล้วที่สยบง่ายที่สุดก็คือไฟหน่อไม้หิน เพราะธาตุของมันอ่อนโยน ร่างกายอันอ่อนแอของผู้บำเพ็ญเพียรพอกล้อมแกล้มรับไหว
เมื่อคิดว่าอาจหาไฟหน่อไม้หินพบ มั่วชิงเฉินก็อดตื่นเต้นขึ้นมาไม่ได้ ต้องรู้ว่าประโยชน์ที่ขึ้นชื่อที่สุดของไฟหน่อไม้หิน ก็คือสามารถเพิ่งความเร็วในการฟื้นฟูพลังวิญญาณส่วนตัวของผู้บำเพ็ญเพียร!
“สหายเต๋ามั่ว คิดว่าคงไม่ได้ทำให้เจ้าผิดหวังนะ?” เสียงหลัวอวี้เฉิงดังขึ้นมาเย็นๆ
มั่วชิงเฉินเหล่สายตาไปนิ่งเรียบว่า “สหายเต๋าหลัว รอหาไฟหน่อไม้หินให้พบก่อนค่อยว่ากันเถอะ”
ไฟหน่อไม้หินแม้กำเนิดในแกนหินย้อย กลับไม่ใช่ว่าจะหาไฟนี้พบได้ตามหินย้อยที่ไหนก็ได้ ก็ไม่รู้ว่าหลัวอวี้เฉิงอาศัยอะไร สามารถแน่ใจถึงเพียงนี้ว่าที่นี่มีไฟหน่อไม้หิน
หรือว่า…เป็นเพราะมดผลึกไฟวิญญาณบริสุทธิ์? สายตามั่วชิงเฉินอดกวาดไปที่ราชินีมดในมือหลัววอวี้เฉิงปราดหนึ่งไม่ได้
“สหายเต๋าคิดได้ไม่ผิด ก็เพราะมดผลึกไฟวิญญาณบริสุทธิ์นี่ ข้าถึงแน่ใจว่าที่นี่ต้องมีไฟหน่อไม้หยกแน่นอน เพียงเพราะสิ่งที่มดผลึกไฟวิญญาณบริสุทธิ์รักที่สุดก็คือไฟหน่อไม้หิน ถ้ำของพวกมันต้องตั้งอยู่ไม่ไกลจากไฟหน่อไม้หินแน่” หลัวอวี้เฉิงเอ่ยเสียงเบา
ในที่สุดมั่วชิงเฉินก็อดเหลือกตาไม่ได้ “สหายเต๋าหลัว หากครั้งไหนเจ้าไม่เดาใจของคนอื่น จะนอนไม่หลับใช่หรือไม่?”
หลัวอวี้เฉิงชะงัก
มั่วชิงเฉินแอบส่ายศีรษะ มิน่าคนคนนี้รูปร่างบอบบาง สีหน้าซีดเซียว ดูท่าคงเพราะใช้ความคิดมากใช้สมองหนักเกินไปทำให้ร่างกายเสียหายไปด้วย
นี่ก็ช่างเถอะ ไม่พูดถึงที่เขามีรากวิญญาณแปรผันเป็นไปได้มากที่จะก่อเป็นแก่นทอง ต่อให้ตบะระดับสร้างรากฐานระยะปลายใกล้สมบูรณ์ มีอายุสองสามร้อยปีก็ไม่มีปัญหา สงสารเพียงคู่บำเพ็ญเพียรที่ต้องบำเพ็ญเพียรคู่กับเขาในวันหลัง ความคิดทุกอย่างเมื่ออยู่ต่อให้คนคนนี้ก็เหมือนโปร่งใส ช่างน่ากลัวจริงๆ เลย!
นึกถึงตรงนี้มั่วชิงเฉินรีบหยุดทันที เหงื่อเย็นโทรมกาย หากคนคนนี้เดาสิ่งที่นางคิดอยู่ในใจได้อีกนั่นมิกระอักกระอ่วนแย่หรอกหรือ
ยังดีที่ครั้งนี้หลัวอวี้เฉิงไม่ได้พูด หากแต่เดินไปมาท่ามกลางหินย้อยมหัศจรรย์ที่งดงามมีสีสัน เพียงครู่เดียวก็หยุดลง ณ ที่ที่หนึ่ง ออกเสียงเรียกว่า “สหายเต๋ามั่ว เจ้ามาดูนี่”
มั่วชิงเฉินรีบก้าวเท้าเดินไป เห็นตรงที่สายตาเขามองไปคือหินย้อยที่เหมือนหน่อไม้หินผืนหนึ่ง
“เจ้าดูนี่ ฟันของมดผลึกไฟวิญญาณบริสุทธิ์กัดกร่อนหินย้อยชนิดนี้ได้แต่กำเนิด รูเล็กๆ พวกนี้ก็เกิดจากพวกมัน” หลัวอวี้เฉิงยื่นนิ้วมือออกชี้ไปที่ฐานของหินย้อยที่หนึ่ง
ตามั่วชิงเฉินมองขึ้นไป เห็นรูเล็กๆ ตรงนั้นรูหนึ่งจริงๆ ในรูแม้เห็นไม่ชัด กลับมีแสงรางๆ ส่องมา
“ไฟหน่อไม้หินก็อยู่นี่สินะ? ไม่รู้สหายเต๋าหลัวมีวิธีเอาออกมาหรือไม่?” มั่วชิงเฉินถาม
หลัวอวี้เฉิงใช้นิ้วมือเรียวยาวเขี่ยราชินีมดในมือทีหนึ่งว่า “เราปล่อยพลังวิญญาณออกมาก็จะสลายหายไปในพริบตา คิดจะเอาไฟหน่อไม้หินออกมามีเพียงต้องพึ่งมันแล้ว”
เพิ่งสิ้นเสียง หลัวอวี้เฉิงก็วางราชินีมดไว้ข้างรูเล็กของหินย้อย
คิดว่าราชินีมดปกติคงมีคนปรนนิบัติจนชินแล้ว ไฟหน่อไม้หินที่กินเป็นอาหารล้วนมีเหล่าบริวารคอยประเคนให้ ไม่เคยมาเอาด้วยตัวเองเลย ดังนั้นปากรูนี้ด้วยรูปร่างของมันไม่ว่าอย่างไรก็เข้าไปไม่ได้
ราชินีมดยอมแพ้อย่างรวดเร็ว แล้วเปล่งเสียงเบาออกมาเสียงหนึ่ง จากนั้นก็เห็นมันอ้าปากกัดไปที่ขอบรู
ไม่นานนัก ก็เห็นปากรูยิ่งกัดยิ่งใหญ่ จากรูเล็กๆ กลายเป็นรูใหญ่อย่างรวดเร็ว ไฟหน่อไม้หินที่อยู่ข้างในปรากฏขึ้นต่อหน้าทั้งสองคนอย่างชัดเจน
ราชินีมดร้องเบาๆ อย่างดีใจเสียงหนึ่ง แล้วกระโดดตัวโถมเข้าไป
“สหายเต๋ามั่ว คิดว่าเจ้าก็เข้าใจดี ไฟอัศจรรย์พวกนี้เดิมทีก็ไม่ใช่สิ่งที่ผู้บำเพ็ญเพียรอย่างเราสามารถครอบครองได้ ไฟหน่อไม้หินกองนี้เราสามารถได้มาสายหนึ่งก็ถือว่ามีวาสนาแล้ว เก็บมากเกินไปกลับจะเป็นผลร้ายต่อร่างกาย” หลัวอวี้เฉิงพูดพลางยื่นมือไปที่ไฟหน่อไม้หินที่เต้นระริกอยู่
ไม่ต้องให้เขาเตือน มั่วชิงเฉินย่อมรู้เหตุผลที่ว่าทำเลยเถิดไปย่อมไม่เป็นผล ปากเอ่ยขอบคุณแล้วยื่นมือเข้าไปเช่นกัน
ดีที่การเก็บไฟหน่อไม้หินไม่จำเป็นต้องใช้พลังวิญญาณฝืนเก็บ หากแต่ต้องการให้ผู้บำเพ็ญเพียรใช้ไฟจริงของตนดูดเอา มิเช่นนั้นทั้งสองคนในแดนไร้วิญญาณนี่ยังทำอะไรไม่ได้จริงๆ
มั่วชิงเฉินหันฝ่ามือเข้าข้างใน ไฟจริงสีฟ้าคลุมอยู่ข้างบนเงียบๆ เพียงเพราะกลัวถูกหลัวอวี้เฉิงพบพิรุธไม่กล้าโลดแล่นออกมา
ไฟหน่อไม้หินที่เต้นระริกถูกดึงดูดเข้ามาทันที เพียงแต่เพราะเพลิงแก้วใจกระจ่างซ่อนอยู่ในฝ่ามือจะออกก็ไม่ออก แรงดึงดูดที่มีต่อมันจึงลดลงมากมาย ไฟหน่อไม้หินกระโดดโลดเต้นอยู่ในฝ่ามือมั่วชิงเฉิน ไม่มุดเข้าในฝ่ามือนางเสียที
เมื่อเป็นเช่นนี้ ความเร็วในการเก็บไฟหน่อไม้หินของมั่วชิงเฉินและหลัวอวี้เฉิงกลับไม่ต่างกันเท่าไรแล้ว
หนึ่งชั่วยามเต็มๆ ให้หลัง ทั้งสองคนแทบจะหดมือกลับมาพร้อมกัน มองหน้ากันแล้วพยักหน้า ต่างไม่พูดสักคำแล้วนั่งขัดสมาธิลงเริ่มหลอมไฟหน่อไม้หินที่เก็บมาสายนั้น
เดิมทีมั่วชิงเฉินนึกว่าเมื่อไฟหน่อไม้หินเข้าไปในร่างแล้วจะหลอมรวมกับเพลิงแก้วใจกระจ่างของตน กลับไม่คิดว่าไฟหน่อไม้หินกองนั้นกลับตามการโคจรของพลังวิญญาณว่ายไปที่ตันเถียน
มาถึงตันเถียน ไฟหน่อไม้หินลอยอยู่เหนือนั้น จากนั้นยิ่งเปลี่ยนยิ่งใหญ่ยิ่งเปลี่ยนยิ่งบาง ถึงตอนหลังแทบจะกลายเป็นตาข่ายไฟโปร่งใสปากหนึ่ง คลุมทั้งตันเถียนขึ้นมา
ในขณะที่ตาข่ายไฟคลุมตันเถียนไว้ มั่วชิงเฉินรู้สึกทันทีว่ามีกระแสความร้อนที่อุ่นแต่ไม่แห้งสายหนึ่งส่งมาจากตันเถียน จากนั้นตาข่ายไฟที่เกิดจากไฟหน่อไม้หินก็สลายหายไป ทั้งตันเถียนดูเหมือนใสสว่างกว่าปกติมากมาย
สำเร็จแล้ว! มั่วชิงเฉินดีใจ แล้วลืมตาขึ้น
“ไปกันเถอะ” หลัวอวี้เฉิงที่แทบจะลืมตาขึ้นพร้อมกันเอ่ยนิ่งเรียบ แล้วยืนขึ้นเดินออกไปข้างนอกทันที
มั่วชิงเฉินตามอยู่ข้างหลังติดๆ เหลือบมองราชินีมดที่อยู่ในหินย้อยกินไฟหน่อไม้หินอยู่อย่างบ้าคลั่งโดยไม่รู้สึกตัวปราดหนึ่ง
“มันช่วยเราหาไฟอัศจรรย์ที่ล้ำค่าเช่นนี้เจอแล้ว ก็ทิ้งว่าที่นี่แล้วกัน แน่นอนหากสหายเต๋ามั่วอยากเอาไปด้วย ข้าก็ไม่มีความเห็น” หลัวอวี้เฉิงเอ่ยอย่างสงบ
มั่วชิงเฉินยิ้มละไมว่า “คิดไม่ถึงว่าสหายเต๋าหลัวใจเ**้ยมอำมหิตต่อประเภทเดียวกัน ต่อสิ่งมีชีวิตอื่นกลับใจดี”
วันนั้นนางได้มดผลึกไฟวิญญาณบริสุทธิ์พวกนี้ นั่นคือโอกาสวาสนาของนาง ย่อมกินเข้าไปอย่างไม่ลังเล ทว่าราชินีมดนี่ช่วยพวกเขาหาไฟหน่อไม้หินจนพบ มองจากบางด้านแล้วความสัมพันธ์ก็กลายเป็นสหายร่วมทางชนิดหนึ่งแล้ว หากนางยังจะกินมันเพื่อเพิ่มตบะ นั่นก็คือโลภมากไม่รู้จักพอแล้ว พฤติกรรมเช่นนี้ของหลัวอวี้เฉิง กลับถูกใจนางอย่างหายาก
“ไปเถอะ” ฟังคำพูดที่แยกไม่ออกว่าชมหรือเยาะเย้ยของมั่วชิงเฉินพลาง หลัวอวี้เฉิงเดินตรงออกไปด้วยสีหน้าเย็นชา